ณ กรุงปักกิ่ง
มีคนมากกว่า 3000 คนกำลังนั่งอยู่ในศาลาประชาคม
คนส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ที่นี่เป็นนักวิชาการจากสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนหรือไม่ก็จากสถาบันวิศวกรรม เจ้าหน้าที่อาวุโสจากหน่วยงานราชการหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับโครงการส่งคนไปดวงจันทร์ และเจ้าหน้าที่ยศสูงอื่นๆ ทุกคนมาอยู่ ณ ที่นี้ด้วยเหตุผลเพียงข้อเดียว คือเพื่อกล่าวขอบคุณและให้คำอวยพรแก่เหล่าฮีโร่แห่งโครงการไปดวงจันทร์
หลังจากการกล่าวเปิดอย่างจริงจังแล้ว พิธียกย่องเหล่าฮีโร่แห่งโครงการส่งคนไปดวงจันทร์ก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ชายสูงวัยหน้าตาใจดีคนหนึ่งเดินขึ้นมาบนเวที
เสียงปรบมือค่อยๆ เบาลง
ท่านประธานาธิบดีหยุดนิ่งไปชั่วขณะ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมและสุขุมว่า
“ดาวเทียมตงฟางหง 1 ของพวกเรา ประสบความสำเร็จในการปล่อยขึ้นสู่อวกาศเมื่อ 51 ปีก่อน นั่นเป็นดาวเทียมดวงแรกของเรา และเป็นก้าวแรกของเราในการก้าวเข้าสู่วงการการบินและอวกาศ”
“18 ปีที่ผ่านมา ยานอวกาศเสินโจว 5 ก็ประสบความสำเร็จในการปล่อยขึ้นสู่อวกาศเช่นกัน พวกเรากลายเป็นประเทศที่สามของโลกที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีการส่งคนไปอวกาศ นำหน้าพวกชาวยุโรป…ครั้งนั้นเป็นก้าวที่สองของเราในวงการการบินและอวกาศ”
ทั้งห้องประชุมตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากพักจังหวะไปครู่หนึ่ง ชายสูงวัยก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง
“และตอนนี้ พวกเราเป็นประเทศที่สองของโลกนี้ที่ได้ไปดวงจันทร์มาแล้ว! นี่เป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ที่สุดลำดับที่สามของเราอย่างไม่ต้องสงสัย!
ผมขอพูดในฐานะที่เป็นตัวแทนของทั้งประเทศนะ ผมอยากจะขอบคุณบุคลากรในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจำนวนมากที่ได้เสียสละตนเพื่อให้ภารกิจส่งคนไปดวงจันทร์ครั้งนี้สำเร็จขึ้นมาได้!”
เสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วห้องประชุมทั้งห้องราวกับเสียงคลื่นซัดในทันที
ท่านประธานาธิบดีพยักหน้าแล้วเดินลงจากเวที
งานยกย่องเริ่มเข้าสู่พิธีการขั้นถัดไป
นักวิชาการหยวน หัวหน้าวิศวกรแห่งองค์การเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์การบินและอวกาศของประเทศจีน มองไปทางนักบินอวกาศทั้งสามคนที่กำลังรับเหรียญรางวัลบนเวที ในใจเขาเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกยินดี
สำหรับเขาแล้ว เวลา 6 เดือนที่ผ่านมาเป็นเหมือนความฝัน
เขาไม่เคยคิดว่าเขาจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นวันที่ระบบการขับเคลื่อนด้วยเครื่องขับดันพลังไอออนสามารถใช้งานได้จริง เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะรู้สึกดีใจหรือเสียใจ
นักวิชาการอู๋คัง หัวหน้าวิศวกรแห่งสถาบันวิจัยยุทโธปกรณ์กองทัพอากาศกำลังนั่งอยู่ข้างๆ เขา อู๋คังพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า
“ผู้ชายคนนั้นน่ะ เก่งมากๆ เลยนะ”
หยวนฮวานหมินเหลือบมองเขา
“คุณกำลังพูดถึง…”
“ศาสตราจารย์ลู่ไง จะให้พูดถึงใครอีกล่ะ?” นักวิชาการอู๋ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “กระทรวงป้องกันราชอาณาจักรติดต่อหากระทรวงยุทโธปกรณ์กองทัพอากาศ และรัฐมนตรีฉินติดต่อหาผมอีกที พวกเขาบอกว่ามีคนสร้างยานอวกาศที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องขับดันพลังไอออน แต่พวกเขากำลังประสบปัญหาเรื่องเงินทุนอยู่ พวกเขาขอให้ผมตรวจสอบว่ามันเชื่อถือได้ไหม…ลองทายสิว่าตอนแรกผมตอบกลับไปว่าอะไร?”
