ผ่านไปสิบนาทีหลังจากชายสูงวัยเดินออกไปจากห้อง ประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกผลักเปิดออกอีกครั้ง คนกลุ่มหนึ่งเดินขึ้นมา
“พี่คะ!”
เสี่ยวถงน้ำตาไหลนองหน้า เธออยากจะวิ่งไปหาพี่ชายแต่ถูกเหยียนเหยียนห้ามเอาไว้ก่อน
“ร่างกายของพี่เธอตอนนี้อ่อนแอมากนะ”
ลู่โจวบอก “อันที่จริง ผมก็สบายดีนะ…”
เหยียนเหยียนแย้ง “ไม่ใช่เสียหน่อย”
ลู่โจว “…”
เฉินยู่ซานนั่งลงข้างเตียงของลู่โจว แล้วมองตรงไปที่ชายหนุ่มด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ในที่สุดนายก็ตื่นขึ้นมาเสียที”
ลู่โจวบังคับให้ตัวเองยิ้ม “ใช่…ฉันแบบ นอนเกินเวลาไปหน่อยน่ะ”
ดวงตาของเฉินยู่ซานเริ่มมีน้ำตาคลอ แต่ในที่สุดเธอก็ยิ้มด้วยความโล่งใจ
“อย่าพูดอย่างนั้นสิ ไม่ตลกเลยนะ”
เหยียนเหยียนกอดเสี่ยวถงไว้ เธอเอาแต่จ้องไปที่ลู่โจวกับเฉินยู่ซาน ทันใดนั้น เธอก็ทำหน้าประหลาดใจขึ้นมา
ลู่โจวเปลี่ยนสีหน้าไปเป็นท่าทางยอมจำนนเมื่อเขาหันไปมองพ่อกับแม่
ฟางเหมยมองลูกชายของตนเองแล้วพูดพร้อมกับดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้าว่า “ในที่สุดลูกก็ตื่นขึ้นมาเสียที…ลูกไม่รู้หรอกว่าพ่อกับแม่เป็นห่วงลูกมากแค่ไหน”
ลู่โจวกระแอมแล้วพูดขึ้นว่า “ขอโทษที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงนะครับ”
ครอบครัวของเขาเป็นห่วงเขามากที่สุด
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกผิดกับพวกเขามากที่สุด
ผู้เฒ่าลู่มองลูกชายตัวเองที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย แล้วเขาก็ทำท่าเหมือนมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูด แต่สุดท้าย เขาก็ทำเพียงถอนหายใจแล้วพูดขึ้นว่า “ดูแลร่างกายตัวเองดีๆ อย่าหักโหม…พ่อไม่สนเรื่องนิวเคลียร์ฟิวชั่นอะไรนั่นหรอก พ่อแค่อยากให้ลูกสุขภาพแข็งแรง ไม่ได้นอนเป็นอาทิตย์เลยอย่างนั้นเหรอ ลูกเป็นบ้าอะไรน่ะ?”
ลู่โจวกระแอมแล้วอธิบายว่า “เป็นอุบัติเหตุน่ะครับ”
ใครเป็นคนพูดกันว่าเขาไม่ได้นอนเป็นอาทิตย์?
เป็นคำพูดเกินจริงที่น่าตลกชะมัด
“แล้วที่นอนไป 20 กว่าวันนี่เรียกว่าอุบัติเหตุเหมือนกันหรือไง?” ผู้เฒ่าลู่พูดต่อ “ไปตรวจร่างกายเลย! อย่าบอกนะว่าโดนรังสีหรืออะไรทำนองนั้นมาน่ะ! พ่อเห็นเรื่องพวกนั้นอยู่ในฟีดข่าวของเพื่อนพ่อด้วย เขาบอกว่ามันจะส่งผลกระทบต่อลูกของลูกด้วยนะ!”
