นักวิชาการหวังเจิงกวงปรบมือในขณะที่กำลังมองลู่โจวที่อยู่บนเวที แล้วเขาก็พูดขึ้นว่า
“ผู้เฒ่าหลี่…”
นักวิชาการหลี่เจี้ยนกังยังคงปรบมืออยู่ตอนที่เขาจ้องไปทางหวังเจิงกวงแล้วพูดขึ้นว่า “อะไรเหรอ?”
หวังเจิงกวงพูดขึ้นอย่างปลื้มปีติ “ผมคิดว่าพวกเราสามารถอวดเรื่องฟิวชั่นที่ควบคุมได้ไปตลอดชีวิตเลยนะ”
“แน่นอน” หลี่เจี้ยนกังยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเราอวดเรื่องนี้จนกว่าจะตายได้เลย”
“ผมก็คิดแบบนั้น” หวังเจิงกวงถอนหายใจแล้วพูดด้วยเสียงเหนื่อยล้า “มันไม่ง่ายเลยนะ ที่ในช่วงชีวิตของคนคนหนึ่งจะสามารถประสบความสำเร็จในระดับที่สะเทือนโลกน่ะ”
หลี่เจี้ยนกัง “แน่สิ คุณอยากประสบความสำเร็จในระดับที่สะเทือนโลกกี่ครั้งล่ะ?”
หวังเจิงกวงถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ไม่รู้เหมือนกัน แต่ดูเด็กคนนี้สิ บางทีเขาอาจจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงของโลกนี้ก็ได้ เป็นพวกคนที่หาได้ยากในหมู่คนที่หาได้ยากด้วยกัน เป็นคนที่กล้าทำในสิ่งที่คนทั่วไปไม่เคยกล้าคิดมาก่อน”
หลี่เจี้ยนกังเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดออกมาอย่างเห็นด้วยว่า
“เขาเป็นข้อยกเว้น…ช่างเขาเถอะ”
หลังจากที่งานยกย่องเสร็จสิ้นลง งานเลี้ยงฉลองก็ถูกจัดขึ้นในห้องประชุมห้องเดิม ตอนแรกงานเลี้ยงก็ยังมีความเป็นงานทางการ แต่มันก็เริ่มมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้าย ทุกคนในงานก็เดินไปเดินมา ดื่มแอลกอฮอล์ไปพลาง ในขณะที่ปากก็พูดสังสรรค์กัน
ลู่โจวไม่ได้วางแผนว่าจะดื่มแอลกอฮอล์เลย แต่มีคนมากเกินไปที่กระตือรือร้นกับการคะยั้นคะยอให้เขาดื่มมาก…จนอยู่ในระดับที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ดังนั้น เขาจึงจบลงด้วยการเมาแอ๋
เขาควบคุมตัวเองไม่ได้และดื่มเยอะเกินไป เขารู้สึกเวียนหัวและแทบจะยืนตัวตรงๆ ไม่ได้ด้วยซ้ำ โชคดีที่บริกรสาวสวยหยิบผ้าร้อนมาให้ และพาเขาออกจากงานเลี้ยงไปหาที่นั่งพัก
ลู่โจวใช้ผ้าร้อนเช็ดหน้าขณะนั่งลงที่โซฟา เขารู้สึกว่าตัวเองเหงื่อไหลออกมาจากทุกรูขุมขน เนื่องจากความสามารถในการเผาผลาญอย่างรวดเร็วของเขา ทำให้เขาฟื้นตัวจากแอลกอฮอล์อย่างรวดเร็ว
บริกรสาวสวยยืนอยู่ข้างๆ เขา ในขณะที่เธอพูดอย่างอ่อนโยนว่า
“คุณเป็นอย่างไรบ้างคะ?”
