ความแตกต่างเพียงข้อเดียวระหว่างวันก่อนวันตรุษจีนปีนี้กับปีที่แล้วคือลู่โจวได้กินเกี๊ยวมากกว่าเดิมและไม่ได้เยี่ยมญาติมากเท่าปีก่อน
แต่ถึงมันจะไม่ได้มีชีวิตชีวาเท่าปีที่แล้ว เขาก็ไม่ได้รู้สึกเหงาแต่อย่างใด
ปู่กับย่าของลู่โจวได้จากไปแล้ว และเขาเองก็ไม่ได้สนิทกับญาติคนอื่นๆ ความสัมพันธ์ของเขากับญาติคนอื่นมีแค่การได้กินเลี้ยงด้วยกันครั้งหนึ่งในหนึ่งปี แต่ระหว่างปีก็ไม่ได้ติดต่ออะไรกันเลย
ทุกคนก็มีเรื่องของตัวเองให้จัดการกันทั้งนั้น ปกติแล้วพวกเขาก็เลยไม่ได้ติดต่อกันมากนัก
สิ่งเดียวที่ลู่โจวช่วยพวกเขาก็คือ ช่วยลูกพี่ลูกน้องของเขา ลู่โจวโน้มน้าวให้ลูกพี่ลูกน้องของเขาที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยออโรร่าเปลี่ยนสาขาหลักตัวเอง
ถึงแม้เขาจะไม่เคยไปมหาวิทยาลัยออโรร่ามาก่อน แต่เขาก็เคยเป็นผู้ตรวจเช็กบทความในนิตยสารชื่อดังมากมายอย่าง ‘วิทยานิพนธ์ในคณิตศาสตร์ประจำปี’ และ ‘บันทึกแห่งคณิตศาสตร์’ แล้วเขาก็ยังมีการติดต่อกับศาสตราจารย์หลายคนของแผนกคณิตศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยออโรร่าด้วย ยังไม่นับว่า เขายังมีข้อมูลติดต่อของตัวศาสตราจารย์แต่ละคนเองด้วย
การช่วยให้คนคนหนึ่งย้ายสาขาหลักเป็นเรื่องง่ายมาก เพียงแค่ยกหูโทรศัพท์กริ๊งเดียวเท่านั้น
ในวันตรุษจีนวันที่สอง ลู่โจวได้รับอีเมลในกล่องข้อความ
บ้างก็มาจากพรินซ์ตัน บ้างก็มาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย หลักๆ แล้วก็เป็นเพื่อนของเขาในวงการวิชาการ
เขาต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ของเขากับคนในวงการวิชาการเป็นสิ่งที่น่ามหัศจรรย์มาก
ถึงแม้งานวิจัยของเขาจะทำให้ผู้นำประเทศหลายคนปวดเศียรเวียนเกล้า วงการวิชาการของต่างประเทศก็ไม่ได้ตัดเขาออกจากกลุ่มแต่อย่างใด…อย่างน้อย เขาก็ยังได้รับคำเชิญให้ตรวจเช็กต้นฉบับวิทยานิพนธ์ในคณิตศาสตร์ประจำปีอยู่เรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับทำงานเอามากๆ เขาเลยมักจะปฏิเสธการตรวจเช็กธีสิสที่เขาไม่สนใจ
สุดท้าย ฟิวชั่นที่ควบคุมได้ก็ไม่ใช่ปีศาจร้ายอะไร เครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 โดยพื้นฐานแล้วทำงานต่างจากโปรเจกต์แมนฮัตตัน ถึงแม้ว่ามันจะส่งผลกระทบต่อมุมมองทางการเมืองของทั่วโลก แต่มันก็ไม่ใช่เครื่องจักรสังหารแต่อย่างใด ยังไม่นับว่า จุดประสงค์ดั้งเดิมของโปรเจกต์นี้ไม่ใช่เพื่อการทำลายล้าง
หากมองจากมุมมองทางการเมืองและการปกครองแล้ว พลังฟิวชั่นจะช่วยลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับโลกได้ ทั้งยังสร้างพลังงานที่สะอาดขึ้น และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับมวลมนุษยชาติด้วย…บางทีสหประชาชาติอาจจะให้รางวัล ‘ผู้ปกป้องโลก’ ให้กับเขาด้วยซ้ำไป?