“วางใจได้ครับพ่อ! ฟิวชั่นที่ควบคุมได้นั้นปลอดภัย ไม่ต้องเป็นห่วงไปครับ!” ลู่โจวเดาว่าพ่อของเขาคงจะไปเห็นพวกข่าวปลอมบนฟีดข่าวของเพื่อนเขามา เขาจึงกระแอมแล้วบอกว่า “ผมตรวจร่างกายอะไรพวกนั้นแล้วล่ะ”
มีอุปกรณ์และเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกใช้หรือเชื่อมต่อกับร่างกายเขาตอนที่เขายังไม่ฟื้น
อันที่จริงแล้ว เขาค่อนข้างจะสงสัยด้วยซ้ำ ที่แม้แต่อุปกรณ์ทางการแพทย์จากโรงพยาบาล 301 ยังหาความผิดปกติในร่างกายเขาไม่เจอ ถ้าหากเป็นไปได้ เขาอยากจะขอข้อมูลทางการแพทย์มาแล้วตรวจสอบดูด้วยตัวเอง
แต่เขาก็รู้ว่าเขาคงไม่ได้อะไรกลับมาหรอก
“อ้อ ลูกตรวจแล้วเหรอ” ผู้เฒ่าลู่มองลูกชายของตัวเองเล็กน้อยแล้วจึงพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็พักผ่อนให้ดีแล้วรีบหายไวๆ แล้วกัน ทีหลังก็อย่าหักโหมตัวเองอีกนะ…”
ลู่โจวมองพ่อตัวเองแล้วก็พึมพำขอโทษออกมา “ครับ…ขอโทษเรื่องนี้ด้วย”
เวลาเยี่ยมผู้ป่วยถูกจำกัดไว้ที่ 10 นาที
สมาชิกในครอบครัวก็ไม่ได้รับข้อยกเว้นจากกฎข้อนี้
หลังจากที่คนกลุ่มใหญ่เดินออกไป เหยียนเหยียนก็เข็นลู่โจวที่นั่งอยู่บนรถเข็นไปห้องตรวจที่อยู่ข้างๆ เพื่อเช็กสภาพร่างกายของเขา จากนั้นเธอก็ให้เขาทำกายบริหารที่ไม่หักโหมมากนัก หลังจากนั้นเธอก็ส่งเขากลับเข้าห้องผู้ป่วยไปนอนอีกครั้ง
ลู่โจวอยู่ในภาวะโคม่ามานาน
แม้แต่ซูเปอร์แมนก็ฟื้นตัวทันทีไม่ได้หรอก
ถึงแม้ร่างกายของเขาจะอยู่ในภาวะที่ดีแล้ว ก็ยังต้องใช้เวลาสักพักกว่าร่างกายของเขาจะขับสารพิษที่อยู่ในกล้ามเนื้อของเขาออกไปจนหมด
แม้ลู่โจวจะรู้สึกเหมือนว่าเขาหายเกือบเป็นปกติแล้ว คนอื่นก็จะไม่มีทางคิดแบบนั้นแน่
ไม่ว่าจะเป็นหมอจากโรงพยาบาล 301 หรือกลุ่มผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่รับผิดชอบการวินิจฉัยเขาก็ต่างแนะนำให้เขานอนพักที่โรงพยาบาลไปอีกอย่างน้อย 1 เดือน เพื่อจะให้พวกเขาสามารถยืนยันได้ว่าจะไม่มีอาการตกค้างอะไรอีก
ทำให้เขาไม่สามารถกลับบ้านไปฉลองวันตรุษจีนได้
แต่ลู่โจวก็ไม่ได้เศร้ามากนัก
พ่อแม่ของเขากับเสี่ยวถงก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง
สำหรับเขาแล้ว บ้านคือสถานที่ที่ครอบครัวของเขาอยู่
ท้องฟ้านอกหน้าต่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มขึ้น
ลู่โจวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากโต๊ะข้างเตียง และกำลังจะตอบข้อความกลุ่มคนที่เป็นห่วงเป็นใยเขา
แต่พอเขาเปิดเวยป๋อขึ้นมา เขาก็พบว่าแฟนๆ ของเขาดันมาเล่นมุกตลกไม่เข้าท่ากันเสียอย่างนั้น
[ฉันเต็มใจแลกให้เทพลู่เป็นโสดไปอีกสิบปีเลยนะ ดีกว่าให้เขาฟื้นขึ้นมาตอนนี้]
[ถ้าเทพลู่ฟื้นขึ้นมาตอนนี้ล่ะก็ ฉันยอมวิ่งแก้ผ้าบนถนนเลย]
[ช่างแม่มละ ถ้าเทพลู่ฟื้นขึ้นมานะ ฉันยอมกินขี้หนึ่งกิโล!]
[ส่วนฉันจะไปว่ายน้ำในท่อว่ะ!]
คนพวกนี้เริ่มพูดตลกบ้าบอจนไปกันใหญ่แล้ว ลู่โจวทนไม่ได้อีกต่อไป
ไอ้พวกเวรพวกนี้มันห่วงฉันกันบ้างไหมเนี่ย?
