หลังจากข่าวเรื่องลู่โจวแพร่กระจายไปทั่วประเทศ ก็เกิดความโกลาหลขึ้น
ผ่านมาสามวันแล้วตั้งแต่การทำฟิวชั่นอิกนิชั่นของเครื่องปฏิกรณ์สาธิต
อย่างไรก็ตาม พวกเขารู้เพียงว่าหัวหน้านักออกแบบลู่ของเครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 ล้มป่วยลง
อันที่จริงแล้ว พอไม่มีงานเลี้ยงฉลองที่ไซต์เครื่องปฏิกรณ์สาธิต บวกกับไม่มีพิธีขอบคุณทุกคนอย่างเป็นทางการ ทำให้คนจำนวนมากเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้
แต่คนส่วนใหญ่ก็แค่กำลังคาดเดากันว่าเครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 เป็นสิ่งที่สำเร็จหรือไม่ พวกเขาไม่ได้คิดว่ามันเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพของลู่โจว
และตอนนี้ พอข่าวหลุดออกมา ทุกคนก็สับสนไปหมด
จริงๆ พวกคนเบื้องบนไม่ได้วางแผนจะปิดสถานะของลู่โจวไว้เป็นความลับตลอดไป พวกเขาเตรียมคำพูดออกสื่อแล้วด้วยซ้ำ
ก็แค่เพราะว่าไม่มีใครคิดว่าเขาจะโคม่านานขนาดนี้ มันผ่านมาหลายวันแล้ว และก็ยังไม่มีสัญญาณใดๆ ว่าเขาจะตื่นขึ้นมา
ในเมื่อกระแสสังคมกำลังเปลี่ยนไปอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องปิดบังเรื่องนี้อีกต่อไป
ประเทศจีนได้ออกมายืนยันข่าวที่เกิดขึ้น
เหรินเหรินเดลี่เป็นสำนักข่าวแรกที่รายงานข่าวนี้
คำพูดออกสื่อได้ถูกแก้ไขและนำเสนอในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์
[ศาสตราจารย์ลู่ หัวหน้านักออกแบบของโปรเจกต์นิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ ผู้ได้รับรางวัลโนเบลและเหรียญฟิลด์ หลังจากเครื่องปฏิกรณ์สาธิตประสบความสำเร็จในการทำฟิวชั่นอิกนิชั่น การทำงานหนักและความเหนื่อยล้าได้ทำให้ศาสตราจารย์ลู่ล้มป่วยลงในที่ทำงาน…
จากคำบอกเล่าของเพื่อนร่วมงานของเขา ในช่วงที่ลำบากที่สุดของการวิจัย เขาก็ยังทำงานอยู่ที่ออฟฟิศเป็นอาทิตย์ๆ เขามักจะไม่กินอาหารกลางวันอยู่บ่อยๆ
เขาคือคบเพลิงแห่งคนรุ่นใหม่ เขาคือผู้ส่องทางที่จะนำชาติไปสู่ความยิ่งใหญ่ เขาคือเทียนไข ที่ลุกโชนเพื่อการวิจัยวิทยาศาสตร์…
พวกเราขอให้เขาหายดี]
ภาพในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นรูปเทียนไข
ปกติเหรินเหรินเดลี่แทบจะไม่ทำข่าวที่เน้นเรื่องความปลอดภัยของใครเลยด้วยซ้ำ
บรรณาธิการและคนอ่านต่างก็น้ำตาไหล
ฟิวชั่นอิกนิชั่นที่ควบคุมได้นั้นประสบความสำเร็จแล้ว
นี่ควรจะเป็นช่วงเวลาที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลอง
ในวันที่ควรค่าแก่การเฉลิมฉลองนี้ ลู่โจวควรจะได้นั่งอยู่กับครอบครัว แล้วฉลองความสำเร็จนี้ไปด้วยกัน แต่เขาหมดสติไป
บางทีเขาอาจจะรับไม่ไหวอีกแล้ว
แต่เขาก็ยังยืนอยู่ตรงนั้น ยืนกรานจะทำงานจนถึงตอนสุดท้าย จนถึงตอนที่ฟิวชั่นอิกนิชั่นสำเร็จแล้วจริงๆ
น่าแปลกใจที่ไม่มีคนเกลียดลู่โจวมาแสดงตัวในครั้งนี้เลย
ถึงแม้จะเป็นตอนที่เครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 จะประสบความสำเร็จ ก็ยังมีคนมากมายที่ใช้ทฤษฎีสมคบคิดเพื่อคิดเกลียดชังในความสำเร็จของพวกเขา
แต่ในตอนนี้ คนทุกคนที่มีเศษเสี้ยวของปัญญาก็รู้ดีว่าพวกเขาต้องไม่ตั้งแง่เกลียดกับประเด็นอ่อนไหวแบบนี้
ที่แอคเคานต์เว่ยป๋อทางการของเหรินเหรินเดลี่
ในช่องคอมเมนต์
มีอีโมจิเทียนเป็นหมื่นๆ อันปรากฏอยู่
[(เทียน) (เทียน)…]
[ฉันขอให้เขาหายไวๆ ! (เทียน)]
[ฉันหวังให้เขาฟื้นไวที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เลย (เทียน)]
[…]
…
ในเวลาเดียวกันนั้น นานาชาติต่างก็กำลังหารือกันอยู่กับสถานการณ์นี้
ตัวแทนของอเมริกากล่าวว่า “ศาสตราจารย์ลู่โจวคือบุคคลสำคัญของมนุษยชาติ สุขภาพของเขาไม่ได้เป็นแค่ความรับผิดชอบของประเทศจีน ถ้าประเทศจีนไม่สามารถรักษาเขาได้ ผมแนะนำให้ส่งตัวเขามาที่โรงพยาบาลจอห์นฮอปกินส์ที่รัฐแมริแลนด์ เขาจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุดที่นั่น”
ตัวแทนของฝรั่งเศสก็กล่าวว่า “โรงพยาบาลแซงต์โยเซฟก็มีผู้เชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลกในด้านประสาทศัลยศาสตร์เหมือนกัน พวกเราพร้อมจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของศาสตราจารย์ลู่ และพวกเราขอยืนยันว่าเขาจะได้รับการรักษาที่ดีที่สุด!”