“ผมโอเคดี” ลู่โจวสะบัดหัวแล้วพูดว่า “ขอบคุณนะ ผมรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว คุณไปได้แล้วล่ะ”
“ดิฉันได้รับคำสั่งมาให้ดูแลคุณค่ะ ถ้าคุณอยากได้อะไร บอกดิฉันได้เลยนะคะ”
“ผมไม่ต้องการอะไรแล้ว ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้สักแป๊บหนึ่ง แล้วค่อยกลับโรงแรม”
ถ้าเขากลับไปห้องจัดงานอีก เขาต้องเมาแอลกอฮอล์อีกรอบแน่ๆ
นักวิชาการหวังเป็นตัวการหลักของเรื่องนี้เลย ลู่โจวก็ไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน แต่นักวิชาการหวังเอาแต่รินแอลกอฮอล์ให้เขาอยู่เรื่อยๆ สุดท้าย นักวิชาการหวังก็เป็นคนที่ฟุบไปก่อน
บริกรสาวพูดอย่างอ่อนโยนว่า “ดิฉันคิดว่าการปล่อยให้คุณอยู่ที่นี่คนเดียวจะไม่ปลอดภัยนะคะ คุณอยากให้ดิฉันขับรถพาคุณกลับบ้านไหม?”
ลู่โจวยิ้มเจื่อน
ถึงแม้เขาจะรู้ดีว่าเธอมีจุดประสงค์ที่ดี แต่เขาก็มีคนขับรถพาเขากลับบ้านแล้ว
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีคนขับรถแล้ว”
บริกรสาว “…”
…
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไป แขกในงานก็ยังคงสนุกสนานกันต่อ แต่ลู่โจวรู้สึกเหนื่อยแล้ว
หลังจากลู่โจวกล่าวอำลากับเพื่อนๆ เขาก็เดินออกไปที่ทางเข้าหลักของศาลาประชาคมและเข้าไปนั่งในรถของหวังเผิง
ลู่โจวปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าของเขาในระหว่างที่นั่งรถกลับ เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มสร่างเมาอีกรอบ เขาอาบน้ำร้อนในห้องพักโรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
แต่วินาทีที่เขานอนลงกับเตียง โทรศัพท์ของเขาก็เริ่มสั่น
ลู่โจวหยิบโทรศัพท์มาจากตู้ข้างเตียงแล้วหาว เขารับโทรศัพท์ในที่สุด
“สวัสดีครับ?”
เสียงดังมาจากปลายสายว่า
“นี่ศาสตราจารย์ลู่ ผมไม่ได้ปลุกคุณตื่นใช่ไหม?”
ลู่โจวเกาหัวแล้วลงไปนอนกลิ้งบนเตียง
“อันนี้ใครนะครับ?”
“ผู้อำนวยการเฉียนไง!”
เมื่อลู่โจวได้ยินชื่อนี้ เขาก็หยุดนิ่งไปชั่วครู่
“ผู้อำนวยการเฉียนเหรอครับ?”
เอิ่ม…
เขาเป็นใครนะ?
เขาใช้สมองคิดอยู่ครู่หนึ่ง แต่เขาจำไม่ได้ว่าเคยเจอผู้ชายชื่อนี้มาก่อนเลย
ลู่โจวลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามกลับไปอย่างสุภาพว่า
“คุณ…เป็นใครนะครับ?”
ผู้อำนวยการเฉียนถึงกับงง เขาพูดขึ้นว่า “ผมทำงานที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน…”
ลู่โจวอาจจะเป็นผู้มีสิทธิ์ได้รับตำแหน่งนักวิชาการเพียงคนเดียวที่ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการเฉียนเป็นใคร
ตำแหน่งของผู้อำนวยการเฉียนในสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเลือกตำแหน่งของนักวิชาการ เขารับผิดชอบการประสานงานกับคณะกรรมการจากหน่วยงานทางวิชาการหลายแห่ง นักวิชาการทุกคนที่อยากจะได้ตำแหน่งทางวิชาการต่างก็เข้ามาประจบสอพลอใส่เขากันทั้งนั้น
ถ้าหากนักวิชาการเหล่านี้ได้ตำแหน่งทางวิชาการขึ้นมา พวกเขาก็จะได้รับเกียรติทางวิชาการในระดับสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ พวกเขาจะยืนอยู่บนจุดสูงสุดของ ‘ห่วงโซ่อาหารของวงการวิชาการ’ และจะได้รับเงินทุนจำนวนมากในการวิจัย!