เขาพิมพ์ข้อมูลแล้วโพสต์ลงไป
[ไหนๆ นายจะไปไลฟ์สดว่ายน้ำในท่อที่ไหน?]
ภายใน 5 นาทีนั้นเอง…
หน้าเวยป๋อของเขาก็ระเบิดไปด้วยมวลมหาประชาชน
…
เพราะโพสต์บนเวยป๋อโพสต์นั้น ข่าวการฟื้นของลู่โจวจึงแพร่กระจายไปเหมือนไฟลามทุ่ง บางคนก็ตื่นเต้น บางคนก็ผิดหวัง แต่อย่างไร ก็ไม่มีผลอะไรมากกับเขาอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่ง ในเมื่อนี่ก็ใกล้เวลาวันตรุษจีนเข้ามาแล้ว จึงมีคนหลายคนมาเยี่ยมเขา
นอกจากจะมีคนที่เขารู้จักแล้ว ก็ยังมีคนแปลกหน้าบางคนโผล่มาด้วย
ในกลุ่มนั้นเป็นคนที่เขาไม่รู้จัก และส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นพนักงานราชการ
ถึงแม้โดยปกติพนักงานราชการจะไม่พยายามสร้างคอนเนคชันกับนักวิชาการ แต่ด้วยความที่ลู่โจวเป็นนักวิชาการที่ได้รับความเคารพทำให้มันกลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งไปเลย
นักวิชาการอย่างเขายืนอยู่คนละระดับกับคนพวกนั้นโดยสิ้นเชิง
ในทางที่ว่า ความคิดของลู่โจวส่งผลต่อการตัดสินใจของคนใหญ่คนโตในกลุ่มรัฐบาลนั่นแหละ
สิ่งนี้เพียงสิ่งเดียวก็เป็นเหตุผลให้มีคนมาเยี่ยมเขาแล้ว
แต่เรื่องนี้กลับทำให้ลู่โจวปวดหัว…
นักวิชาการลู่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไร้พนักพิงข้างเตียงของเขา เขาบังเอิญมางานประชุมในกรุงปักกิ่งและยังไม่ได้กลับ เขามาเยี่ยมลู่โจวและนำส้มแมนดารินถุงหนึ่งมาฝากเขาด้วย
นักวิชาการลู่กำลังปอกเปลือกส้มแมนดารินในขณะที่ยิ้มและพูดว่า “เมื่อวานซืน เพื่อนร่วมชั้นสมัยก่อนของผมจากกระทรวงศึกษาธิการบอกผมว่าการประชุมในหน่วยงานครั้งล่าสุดของเขาเป็นหัวข้อที่ว่าพวกเขาควรจะนำเรื่องราวของคุณไปใส่ในหนังสือเรียนของเด็กประถมดีหรือไม่”
ลู่โจวจึงบอก “ขอล่ะครับ อย่าทำเลย…นั่นฟังดูน่าอายนะ”
“หืม นี่คุณยังรู้สึกอายอยู่อีกเหรอ?” นักวิชาการลู่วางส้มที่ปอกเปลือกแล้วบนมือของลู่โจวแล้วพูดว่า “กินเถอะ หมอบอกว่าคุณเพิ่งฟื้นขึ้นมาเองนี่นา แล้วคุณก็ยังอยู่ในช่วงกำลังฟื้นตัวด้วย ผลไม้ดีต่อสุขภาพนะ ผมเดาว่าคุณน่าจะปอกส้มเองไม่ได้ ผมก็เลยปอกให้คุณก่อนที่คนอื่นจะเอาไปกิน”
ลู่โจวยิ้มและตอบว่า “ผมยังปอกส้มเองได้น่า”
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่า ถึงเขาปอกไม่ได้ ก็ยังมีพยาบาลอีกหลายคนที่เต็มใจจะช่วยเขา
“คุณควรจะนอนอยู่บนเตียง แล้วพยายามฟื้นตัวให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดีกว่า หลังจากช่วงวันหยุดนี่ผ่านไป ก็ยังมีการจัดงานยกย่องคุณอยู่ ผมคิดว่าคุณยังไม่ควรกลับบ้านปีนี้นะ อยู่ที่ปักกิ่งดีกว่า”
ลู่โจวที่กำลังกินส้มแมนดาริน แสดงสีหน้าเซ็งออกมา
“ผมอยากกลับไปนะ แต่โรงพยาบาลไม่ยอมนี่สิ”