หยวนฮวานหมิน “ไม่รู้หรอก”
นักวิชาการอู๋ตอบ “ผมบอกว่า รีบไปจับตัวคนนั้นเข้าคุกเร็ว! ใครมันกล้ามาโกหกกระทรวงยุทโธปกรณ์กองทัพอากาศ! ไปจับมันเข้าคุกเลย!”
หยวนฮวานหมินรู้สึกอายเล็กน้อย
เอาจริงๆ แล้ว เขาก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เหมือนกัน
แต่สิ่งที่เขาทำก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว
“ขอบคุณพระเจ้าที่คุณไม่ได้จับเขาเข้าคุกจริงๆ “
“ฮ่าฮ่า ก็นะ” นักวิชาการอู๋ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา เขาพูดว่า “รัฐมนตรีฉินบอกผมว่า คนที่พูดถึงเป็นคนพิเศษ และไม่มีใครกล้าจับเขาเข้าคุกหรอก ผมรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังพูดถึงใคร รัฐมนตรีฉินก็เลยรีบพาผมไปดูยานอวกาศนั้นให้เห็นกับตาเลย”
นักวิชาการอู๋พูดเสริมอย่างภูมิใจ
เขาจ้องไปทางโพเดียม ในดวงตาของเขามีร่องรอยของความอัศจรรย์ใจอยู่ในนั้น
“…ผมไม่มีวันลืมสิ่งที่เห็นในวันนั้นได้เลย”
ท่ามกลางเสียงปรบมือ ท่านประธานาธิบดีจับมือนักบินอวกาศทั้งสามคนบนเวที เขาให้รางวัล ‘เหรียญทองดีเด่นทางการบินและอวกาศ’ และ ‘เหรียญเกียรติยศแห่งการบินและอวกาศ’ เพื่อเป็นรางวัลให้แก่ความมุ่งมั่นและความกล้าหาญของพวกเราในโครงการส่งคนไปดวงจันทร์
ต่อจากนั้นก็เป็นรางวัลให้แก่นักวิจัยที่อุทิศตนให้กับโครงการไปดวงจันทร์
ถึงแม้นักบินอวกาศทั้งสามจะเป็นคนที่ไปดวงจันทร์จริงๆ แต่หากไม่มีเหล่าฮีโร่ที่ทำงานอยู่หลังฉาก นักบินอวกาศกลุ่มนี้ก็คงไม่มีโอกาสได้ไปดวงจันทร์
พวกเขายังได้รับรางวัลเหรียญทองดีเด่นทางการบินและอวกาศเหมือนกัน
นี่เป็นเหรียญรางวัลที่มีค่ามากที่สุดในวงการการบินและอวกาศ และเป็นความฝันในชั่วชีวิตหนึ่งของนักบินอวกาศหลายคน ปกติแล้วรางวัลนี้จะเป็นรางวัลที่มอบให้กับนักบินอวกาศและนักวิจัยที่ทำผลงานทางการบินและอวกาศได้ยอดเยี่ยมที่สุด
ท่านประธานาธิบดีมองเหรียญทองที่ส่องประกายในกล่องมองรางวัล เขาคล้องเหรียญรางวัลรอบคอลู่โจวก่อนจะจับมือกับเขา
“ขอบคุณนะ”
ลู่โจว “ขอบคุณครับ!”
