แม้ว่าลู่โจวจะเคยขึ้นเครื่องบินมาก่อน แต่เฮลิคอปเตอร์ก็เป็นครั้งแรกของลู่โจว
จากพื้นดินที่ค่อยๆลอยออกไป ลู่โจวพลันรัดแตะเข็มขัดนิรภัยโดยไม่รู้ตัว เพราะเขาต้องการที่จะรู้สึกปลอดภัย
ในตอนนี้ เขาพลันมมองดูคนในห้องเครื่อง
มีทั้งหมดห้าคน
นอกจากเขาและหวังเผิงแล้ว ยังมีชายสองคนและหญิงอีกหนึ่งคน
สองคนเป็นนักบิน ซึ่งนั่งอยู่ตรงโซนคนขับ แต่สำหรับผู้หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้าม ลู่โจวรู้สึกได้ว่าเธอยังเด็กอยู่ แต่เขาก็พลันรู้สึกว่าเธอหน้าคล้ายกับหวิงเผิง
เมื่อเทียบกับหวังเผิงแล้ว เธอก็รู้สึกเหมือนเป็นทหารมากกว่าเขาเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนั่งหรือการแสดงออกทางอารมณ์…
แต่ทว่า สัญชาตญาณของลู่โจวก็อาจจะผิด
จากนั้น เขาก็มองไปยังหวังเผิงและกล่าวคำพูดออกมา “ฉันให้นายไปซื้อตั๋วรถไฟ แล้วไปหาเฮลิคอปเตอร์มาให้ฉันได้ยังไงกัน?”
“นายบอกเองไม่ใช่หรือไงว่ายิ่งเร็วยิ่งดี?”
ลู่โจวพลันขมวดคิ้ว
“ฉันล้อเล่น! เหตุผลที่แท้จริงก็คือเราเพิ่งจับกุมเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองจากต่างประเทศได้หลายคนที่เมืองไห่โจว แม้ว่าเราจะไม่แน่ใจว่าพวกเขามีแผนที่จะต่อต้านนายหรือเปล่าก็เถอะ แต่ถ้าได้ขึ้นเฮลิคอปเตอร์ก็น่าจะปลอดภัยกว่า” หวังเผิงเผยยิ้ม “อ่า ฉันลืมบอกนายไปอย่างหนึ่ง คือว่า…”
หวังเผิงมองไปยังหญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงหน้าพร้อมกล่าวคำพูดขึ้น
“นี่คือหยานหยาน”
“เธอก็เป็นหน่วยความมั่นคงของชาติด้วยหรือไงกัน?”
เธอเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยและดูเหมือนว่าจะไม่พอใจกับเรื่องเข้าใจผิดนี้
จากนั้น หยานก็พลันกล่าวคำพูดขึ้นมา
“เขาต่างหากล่ะ หน่วยความมั่นคงของชาติ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หวังเผิงก็กระแอมและเริ่มอธิบาย
“เธอคือแพทย์หยานจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ลู่โจวก็พลันตกใจ
“หมอ? หมอทหาร?”