นักวิชาการลู่ยิ้มแล้วพูดว่า “ก็จริงนะ ตอนนี้คุณเป็นสมบัติของชาติแล้วนี่นา ผู้เชี่ยวชาญจากประเทศนับสิบต่างก็รวมตัวกันสร้างทีมผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์เพื่อมาวินิจฉัยอาการคุณ นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ที่ผมเห็นมีคนได้รับการดูแลอะไรแบบนี้”
อย่างน้อย นักการเมืองปกติก็ไม่มีทางได้รับการดูแลแบบนี้แน่
ในตอนนี้นั้น ข่าวกำลังฉายอยู่บนหน้าจอทีวีในห้องผู้ป่วย
มีข่าวเรื่องการฟื้นตัวของลู่โจวและข่าวเรื่องการเคลื่อนไหวของตลาดน้ำมันดิบต่างชาติ…
เพื่อจะให้ราคาน้ำมันและตลาดคงที่ กลุ่ม OPEC จำต้องทำสัญญาที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นนักเพื่อเพิ่มผลผลิตในอีกสามเดือนข้างหน้าเพื่อคงราคาน้ำมันเอาไว้ ในทางกลับกัน รัสเซียได้ประกาศอย่างมีหลักการว่า ประเทศตัวเองจะไม่เพิ่มผลผลิตน้ำมันในระยะสั้น เพราะพวกเขาตัดสินใจจะรอดูสถานการณ์ตลาดว่าจะเป็นอย่างไร
ราคาขึ้นลงของน้ำมันไม่มีผลอะไรกับลู่โจว เพราะเขาก็ไม่เคยไปลงทุนอะไรในตลาดซื้อขายล่วงหน้ามาก่อน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ลู่โจวแปลกใจคือ ตอนท้ายรายการข่าว เขาเห็นข่าวเรื่องประเทศจีนกำลังจะนำโครงการไปดวงจันทร์กลับมาอีกครั้ง
ปีนี้คือปี 2020 และสถานการณ์การเมืองทั่วโลกก็ดูเหมือนจะมาถึงจุดหักเหแล้ว
พวกเขาต่างเกี่ยวข้องกับความสำเร็จของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ไม่มากก็น้อย
ถึงแม้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในข่าวจะไกลตัวลู่โจวมาก เขาก็ยังอดรู้สึกว่ามีส่วนเกี่วข้องไม่ได้ตอนที่เขามองดูผู้ประกาศข่าวคนใหม่บนหน้าจอทีวี
แทบจะเหมือนว่าเขาเป็นคนพลิกหน้ากระดาษของประวัติศาสตร์เอง
และนี่เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ในตอนเย็นวันนั้น หลังจากลู่โจวทานอาหารค่ำ
เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากเหยียนเหยียนแล้ว ลู่โจวก็ออกไปเดินในสวนของโรงพยาบาล 301
ถึงแม้ว่าเขาจะรู้สึกว่าเขาเดินเองได้ เหยียนเหยียนก็ยืนกรานว่าจะมาช่วยเขา
ดูเหมือนว่าเหตุการณ์ร้ายครั้งนี้จะทำให้เธอมี PTSD[1] เสียแล้ว ตั้งแต่ที่เขาตื่นขึ้นมา เธอก็ยังไม่ได้ออกห่างจากตัวเขาแม้แต่วินาทีเดียว เธอเกือบจะตามเขาไปเข้าห้องน้ำด้วยซ้ำ
ในเมื่อเธอเอาแต่ยืนกรานว่าจะทำแบบนี้ ลู่โจวเลยตัดสินใจให้เธอทำตามที่ต้องการ
สุดท้ายแล้ว การที่เขาป่วยก็นำปัญหามากมายมาให้คนที่ห่วงใยเขา
ในระหว่างที่เขากำลังเดินอยู่ในสวน เขาก็บังเอิญเดินไปเจอเข้ากับคนจาก CTV
ถนนฉางอันก็อยู่ใกล้กับที่นี่
การประชุมคณะรัฐมนตรีที่แสนตึงเครียดเรื่องอนาคตของนิวเคลียร์ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ก็กำลังเกิดขึ้น…
…………………………………….
[1] ชื่อเต็มของ PTSD คือ Post-traumatic stress disorder เป็นสภาวะป่วยทางจิตใจหลังจากต้องเผชิญกับเหตุการณ์กระทบกระเทือนใจอย่างรุนแรง