ลู่โจวคิดว่าหลัวเหวินเซวียนกำลังวางแผนหาเรื่องให้เขากระเป๋าฉีกเสียแล้ว แต่ร้านที่เขาพาไปมันไม่ใช่ร้านที่หรูหราอะไรเลย มันเป็นแค่ร้านอาหารเล็กๆ ธรรมดาๆ ร้านหนึ่งเท่านั้น
คนในร้านส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษา ศาสตราจารย์ และนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยใกล้ๆ อย่างสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีนหรือไม่ก็สถาบันฟิสิกส์พลังงานสูง
ถึงจะยังไม่ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน แต่คนก็นั่งกันเต็มร้านเรียบร้อย
พวกเขาหาที่นั่งได้ที่มุมร้าน บริกรรีบเดินมาเสิร์ฟชากับเมนูสามใบให้
ในขณะที่หลัวเหวินเซวียนและลู่โจวกำลังสั่งอาหาร หวังเผิงก็เข้าไปเดินดูในห้องครัว แล้วเขาก็กลับมานั่งที่เดิมด้วยท่าทางสงบเสงี่ยม
หลัวเหวินเซวียนชินกับบอดี้การ์ดของลู่โจวแล้ว เขาจึงไม่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญอะไร เขาชวนลู่โจวคุยในขณะรออาหารมาเสิร์ฟ
“…เจ้าของร้านนี้มาจากหูเป่ย คนในทีมกับผมก็มากินที่ร้านนี้บ่อยๆ นะ พวกเราได้กินไก่จิงตูกันทุกครั้งเลย พวกเขาคนหนึ่งบอกว่า ไก่จิงตูที่นี่น่ะ ต้นตำรับสุดแล้ว แถมยังกินคู่กับแอลกอฮอล์แล้วเข้ากันได้ดีด้วย”
ลู่โจวดื่มชาอุ่นๆ เข้าไปแล้วพูดขึ้นมาบ้าง “เจ้าของมาจากเมืองจินหลิงเหรอ?”
“ผมว่าอย่างนั้นนะ ไม่แน่ใจเท่าไร…คุณเคยมาที่นี่เหรอครับ?” หลัวเหวินเซวียนตอบ เขามีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ผมเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก” ลู่โจวยิ้มแล้วพูดต่อ “ก็ไก่จิงตูเป็นอาหารชื่อดังที่เจียงหลิงนี่นา พอคุณพูดว่ามันต้นตำรับ ผมก็คิดว่าเจ้าของเขามาจากเมืองเจียงหลิง”
หลัวเหวินเซวียนเกาหัวแล้วพูดต่อ “อ้อ แปลว่าอาหารอันนี้มาจากเจียงหลิงสินะครับ คุณคงกินมาหลายครั้งแล้วแน่ๆ “
ลู่โจวส่ายหัวแล้วพูดด้วยอารมณ์เศร้าเล็กๆ ว่า
“ผมกับน้องสาวโตมาอย่างยากจน ก็เลยไม่มีโอกาสได้กินอะไรแบบนี้หรอก หลังจากโตขึ้นมา ผมก็ไม่มีโอกาสได้กินเหมือนกัน…ช่างเรื่องไก่เถอะ ฟิสิกส์เชิงทฤษฎีไปถึงไหนแล้วล่ะครับ? พวกคุณค้นพบอะไรใหม่ๆ บ้างไหม?”
ก่อนหน้านี้ลู่โจวเอาแต่ง่วนอยู่กับโครงการไปดวงจันทร์ นอกจากข่าวล่าสุดในวงการคณิตศาสตร์ที่เขาสนใจแล้ว เขาก็ไม่มีเวลาเหลือมากพอจะไปตามข่าวกระแสใหม่ๆ ในวงการวิชาการเลย
“การค้นพบที่ใหญ่ที่สุดเมื่อปีที่แล้วก็ต้องเป็นการค้นพบวิธีแก้ปัญหาของการมีอยู่ของสมการหยาง-มิลส์และช่องว่างมวล” หลัวเหวินเซวียนมองลู่โจวแล้วพูดขึ้นว่า “มันก็ค่อนข้างจะโชคไม่ดีนะครับ ศาสตราจารย์หลายคนเลยที่รู้สึกว่าความสำเร็จนี้ควรค่าแก่การได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พวกเขาไม่ได้คาดคิดว่าคณะกรรมการที่ตัดสินรางวัลโนเบลจะให้รางวัลกับความสำเร็จจากการค้นพบผลกระทบสตาร์กกักกันควอนตัม”
ลู่โจวมองหลัวเหวินเซวียนแล้วก็ยิ้มออกมา
“ก็ไม่ได้โชคไม่ดีเลยนะ ผมก็เคยได้รางวัลโนเบลมาแล้วรอบหนึ่ง ผมก็พอใจแล้ว ถ้าราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดนอยากจะให้รางวัลโนเบลผมอีกรอบ ผมเกรงว่าพวกคนในวงการวิชาการจะไม่พอใจนัก”
สำหรับนักวิชาการส่วนใหญ่แล้ว รางวัลโนเบลถือเป็นเป้าหมายที่ต้องทำให้ได้ในชั่วชีวิตหนึ่ง
คนส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จในช่วงวัย 30 และ 40 ปี แต่ก็มีคนจำนวนมากในช่วงอายุ 80 และ 90 ปีที่ยังคงรอรางวัลโนเบลอยู่
การที่คนคนหนึ่งในอายุ 20 ได้รับรางวัลโนเบลก็ถือเป็นความสำเร็จในตัวอยู่แล้ว
ไม่นานนัก บริกรก็กลับมาพร้อมกับหม้อที่เต็มไปด้วยไก่กระเทียมและต้นหอม บริกรวางหม้อลงบนตะแกรง
หลัวเหวินเซวียนดมกลิ่นหอมจากหม้ออาหารแล้วรีบหยิบตะเกียบขึ้นมาทันที จากนั้นเขาก็ขอให้บริกรหยิบเบียร์สักสองสามแก้วมาให้
เขายังต้องทำงานในตอนบ่ายต่ออีก แต่ดื่มไม่กี่แก้วตอนนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก
หวังเผิงนั่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ตัวแข็งเหมือนมัมมี่โดนพันผ้า เขาดื่มชาอย่างเงียบๆ เขายังต้องขับรถต่อ ดังนั้นเขาจึงดื่มแอลกอฮอล์ไม่ได้เด็ดขาด
“แล้วจะทำอะไรต่อล่ะครับ? คุณส่งคนไปดวงจันทร์ได้แล้วนะ จะทำอะไรต่อล่ะ?”