“อ่า ใช่” เธอตอบกลับอย่างรวบรัด
จากนั้น หวังเผิงก็มองไปยังชายที่นั่งอยู่ที่เบาะคนขับ
“ส่วนคนขับชื่อเคอร์เซอร์ เขามาจากจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเหมือนกัน”
เมื่อเทียบกับแพทย์หยางแล้ว ชายที่เป็นคนขับดูเหมือนจะแก่กว่ามาก ลู่โจวคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในวัยสักสามสิบ
บางทีอาจจะเป็นเพราะเขาสนใจแค่หน้าที่ของแต่ละคนมมากกว่า จากนั้นไม่นาน ทุกคนในห้องส่งก็พยักหน้าให้กันอย่างเงียบๆ เพื่อแสดงความทักทาย
ลู่โจวพยักหน้าให้เขาและกล่าวสวัสดีโดยไม่รบกวนการขับ
จากนั้น หวังเผิงก็พูดต่อ “ส่วนคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็คืออู๋ชางเยว่ เขาไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเราเลย เป็นแค่คนขับรถเท่านั้น”
“ครบแล้ว” อู๋ชางเยว่กล่าวพร้อมเผยยิ้ม “เรื่องความปลอดภัยปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเราเอง”
เมื่อเทียบกับทุกคนแล้ว อู๋ชางเยว่ดูจะเป็นคนที่ดูดีที่สุด
ลู่โจวพลันพยักหน้าและกล่าวทักทาย
“เราทำงานหนักก็เพื่อพวกคุณ”
อู๋ชางเยว่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เราเองก็มีช่วงเวลาที่ยากลำบากกันทั้งนั้น เราออกลาดตระเวนเป็นครั้งคราว แล้วก็ยังต้องทำงานอยู่ในแนวหน้าอีกด้วย”
หวังเผิงพลันกระแอมออกมา จากนั้น เขาก็หันไปคุยกับลู่โจว “ฉันยังไม่ได้บอกนายเลย รัดเข็มขัดให้ดีล่ะ สองคนนี้เป็นมือดีที่ดีแล้วในเรื่องการขับ เดี๋ยวอีกไม่นาน เราได้ถึงที่หมายกันแน่”
ลู่โจวพลันเผยท่าทีไม่สู้ดี “ถามจริง?”
หวังเผิงพยักหน้า “จริงที่สุด”
ในตอนนั้นเอง อู๋ชางเยว่ที่นั่งอยู่ข้างคนขับก็หันมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวลไปหรอก ต่อไปนี้ถ้าคุณอยากจะไปไหน ขอแค่บอก พวกเราพาไปได้หมดเลย”
“ยังไงก็ขอบคุณมากนะ”
อู๋ชางเยว่เผยยิ้มกว้าง
“ยินดีรับใช้ประชาชนอยู่แล้ว!”
…
ถึงกระนั้น ความเร็วของเฮลิคอปเตอร์นั้นก็เร็วพอสมควร ทิวทัศน์ริมหน้าต่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ระยะทางกว่าสามร้อยกิโลเมตรก็ใช้เวลาเพียงแค่สองชั่วโมงเท่านั้น ถ้าเป็นรถไฟความเร็วสูง ก็อาจจะต้องวนไปวนมาจนกว่าจะถึงที่หมาย
ถึงอย่างไร เมื่อเทียบกับความเร็วแล้ว ลู่โจวก็แทบจะหมดสติไป
ลู่โจวพลันสาบานว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะทำเช่นนี้
เว้นแต่จะไม่มียานพาหนะอื่นให้เลือก
หยานหยานพลันเห็นว่าท่าทีที่ดูไม่ค่อยสบายของลู่โจว ไม่ช้า เธอจึงพูดขึ้น “คุณต้องการยาแก้เมาเครื่องไหม?”
“ไม่ต้อง…” ลู่โจวส่ายหัว “ผมยังไม่ถึงระดับที่ต้องเรียกทหารแพทย์”
เธอกล่าวต่อ “”ไม่ต้องมาดื้อดึงหรอก ยังไงการดูแลสุขภาพของคุณก็เป็นหน้าที่ของฉันอยู่แล้ว”
“ถ้าต้องการ แล้วเดี๋ยวผมจะบอก” ลู่โจวสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ เขาพลันมองไปยังหวังเผิง “ส่งฉันลงที่เขตจงซานด้วย”
“ไม่ต้องห่วง ที่นั่นรถพร้อมแล้ว” หวังเผิงตอบ
พวกเขาไม่ได้ออกเดินทางในช่วงเช้า เมื่อถึงเวลาลงเครื่อง มันก็ค่ำพอดี ทันทีที่พวกเขาขับรถเข้าไปในเขตจงซาน ท้องฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว ลู่โจวก็มาถึงยังประตูหน้าบ้าน เขาพลันหายใจเข้าเฮือกใหญ่
ในที่สุด เขาก็ถึงบ้านแล้ว
เขาไม่ได้อยู่บ้านมาเป็นเดือนแล้ว ลู่โจวคิดถึงที่นี่ไม่น้อย
หลังจากที่ออกมาจากรถ เขาก็พลันหยิบกุญแจออกมาเปิดประตูแล้วเดินเข้าไป
ในตอนนั้นเอง เขาสังเกตเห็นว่าหมอหยานยืนอยู่ข้างหลัง
หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ ลู่โจวก็ถามขึ้น “เธอมาทำอะไรที่นี่กัน?”