ตั้งแต่ที่ลู่โจวได้รางวัลหลิงหยวิน เขาก็เลิกสนใจเรื่องการได้รางวัลอื่นแล้ว ความต้องการของเขาเป็นอะไรที่ง่ายมาก เขาเพียงต้องการให้คนอื่นสนับสนุนการทดลองของเขา เพื่อที่เขาจะได้วิจัยโปรเจกต์วิทยาศาสตร์ต่อไปเรื่อยๆ ได้
ท่านประธานาธิบดีมองลู่โจวอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะยิ้มออกมา
“น่าเสียดาย ที่ผมทำให้คุณได้แค่นี้”
ลู่โจวยิ้มแล้วพูดตอบว่า “โอ้ ท่านพูดเกินไปแล้วครับ แค่นี้ก็มากเกินพอแล้ว”
“เหรียญรางวัลเพียงเหรียญเดียวไม่พอที่จะทดแทนความพึงพอใจของประเทศได้หรอกนะ” ท่านประธานาธิบดีคิดอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ทุกสิ่งที่ผมให้คุณได้ คุณก็มีอยู่แล้ว คุณอาจจะไม่สนใจเรื่องอื่นแล้ว ผมก็คิดมาพักหนึ่งแล้ว…ในเมื่อผมไม่มีอะไรจะให้คุณ ผมตัดสินใจว่าผมจะให้อักษรวิจิตรฝีมือตัวเองกับคุณก็แล้วกัน”
ท่านประธานาธิบดีหยิบกระดาษม้วนหนึ่งมาจากเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาคลี่กระดาษออกแล้วมอบมันให้กับลู่โจว
มีข้อความอันยิ่งใหญ่ประดับอยู่บนกระดาษซวน[1]
[ขอให้โชคดีและความรุ่งเรืองจงบังเกิดแก่ผู้มีพรสวรรค์!]
ตรงมุมมีตราประทับชื่อรูปทรงสี่เหลี่ยมอยู่
ลู่โจวจ้องอักษรวิจิตรด้วยท่าทางอัศจรรย์ใจ
ถึงเขาจะไม่รู้เรื่องศิลปะมากนัก เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังจากปลายพู่กันที่ใช้เขียนบนกระดาษแผ่นนี้
“เขียนได้ดีมากเลยครับ” เขากล่าว
ท่านประธานาธิบดียิ้มแล้วโบกมือ “ถ้าคุณชอบก็หาที่แขวนให้ได้ก็แล้วกัน”
ลู่โจวหยิบกระดาษซวนและกล่องเก็บเหรียญรางวัลมาจากท่านประธานาธิบดี จากนั้นก็โค้งคำนับเป็นการแสดงคำขอบคุณ
ถึงแม้ลู่โจวจะไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้มามีความหมายอย่างไร เมื่อเขามองไปเห็นสายตาอิจฉาริษยาของผู้อำนวยการหลี่ เขาก็รู้ได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่แค่งานอักษรวิจิตรธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง
จะว่าไปแล้ว มันจะไม่ดูโอหังไปหน่อยเหรอถ้าฉันจะแขวนเจ้านี่ไว้ในออฟฟิศตัวเอง
เอิ่ม…
ช่างมันก็แล้วกัน ฉันเอาไปเก็บเป็นของเก่าดีกว่า
………………………………
[1] หรือ ซวนจื่อ เป็นกระดาษสีขาวที่มีลักษณะลื่นและนุ่ม ยับและเน่าเปื่อยยาก ใช้สำหรับการเขียนตัวอักษรจีนและวาดภาพในสมัยโบราณ