ตัวแทนของอังกฤษขัดการพูดของตัวแทนฝรั่งเศสว่า “โรงพยาบาลแซงต์โยเซฟเหรอ? มันอยู่ที่ไหนล่ะนั่น? คุณพูดตลกเหรอ? โรงพยาบาลรอยัลลอนดอนดีกว่าที่นั่นเป็นล้านเท่าเลย”
บรรยากาศการพูดคุยที่โต๊ะประชุมกลายเป็นเรื่องอารมณ์ร้อนขึ้นมา
ในที่สุด ตัวแทนของจีนก็ยืนขึ้นแล้วพูดตัดบทว่า
“เนื่องจากพวกเรากังวลถึงความปลอดภัยของศาสตราจารย์ลู่ ถ้าเขาไม่ได้เป็นฝ่ายเห็นด้วยกับความร่วมมือที่ว่าแล้ว พวกเราจะไม่เห็นด้วยเป็นอันขาด”
ตัวแทนของอเมริกากล่าวว่า “ผมหวังว่าพวกคุณจะพยายามอย่างถึงที่สุดในการดูแลลู่โจวนะ”
ตัวแทนของจีนโต้กลับว่า “พวกเราคงจะทำเสียเรื่องเลยล่ะ ถ้าพวกเราส่งตัวเขาให้ประเทศคุณ”
ตัวแทนอเมริกาถามกลับ “คุณหมายความว่าอย่างไร?”
ตัวแทนประเทศจีนตอบ “ก็ตามที่พูดไปนั่นแหละ”
ไม่ใช่แค่รัฐบาลต่างประเทศเท่านั้นที่มีข้อเสนอ แม้แต่องค์การอนามัยโลกก็แสดงความประสงค์จะส่งทีมแพทย์มาที่กรุงปักกิ่งอย่างไม่คิดค่าใช้จ่ายและให้ความช่วยเหลือทางการแพทย์กับนักวิชาการที่แสนปราดเปรื่องคนนี้
ในที่สุด ประเทศจีนก็ตัดสินใจจะยอมถอยในประเด็นนี้
เพราะสุดท้าย ในทุกประเทศแล้ว ประเทศจีนน่าจะเป็นประเทศที่ต้องการให้เขาฟื้นขึ้นมามากที่สุด
ในเมื่อผู้เชี่ยวชาญในประเทศจีนไม่สามารถหาคำตอบช่วยเหลือเขาได้ การไปปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศก็เป็นเรื่องที่ดี
ทีมผู้เชี่ยวชาญจากองค์การอนามัยโลกเป็นทางเลือกที่ดีกว่าทีมผู้เชี่ยวชาญจากประเทศเพียงประเทศเดียวอย่างไม่ต้องสงสัย
ถึงแม้ความเป็นไปได้เรื่องการโจรกรรมข้อมูลจะไม่ได้ถูกตัดออกไป แต่มันก็ยังนับว่าควบคุมง่ายอยู่
ดังนั้นแล้ว ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จึงเดินทางจากกรุงเจนีวามาที่ประเทศจีน
แต่ถึงอย่างนั้น ก็น่าประหลาดใจที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจากนานาชาติก็ไม่สามารถหาข้อสรุปที่ดีกว่าเดิมได้ แม้แต่นักประสาทศัลยแพทย์ที่ได้รับการเคารพที่สุดก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยอาการของลู่โจวได้
นักวิชาการแคสตินจากสหราชอาณาจักรเล่าความรู้สึกของเขาว่า
“ส่วนตัวผมคิดว่านี่เป็นปรากฏการณ์ทางการแพทย์ที่น่าสนใจมาก มันสามารถนำไปใช้เป็นตัวอย่างเคสในอนาคตได้เลยด้วยซ้ำ”
นักวิชาการจ้าวจงจี๋ถามว่า “อ้อเหรอ?”
นักวิชาการแคสตินพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น “ใช่แล้วล่ะ ร่างกายของเขาปกติดี เหมือนกับเขาแค่นอนหลับไปเฉยๆ แต่เขาตื่นขึ้นมาไม่ได้ ถ้าพวกเราหาสาเหตุว่าเขานอนหลับไปอย่างไร นี่อาจจะเป็นการค้นพบที่คู่ควรแก่การได้รับรางวัลโนเบลก็ได้นะ”
ก่อนที่เขาจะเดินทางมาประเทศจีน เขาคิดเพียงแค่ว่าภารกิจนี้เป็นภารกิจทางการเมืองที่จะทำให้ประเทศเขาเพิ่มความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีนบ้าง เพราะไม่ว่าอย่างไร ราชสมาคมแห่งอังกฤษก็สัญญาว่าจะให้เงินทุนวิจัยเขามากพอสมควร
แต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกอึ้งและทึ่งไปกับสถานการณ์โดยสิ้นเชิง
นักวิชาการจ้าวจงจี๋ก็สงสัยเช่นกันว่าการค้นพบที่มีระดับเท่ารางวัลโนเบลครั้งนี้จะเป็นอย่างไร แต่เขากังวลเรื่องสุขภาพของลู่โจวมากกว่า
แม้แต่รางวัลโนเบลก็เทียบกันไม่ได้กับชีวิตของนักวิชาการคนหนึ่ง
“ถ้าคุณกล้าทดลองอะไรกับเขา ผมสาบานกับพระเจ้าเลยว่าคุณจะไม่มีวันได้ทำการทดลองอย่างอื่นอีก”
นักวิชาการแคสตินยิ้มเจื่อนและพยายามลดความตึงเครียดลง
“อย่าโกรธผมสิ…ผมแค่ล้อเล่นนะ”
แต่แคสตินไม่ได้ดูเหมือนกำลังล้อเล่นเลย
…
ทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์จากหลายประเทศไม่มีไอเดียดีๆ เลยเรื่องการป่วยของลู่โจว ประเทศจีนไม่เชื่อใจพวกเขา และการรักษาลู่โจวก็เริ่มซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
ยังโชคดีที่ ‘อาการ’ ของเขาไม่ทรุดลง
แต่คนจำนวนมากก็ยังกังวลเรื่องเขาอยู่ดี
คนเดียวที่ไม่กังวลก็คือตัวลู่โจวเองนั่นแหละ
วันที่ 20 มกราคม หิมะโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง ทิ้งไว้เพียงชั้นสีขาวสะอาดบนหน้าต่าง
วันก่อนวันตรุษจีนกำลังจะมาถึงในอีก 4 วัน
ลู่โจวยังนอนอยู่บนเตียงโรงพยาบาลโดยมีเครื่องช่วยหายใจ เขาดูสงบเหมือนอย่างเคย และใครๆ ก็ยังได้ยินเสียงเขาหายใจของเขา
เหยียนเหยียนยั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยน้ำตา เธอนึกย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วันก่อนที่เธอเจอกับพ่อที่โกรธเกรี้ยวของเธอ เขาปิดประตูในหน้าเธอเต็มๆ
และสิ่งที่พ่อพูดกับเธอในตอนนั้น
“ไปไกลๆ เลย!
แกไม่ใช่ลูกสาวฉัน!”
พ่อของเธอเป็นทหาร เขาอายุมากแล้วตอนที่เธอเกิดมา และตอนนี้เขาก็เกษียณแล้ว
สำหรับผู้ชายที่อุทิศทั้งชีวิตให้กับประเทศ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าผลประโยชน์ของประเทศ
แม้แต่ลูกสาวแท้ๆ ของเขาก็ยังไม่ใช่
เธอรู้ดีว่าทำไมพ่อของเธอถึงโกรธ มันก็แค่ว่าเธอไม่เคยถูกพ่อทำแบบนี้กับเธอมาก่อน
เหยียนเหยียนสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วเริ่มน้ำตาไหล
สุดท้าย เธอก็เป็นเพียงแค่หญิงสาวอายุ 20 กว่าๆ เท่านั้น
เธอเคยคิดว่าเธอโตแล้ว แต่ในตอนนี้ เหมือนว่าเธอจะคิดผิด
บางทีอาจจะเป็นเพราะชีวิตของเธอสมบูรณ์แบบเกินไป หรือความสำเร็จทางการทหารทำให้เธอยิ่งยโสเกินไป…เธอเข้าใจอย่างผิดๆ มาตลอดว่าเธอสามารถแบกรับอะไรได้ที่เธอเผชิญในชีวิต…
เมื่อเธอตกลงรับภารกิจนี้ เธอไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้ที่ภารกิจนี้จะล้มเหลว
แขนของเธอวางอยู่บนต้นขา และใบหน้าของเธอก็ซุกอยู่ในมือทั้งสองข้าง
แต่ในขณะที่เธอกำลังจมดิ่งอยู่ในความสมเพชตัวเองและความรู้สึกผิด เธอก็ได้ยินเสียงไอ
หลังจากนั้น เธอก็ได้ยินเสียงที่ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น
“โทรศัพท์…โทรศัพท์ผมอยู่ไหน?”
…………………………