เธอขมวดคิ้ว “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ? หวังเผิงไม่ได้นอนที่บ้านคุณหรือยังไงกัน?”
ลู่โจวพลันขมวดคิ้ว
ถึงอย่างไร มันก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก
วังเผิงจะอาศัยอยู่ในบ้านของเขาได้อย่างไร?
นอกจากป้าและน้องสาวของลู่โจวแล้ว เขาก็ไม่เคยยอมให้ใครมาค้างคืนที่บ้านเลย
หยานหยานพลันพูดต่อ “ตามที่องค์กรระบุเอาไว้ นับจากนี้ไป ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบต่อสุขภาพของคุณเอง! ฉันต้องดูแลคุณจนกว่าโครงการเครื่องปฏิกรณ์เชิงสาธิตจะสิ้นสุดลง”
จากนั้น แพทย์หยานก็มองขึ้นไปบนบ้าน
“บ้านใหญ่ดีเหมือนกันนะ คงจะมีห้องเหลือเยอะเลยใช่ไหมล่ะ? ฉันเองก็ไม่ใช่คนเรื่องมากหรอก ยังไงก็เถอะ ฉันจะเข้าไปจัดห้องให้คุณเอง”
เธอกำลังจะทำอะไรนะ?
ต้องการที่จะอยู่ในบ้านของฉัน?
เป็นแบบนี้ได้ยังไงกัน?!
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น ลู่โจวรู้สึกไม่มีความสุขเลย จากนั้นเขาก็พลันกล่าวคำพูดขึ้น “คุณหยาน! ขอร้องล่ะ!”
ทันใดนั้น หยานหยานก็พลันขมวดคิ้ว
…
ลู่โจวที่เพิ่งจะกลับมาถึงบ้านรีบเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว หลังจากนั้นก็ไปชงกาแฟให้ตัวเองและเดินไปยังห้องทำงาน เขาพลันเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาเพื่อตรวจสอบอีเมลที่ยังไม่ได้อ่าน จากนั้น เขาก็เดินไปเปิดเซิร์ฟเวอร์และไวไฟที่อยู่ตรงมุมห้อง
ทันทีที่เซิร์ฟเวอร์เปิด หุ่นยนต์ไฮเบอร์เนตก็ได้ทำการรีสตาร์ทและเริ่มทำความสะอาดฝุ่นที่สะสมอยู่บนพื้น
ลู่โจวเอนกายบนเก้าอี้และจิบกาแฟ เขากำลังรอเฉียวอี้โผล่มา
ในไม่ช้า ข้อความบนหน้าจอมุมขวาล่างก็เด้งขึ้นมา
[กลับมาสักทีนะ! มีความสุขจัง!]
ลู่โจวเผยยิ้มทันทีที่มองไปยังข้อความของเฉียวอี้
“นี่ ฉันขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
[อะไรล่ะ?]
ลู่โจวครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็จิบกาแฟและกล่าวคำพูดออกมา “มีวิธีไหนที่สามารถการแยกอัลกอริทึมออกจากพลาสมาไหม?”
ครั้งนี้ เฉียวอี้เงียบไปพักหนึ่ง
ในระหว่างที่ลู่โจวกำลังสงสัยว่าเฉียวอี้หายไปไหนแล้ว ข้อความก็เด้งขึ้นมา
[อยากจะรู้ไปทำไมกัน?]
ทันทีที่เห็นข้อความ ลู่โจวก็แทบจะพ่นกาแฟออกมาจากปาก
ทำไมเฉียวอี้ถึงตอบกลับมาแบบนี้กัน?
……………………………………………