ความเห็นของทุกคนที่มีต่อลู่โจวไม่ได้เปลี่ยนไป นอกจากคนที่ได้รับผลจากพลังงานฟิวชั่นแล้ว ความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม อย่างน้อย ก็จนกว่าลู่โจวจะเข้าวงการออกแบบอาวุธน่ะนะ
ในวันตรุษจีนวันที่สาม
ลู่โจวนอนอยู่ในเครื่อง CT กำลังตรวจร่างกายเป็นครั้งแรกหลังจากผ่านวันตรุษจีนมา
นักวิชาการแคสตินจากราชสมาคมมองไปทางภาพ CT ที่สแกนภายในศีรษะของชายหนุ่มแล้วก็พูดขึ้นว่า “สภาพร่างกายของคุณเป็นปกติดี การบำบัดเป็นไปได้อย่างราบรื่น… ถ้าพูดตรงๆ แล้ว เมื่อมองจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ สิ่งนี้น่าเหลือเชื่อมากเลยนะ”
ลู่โจวถาม “น่าเหลือเชื่อเหรอครับ?”
“ใช่แล้ว” นักวิชาการแคสตินพูดต่อ “การปล่อยให้สมองของคุณอยู่เฉยๆ นานมากกว่า 20 วันด้วยการนอนพักผ่อนธรรมดาน่ะ…คุณอาจจะไม่คิดว่ามันน่าสนใจ แต่นี่นับเป็นเรื่องปริศนาในวงการการแพทย์อย่างหนึ่งเลยทีเดียว”
ลู่โจวเอ่ยขึ้น “ผมว่ามันไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย”
“อย่างไรก็แล้วแต่ พรุ่งนี้ผมจะออกจากโรงพยาบาลแล้วนะครับ” นักวิชาการแคสตินหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเขา เขาเผยรอยยิ้มที่สดใสในขณะที่ยื่นนามบัตรให้กับลู่โจวแล้วพูดว่า “ถ้าคุณอยากหาคำตอบของความลับในสมองของคุณ ก็ติดต่อผมมาได้ตามที่ต้องการเลยนะ ผมพร้อมจะพนันเลยว่านี่ต้องเป็นการค้นพบระดับรางวัลโนเบลแน่ๆ …”
ลู่โจวรับนามบัตรมาแล้วพูดว่า “อ๋อ อันนั้นผมได้มาอันหนึ่งแล้วล่ะ”
“…”
นักวิชาการแคสตินยิ้มเฝื่อนๆ แล้วกระแอมออกมา
“แต่คุณไม่มีรางวัลโนเบลสาขาการแพทย์ใช่ไหมล่ะ? พวกเราเซ็นสัญญาวิจัยสมองของคุณร่วมกันก็ได้นะ…”
ลู่โจวตัดบท “เราค่อยทำวันหลังก็ได้ครับ ตอนนี้สมองผมยังตื่นอยู่”
แคสตินเงียบไป “…”
ถึงลู่โจวจะสงสัยมากๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมองของเขาก็ตาม แต่ด้วยเทคโนโลยีประสาทวิทยาในปัจจุบันนั้น การเข้าใจปริศนาเรื่องสมองของเขายังถือเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หลังจากลู่โจวเดินออกจากห้อง CT เขาก็โยนนามบัตรของนักวิชาการแคสตินลงถังขยะ