แต่ผู้อำนวยการเฉียนก็ไม่ได้โกรธที่ลู่โจวไม่รู้ว่าตนเป็นใคร
เขากระแอมในลำคอและพูดด้วยน้ำเสียงเชิงยินดีว่า
“โอ้…ศาสตราจารย์ลู่ ผมโทรมาเพื่อจะแจ้งคุณว่า ชื่อของคุณผ่านเข้าการตรวจสอบทางวิชาการแล้ว!”
“การตรวจสอบทางวิชาการเหรอ?” ลู่โจวนิ่งไปแป๊บหนึ่งก็พูดต่อว่า “ผมเข้าใจว่ามันอยู่ช่วงต้นเดือนกรกฎาคมไม่ใช่เหรอครับ?”
ถ้าเขาจำไม่ผิด ผลการตรวจสอบทางวิชาการจะออกมาในเดือนมิถุนายน นี่ยังไม่ถึงเดือนมีนาคมเลย เดดไลน์ของการสมัครยังเหลืออีกตั้งเดือนหนึ่ง บางคนยังเขียนใบสมัครไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ แต่ลู่โจวดันผ่านเนี่ยนะ?
ที่สำคัญกว่านั้นคือ เขาไม่ได้สมัครเข้าไปด้วย…
ผู้อำนวยการเฉียนยิ้มแล้วอธิบายว่า “ผลประกาศจะออกสู่สาธารณชนในช่วงต้นเดือนมิถุนายนก็จริง แต่พวกเราได้เริ่มตรวจสอบแล้ว! จะมีการแจ้งผลลัพธ์ให้แก่ผู้มีสิทธิ์ในช่วงหลังจากที่การตรวจสอบเสร็จสิ้น ดังนั้น พวกเราจึงไม่ต้องรอถึงเดือนมิถุนายน”
ลู่โจวถามว่า “แต่ผมไม่ได้ยื่นเรียงความสมัคร 3,000 คำส่งไปนะครับ…”
“ไม่เป็นไรหรอก พวกเรารู้ดีถึงความสำเร็จและเหรียญรางวัลของคุณแล้ว เมื่อมองถึงผลงานที่คุณทำให้กับอุตสาหกรรมการบินและอวกาศของประเทศเรา ผมจึงขอให้เลขาที่ออฟฟิศของผมเขียนเรียงความสมัครให้คุณแล้ว”
“โอเค…ขอบคุณครับ” ลู่โจวตอบ เขาไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ไม่ใช่ว่าเขาจะชวนผู้อำนวยการเฉียนมากินข้าวด้วยกันได้เสียหน่อย…
ถ้าได้เป็นเพื่อนกับเขาก็ดี แต่มันอาจจะนับว่าเป็นการติดสินบนน่ะสิ
แต่จะว่าไปแล้ว การเขียนเรียงความสมัครให้คนอื่นนี่นับว่าได้ด้วยเหรอ?
ขนาดพวกศาสตราจารย์เพี้ยนๆ พวกนั้นยังเขียนเรียงความด้วยตัวเองเลยใช่ไหม?
ลู่โจวสับสนมากเมื่อเขารู้ว่าสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนกำลังทำอะไรอยู่
ผู้อำนวยการเฉียนทำเหมือนไม่มีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น เขายิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ด้วยความยินดี! ถ้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว ผมขอคุยกับคุณทีหลังได้ไหม?”
ลู่โจว “…อ้อ โอเคครับ เดี๋ยวผมจะคุยกับคุณทีหลัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค ลาก่อน!”
กริ๊ก
สายโทรศัพท์สิ้นสุดลง
ลู่โจวมองดูหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองแล้วพึมพำออกมา “นี่มันพิลึกชะมัด”
แต่เขาก็ไม่ได้คิดมากอะไร
เขากำลังมึนๆ อยู่นิดหน่อย สิ่งเดียวที่อยากทำตอนนี้คือนอนหลับ
ยังไม่นับว่าตำแหน่งทางวิชาการนั่นก็ถือเป็นโชคสองชั้นอีกนะ…
ลู่โจววางโทรศัพท์ลงที่โต๊ะข้างเตียง ก่อนจะหลับตาลงแล้วผล็อยหลับไปในเวลาไม่นานหลังจากนั้น…
………………………………….