อันที่จริงแล้ว ลู่โจวไม่ต้องกังวลเลยด้วยซ้ำ
เขายังนอนสลบอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ไม่มีใครคิดจะจัดงานเลี้ยงฉลองโดยไม่มีเขาอยู่แล้ว
ส่วนที่เขาหวังว่าจะไม่สร้างปัญหาให้คนอื่นนั้น…
ยังไงข้อนี้ก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
มีผู้คนมากมายที่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของเขา
วินาทีที่เขาล้มลงไป เหยียนเหยียนที่สังเกตเห็นว่าเขามีท่าทางแปลกๆ ก็รีบวิ่งมาพยุงเขาในทันที
หลังจากนั้น หน่วยแพทย์จากกองทัพก็รีบเข้ามาในห้องควบคุมแล้วนำตัวลู่โจวลงไปวางบนเปลทันที จากนั้นพวกเขาก็ส่งลู่โจวตรงมาที่กรุงปักกิ่ง
ในขณะที่เขากำลังนอนอยู่บนเปล ข่าวเรื่องเขาสลบก็แพร่ไปถึงปักกิ่งในทันที ทำให้คนเบื้องบนของรัฐบาลตกใจกันใหญ่
นอกจากจะต้องปิดข่าวนี้ไม่ให้โลกภายนอกและคนอื่นที่เกี่ยวข้องรู้แล้ว หลังจากลู่โจวพักอยู่ที่โรงพยาบาลทหารประจำมณฑลพักหนึ่งแล้ว เขาก็ต้องถูกส่งไปที่โรงพยาบาล 301 ต่อ ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่นำโดยนักวิชาการเริ่มเข้ามาตรวจอาการของเขา
แต่ผลลัพธ์อาการที่ได้ก็ค่อนข้างจะน่าแปลกใจ
ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์นี้ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและไวรัส แต่พวกเขาไม่สามารถวินิจฉัยอะไรออกมาได้
สิ่งเดียวที่พวกเขายืนยันได้คือ ลู่โจวมีอาการเหนื่อยล้าอย่างมากในช่วงสองสามวันที่ผ่านมานี้
แต่พวกเขาก็ไม่มั่นใจว่าการสลบครั้งนี้จะเกี่ยวข้องกับความเหนื่อยล้าที่ว่า
ในส่วนของมุมอื่นนั้น…
ถึงแม้จะมีอุปกรณ์จากโรงพยาบาล 301 พวกเขาก็ตรวจหาความผิดปกติใดๆ ไม่เจอเลย
แทบทุกคนต่างก็ตกใจกับผลที่ออกมา
แม้แต่นักวิชาการจ้าวจงจี๋ที่เป็นผู้นำทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ก็เริ่มสงสัยว่าอุปกรณ์อาจจะพังได้
ถ้าพูดสั้นๆ ก็คือ หากพวกเขาไม่สามารถวินิจฉัยทางการแพทย์ได้ พวกเขาก็ไม่สามารถรักษาได้เช่นกัน
ไม่มีใครกล้าสรุปอาการของลู่โจว และไม่มีใครกล้าลองรักษาเขา
ถึงแม้มันจะเป็นเรื่องดีถ้าเกิดสามารถรักษาลู่โจวได้ แต่ถ้าพวกเขาทำให้สถานการณ์แย่กว่าเดิมแล้วล่ะก็ พวกเขาก็จะต้องรับผิดชอบโดยตรง
สุดท้าย พวกเขาก็ทำได้แค่มองเขานอนอยู่เฉยๆ และจับตาดูอาการเขาอย่างระมัดระวัง
ถึงแม้อัตราการเต้นของหัวใจและการหายใจของเขาจะแผ่วเบาไปเสียหน่อย แต่มันก็ไม่ได้อันตรายถึงชีวิตอะไร
ถ้าเขาแค่ทำงานมากเกินไปจริงๆ บางทีเขาอาจจะรู้สึกดีขึ้นหลังจากตื่นมาก็ได้?