จากนั้น โทรศัพท์ของเขาก็สั่นขึ้น
เขาปลดล็อกหน้าจอและเห็นข้อความของเสี่ยวไอโผล่ขึ้นมาบนจอ
[นายท่านคะ มีเมลมาค่ะ ∇ (^∇^*)]
ลู่โจวคลิกลิงก์ที่เชื่อมไปยังอีเมลของเขาโดยตรง
หลังจากอ่านอีเมล เขาก็หยุดนิ่งชั่วขณะ ใบหน้าของเขาปรากฏสีหน้าแปลกๆ
[ถึงศาสตราจารย์ลู่ นี่แคริเบอร์นะ หลังจากที่ผมได้ยินข่าวเรื่องที่คุณโคม่า ผมก็รู้สึกหดหู่มาก ผมขอให้คุณฟื้นตัวไวๆ …
[…ถึงนี่อาจจะดูเป็นการรบกวนไปเสียหน่อย แต่ตอนนี้ผมอยู่ที่ปักกิ่ง ผมไม่รู้ว่าตอนนี้คุณว่างไหม
[ถ้าคุณว่าง มีเรื่องที่ผมจะคุยกับคุณต่อหน้ากันในโลกจริงน่ะ]
…
ศาสตราจารย์แคริเบอร์นั่งอยู่ในร้านกาแฟใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินอู่เคอซง เขามองออกไปนอกหน้าต่าง มองไปทางผู้คนที่กำลังเดินอยู่ข้างนอก สลับกับมองนาฬิกาข้อมือของเขาไปด้วย
ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงกระดิ่งใสแจ๋วจากประตูร้านกาแฟ
ศาสตราจารย์แคริเบอร์หันไปมองและเห็นคนสองคนเดินมาทางเขา
ลู่โจวนั่งตรงข้ามศาสตราจารย์แคริเบอร์และยิ้มออกมาขณะที่พูด “ยินดีที่ได้พบครับ คุณมิตรสหาย”
“ยินดีที่ได้พบเช่นกัน…” แคริเบอร์หันไปมองเหยียนเหยียนที่ยืนอยู่ข้างหลังลู่โจว จากนั้นก็หันไปมองลู่โจวอีกที
เหยียนเหยียนสังเกตเห็นท่าทางของแคริเบอร์จึงพูดกับลู่โจวว่า “คุณอยากให้ฉันออกไปไหม?”
ลู่โจวยิ้มแล้วบอกว่า “ไม่ต้องหรอก นั่งข้างๆ พวกเราก็ได้”
เหยียนเหยียนลังเลอยู่เล็กน้อย และตัดสินใจที่จะไม่นั่ง เธอยังคงยืนอยู่ข้างหลังลู่โจวต่อไป
เมื่อเห็นว่าลู่โจวไม่อยากให้เหยียนเหยียนออกไป แคริเบอร์ก็ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพูดช้าๆ ออกมาว่า “เอาจริงๆ แล้ว…พวกเรามาถึงคอขวดของการวิจัยเครื่องสเตลล่าร์เรเตอร์แล้วล่ะ”
เมื่อเหยียนเหยียนได้ยินคำว่า ‘เครื่องสเตลล่าร์เรเตอร์’ เธอก็เริ่มเป็นกังวลทันที
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของลู่โจวยังไม่เปลี่ยนแปลง เขายิ้มแล้วถามว่า “เหรอครับ?”