ในทางกลับกัน สื่อรายงานข่าวความสำเร็จของการทดลองฟิวชั่นที่ควบคุมได้
ในขณะที่คนทั้งประเทศกำลังเฉลิมฉลองกัน ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไซต์เครื่องปฏิกรณ์สาธิตไม่รู้เลยว่าหัวหน้านักออกแบบลู่โจวสลบไปที่ไซต์งาน
คนส่วนใหญ่รู้สึกสับสน
พวกเขาเอาชนะศึกที่ยากลำบากนี้มาได้แล้ว แต่พวกเขาไม่ได้แม้แต่จะจัดงานเลี้ยงฉลองด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ทานมื้อเย็นแล้วก็ได้รับอนุญาตให้ลาหยุดได้ พวกเขารู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย
นักวิชาการหวังยืนอยู่ข้างนอกอาคารตะวันตกของโรงพยาบาล 301 เขาถอนหายใจขณะมองไปที่อาคารของโรงพยาบาล
“พวกเราพูดว่าจะจัดงานเลี้ยงฉลองในคืนวันสิ้นปี แล้วทุกคนก็จะได้กลับบ้านไปฉลองปีใหม่สินะ พวกเราเอาชนะศึกครั้งนี้ได้แล้ว แต่หัวหน้าของพวกเรากลับสลบไป”
“ใช่แล้วล่ะ” นักวิชาการหลี่เจี้ยนกังถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “คนหนุ่มตายก่อนคนแก่…เอ้าไอ้นี่ มาเตะฉันทำไม?”
หวังเจิงกวงโกรธมาก
“ไอ้แก่เวร! ถ้าพูดแบบนั้นอีกรอบ แกเจอดีแน่!”
พยาบาลมองชายสูงวัยสองคนทะเลาะกัน เธอจึงรีบเดินออกไปทันที
คนที่อยู่ที่ตึกตะวันตกของโรงพยาบาล 301 ได้จะต้องเป็นบุคคลสำคัญแน่ๆ
ไม่ใช่แค่คนไข้ในโรงพยาบาลที่เป็นคนมีระดับ แต่ผู้ที่มาเยี่ยมคนไข้ก็เช่นกัน
ยิ่งชายสูงวัยสองคนนี้ดูผ่านอะไรต่อมิอะไรมาเยอะแล้วด้วย ยิ่งไม่มีใครอยากจะไปทำให้พวกเขาโกรธ
แต่พวกเขาก็ได้ยินเสียงกระแอมเบาๆ มาจากอีกฟากหนึ่ง
“นี่พวกคุณทำอะไรอยู่เนี่ย?”
ชายสูงวัยสองคนตกตะลึง
นักวิชาการหวังมองดูคนที่มาใหม่แล้วกระแอม เขาตอบอย่างเจื่อนๆ ว่า “พวกเราก็แค่…แกล้งกันอยู่น่ะครับ”
…
ภายในโรงพยาบาล
เหยียนเหยียนมองไปที่ลู่โจวที่กำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตารู้สึกผิด
หวังเผิงมองการแจ้งเตือนในโทรศัพท์ของเขาแล้วยกมือขึ้นเกาหัว จากนั้นเขาก็ถอนหายใจ
“ผมซวยแล้ว พวกคนข้างบนต้องฆ่าผมแน่”
ร้อยเอกหยางมองหวังเผิงแล้วไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาทำเพียงแตะบ่าเจ้าตัวอย่างเงียบๆ
งานของหวังเผิงในช่วงที่ผ่านมานี้นับว่าควรค่าแก่การให้ความสนใจ
แต่เขาก็เป็นแค่ยามคนหนึ่ง และเขาก็ต้องรับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของลู่โจวด้วย ตอนนี้ที่ศาสตราจารย์ลู่นอนอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล ก็ไม่มีอะไรที่หวังเผิงสามารถทำได้แล้ว
สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือรับคำติเตียนไป
“ผมสบายดีครับ ท่านไม่ต้องปลอบผมหรอก” หวังเผิงเผยท่าทางยอมแพ้แล้วยิ้มขึ้นมา เขาพูดต่อว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องผมหรอกครับ พวกท่านก็คงจะเจอปัญหาเหมือนกัน”
ส่วนสาเหตุที่คนเบื้องบนยังไม่ติดต่อพวกเขานั้น…
ก็คงจะเป็นเพราะพวกเขายังตำหนิคนอื่นไม่เสร็จ
เมื่อคนเบื้องบนคนอื่นถูกตำหนิเสร็จแล้ว ก็คงจะถึงตาของพวกเขา
หวังเผิงถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้อง