เมื่อเห็นว่าลู่โจวไม่อยากจะเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา แคริเบอร์ก็เงียบไปเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมรู้ว่าคำขอครั้งนี้อาจจะทำให้คุณต้องตกที่นั่งลำบาก แต่ผมคิดวิธีอื่นไม่ออกแล้ว นอกจากจะขอให้คุณช่วย…ผมไม่ได้อยากให้คุณช่วยโดยใช้วิธีทางเทคนิคหรอกนะ ผมแค่ต้องการแรงบันดาลใจนิดหน่อยก็พอแล้ว คุณรู้ว่าพลังงานฟิวชั่นจะให้ผลประโยชน์กับมนุษยชาติทั้งหมด ผมหวังว่าคุณจะมอบแรงบันดาลใจในงานวิจัยให้ผมได้บ้าง”
เมื่อเห็นว่าศาสตราจารย์ชาวเยอรมันคนนี้สิ้นหวังแค่ไหน ลู่โจวก็นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง
ในที่สุด เขาก็ถอนหายใจออกมา
“ผมเสียใจด้วย มิตรสหาย ถ้าคุณอยากคุยเรื่องโมเดลคณิตศาสตร์จำลองการไหลของพลาสมา หรือปัญหาคณิตศาสตร์ข้ออื่นๆ ผมก็เต็มใจจะช่วยคุณนะ แต่ผมไม่สามารถช่วยคุณเรื่องฟิวชั่นที่ควบคุมได้จริงๆ
อย่างที่คุณพูดไป เทคโนโลยีนี้จะให้ประโยชน์แห่งมนุษยชาติ แต่น่าเสียดาย ที่ความเย่อหยิ่งและอคติของคุณ ทำให้พวกเรามาอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดการประชุม ITER ไม่ได้จบลงได้แย่แบบนั้น ผมก็คงจะมีโอกาสได้แชร์ชัยชนะนี้กับทุกคนบนโลกไปแล้วล่ะครับ”
ลู่โจวหยุดพูดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ยังไม่นับเรื่องที่ว่า เครื่องปฏิกรณ์สาธิต สตาร์-2 ไม่ใช่โปรเจกต์ของผมคนเดียวด้วยซ้ำนะครับ มันเป็นความพยายามของศูนย์วิจัยหลายร้อยศูนย์ที่ตกผลึกร่วมกัน ถ้าผมช่วยคุณตอนนี้ ก็จะเป็นการหมิ่นเกียรติของคนที่ทำงานอย่างหนักเพื่อผมนะ”
ศาสตราจารย์แคริเบอร์มองลู่โจวด้วยสีหน้าสับสน
“ผมคิดว่าคนจะเห็นด้วยว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ควรจะมีข้อจำกัด…”
“ใช่ครับ ผมเห็นด้วยเรื่องนั้น” ลู่โจวมองเขาแล้วพูดว่า “แต่นักวิทยาศาสตร์ก็มีสัญชาติของตัวเองอยู่”
บทสนทนาเงียบลงทันที
เมื่อลู่โจวเห็นศาสตราจารย์แคริเบอร์เงียบไป เขาจึงพูดต่อ “ผมเข้าใจว่าคุณรู้สึกอย่างไร แต่ผมพูดได้เท่านี้จริงๆ ถ้าคุณอยากจะได้คำตอบมากขนาดนั้นแล้วล่ะก็ ผมจะให้คำใบ้คุณก็ได้นะ”
ศาสตราจารย์แคริเบอร์รีบหันขวับมาทันที
“บอกผมทีสิ”
ลู่โจวเอ่ย “ขอให้นักการเมืองในประเทศคุณช่วยสิ ไม่ต้องขอให้พวกเขามาคุยกับผม ขอให้พวกเขาไปคุยกับนักการเมืองจีนแทน
พวกเรานักวิชาการน่ะ ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการวิจัยอีกแล้วนะครับ คุณไม่ควรจะเป็นคนที่มาขอความช่วยเหลือในฐานะตัวแทนของประเทศตัวเอง
ประเทศจีนเป็นประเทศเปิดนะครับ จะด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม หรือวิทยาศาสตร์ พวกเราก็ไม่เคยหลีกเลี่ยงการร่วมมือพัฒนากับฝั่งสากลเลย แต่การร่วมมือพัฒนาที่ว่าจะต้องขึ้นอยู่กับการตกลงยอมรับของทั้งสองฝ่าย ประเทศหนึ่งไม่ควรจะต้องยอมจำนนให้อีกประเทศ
ผมเชื่อว่าตราบใดที่คุณยอมละทิ้งอคติและแสดงถึงความจริงใจของคุณออกมา ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการร่วมมือระหว่างพวกเราครับ”
………………………………………….