เหยียนเหยียนใช้เล็บจิกตัวเอง เธอก้มหัวลงและดวงตาของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะโทษตัวเอง
ในฐานะบุคลากรทางการแพทย์แล้ว เธอรู้ดีว่าการใช้ชีวิตของลู่โจวไม่ใช่วิธีที่ดีต่อสุขภาพ แต่เธอก็ไม่ได้ยืนกรานจุดยืนของเธอกับเขา เธอน่าจะบังคับให้เขากินมากกว่านี้ และพักผ่อนมากกว่านี้
ถ้าเพียงแต่เธอจะ…
เป็นคนที่หนักแน่นกว่านี้ล่ะก็
เธอกัดริมฝีปากแล้วพึมพำออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง “นี่เป็นความรับผิดชอบของฉันเองค่ะ…ทั้งหมดเป็นความผิดของฉัน ฉันทำหน้าที่ไม่ดีเอง”
หยางกวงเปี่ยวตอบว่า “พวกเราเป็นทีมเดียวกันนะ ไม่มีประโยชน์หรอกที่จะมาโทษว่าเป็นความผิดใครน่ะ”
ในตอนนี้ เขาไม่สนแล้วว่ากองทัพจะทำอะไรกับเขา
ตราบใดที่ศาสตราจารย์ลู่ตื่นขึ้นมา เขาก็จะยอมตาย เขาเต็มใจกระทั่งยอมยิงตัวเองด้วยซ้ำ
แต่มันก็จะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรขึ้นมา
ทันใดนั้นเอง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออก
ท่านประธานาธิบดีเดินเข้ามาในห้องโดยมีคนในชุดทหารเดินตาม
ทั้งสองคนในห้องผู้ป่วยทำความเคารพเขา
เหยียนเหยียนกัดริมฝีปากตัวเองแล้วพูดขึ้นว่า “ยังไม่มีสัญญาณของการฟื้นขึ้นมาเลยค่ะ”
ชายสูงวัยไม่พูดอะไรอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ศาสตราจารย์ลู่เป็นฮีโร่ของประเทศเรา เขาสู้อยู่แนวหน้าของการวิจัยวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร พวกเราจะทำให้ดีที่สุดในการรักษาเขา!”
หัวหน้าของโรงพยาบาล 301 ที่ยืนอยู่ข้างท่านประธานาธิบดีพยักหน้ารับคำ
“เข้าใจแล้วครับท่าน!”
ชายสูงวัยพยักหน้าตอบ
“แล้วก็นะ พอเขาฟื้นเมื่อไหร่ก็รีบแจ้งฉันทันทีด้วย”
ชายสูงวัยมองใบหน้าของชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยแล้วก็ถอนหายใจ เขาหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไปจากห้อง
หัวหน้าโรงพยาบาล 301 ก็เดินออกไปเหมือนกัน แต่คนในชุดทหารยังคงยืนอยู่
หยางกวงเปียวรู้แล้วว่าเขากำลังจะโดนตำหนิ เขาตัดสินใจเป็นคนเริ่มก่อนและเริ่มยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง
“นี่เป็นความผิดของผมเองครับ ผมพร้อมที่จะ…”
เหยียนเหยียนกลับพูดว่า “ไม่หรอกค่ะ นี่เป็นความผิดฉันเอง”
“พอแล้ว!” เยี่ยฉานโม่วจ้องไปที่ทั้งสองคนก่อนจะพูดขึ้นว่า “เถียงกันเรื่องนี้ไปแล้วจะได้อะไรขึ้นมา? ศาสตราจารย์ลู่จะตื่นขึ้นมาไหมล่ะ?”
ห้องผู้ป่วยเงียบกริบ
หลังจากจ้องมองทั้งสองคนอยู่พักใหญ่ เยี่ยเฉียนโม่วก็พูดขึ้นว่า “ฉันผิดหวังในตัวพวกเธอสองคนมากเลยนะ”
หยางกวงเปียวก้มศีรษะลงและไม่พูดอะไรต่อจากนั้น
เหยียนเหยียนก็เช่นกัน หัวใจของเธอรู้สึกเจ็บปวด
“ยิ่งเธอนะ เธอเป็นถึงเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ แล้วดูสิเธอทำอะไร? การดูแลสุขภาพของเธออยู่ไหน?” เยี่ยฉานโม่วจ้องเขม็งไปที่เหยียนเหยียนที่เป็นลูกสาวของเพื่อนทหารผ่านศึกของเขา เยี่ยฉานโม่วดูผิดหวังอย่างมาก
“ฉันผิดหวังจริงๆ “
เหมือนกับเขาไม่อยากจะพูดคำอื่นออกมา เขาทำเพียงส่ายหัวตัวเอง จากนั้นเขาก็หมุนตัวแล้วเดินออกไปจากห้อง
………………………