“ผมเหรอ?” ลู่โจวดื่มเบียร์ไปหนึ่งแก้วก่อนจะพูดต่อ “การไปดวงจันทร์ก็เป็นแค่ขั้นแรกเท่านั้นเอง”
หลัวเหวินเซวียนถอนหายใจแล้วพูดว่า “ว้าว ผมไม่เข้าใจการทำงานของสมองของพวกอัจฉริยะอย่างพวกคุณจริงๆ แฮะ”
หลัวเหวินเซวียนมีอาจารย์ที่ปรึกษาเป็นวิทเทนที่พรินซ์ตัน จริงๆ ตัวเขาเองก็ค่อนข้างจะถือว่าเป็นอัจฉริยะคนหนึ่ง
แต่ตั้งแต่ที่เขาได้เจอพ่อหนุ่ม ‘ลู่โจว’ คนนี้ คำนิยามคำว่า ‘อัจฉริยะ’ ของเขาก็ได้เปลี่ยนแปลงไป
ยังมีปลาที่ตัวใหญ่กว่าในทะเลเสมอ
ทั้งสองคนกินไปคุยไป คนโต๊ะข้างๆ ดื่มมากเกินไปจนเริ่มส่งเสียงเอะอะโวยวายแล้ว
ลู่โจวไม่ได้สนใจว่าพวกเขาพูดเรื่องอะไรกัน แต่ก็ยังได้ยินเสียงดังลั่นของพวกเขาอยู่ดี
“ได้ยินไหมว่าศาสตราจารย์ลู่ทำสกายโกลว์ขึ้นมา?!”
“ต้องรู้อยู่แล้ว เพื่อนฉันทำงานที่องค์การการบินและอวกาศของประเทศจีนนะ พวกเรากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่เลย พระเจ้า เขามันบ้าไปแล้ว ส่งคนไปดวงจันทร์ได้สบายๆ แบบนั้น”
ลู่โจวเลิกคิ้วเมื่อได้ยินว่าพวกเขากำลังพูดชื่อของตัวเองออกมา
ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนใจว่าพวกเขาจะคุยกันเรื่องอะไร เขาก็สนใจความคิดของคนอื่นที่มีต่อเขาเอามากๆ
ชายที่สวมแว่นตากรอบสีดำเทเบียร์ลงแก้วให้ตัวเองแล้วพูดว่า “เฮอะ เขาน่ะกระจอก…พวกอเมริกันส่งคนไปดวงจันทร์ได้ตั้งแต่ช่วงปี 1960 แล้ว พอตอนนี้พวกเราส่งคนไปดวงจันทร์ได้บ้าง พวกอเมริกันก็เตรียมตัวไปดาวอังคารกันแล้ว”
เพื่อนของเขาหัวเราะแล้วถามว่า “ดาวอังคารเหรอ? แกเมาแล้วใช่ไหม?”
ชายสวมแว่นตอบกลับ “เฮ้ย ไปอ่านในทวิตเตอร์สิ นาซาเขาทวีตว่ากำลังวางแผนจะปล่อยยานดำรงชีพหนัก 25 ตันไปดาวอังคารนะ อีกเดี๋ยวก็มีงานแถลงแล้ว”
อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเดียวกันนิ่งชะงัก
“25 ตันน่ะนะ? เป็นไปได้เหรอ? พวกเขาโม้แหงๆ !”
“ไม่มีทางหรอกโว้ย ขอเปิด VPN แล้วเข้าทวิตเตอร์แป๊บ”
ถึงแม้คนพวกนี้จะไม่ได้ทำงานอยู่ด้านการบินและอวกาศในสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งประเทศจีน พวกเขาก็ยังมีความเข้าใจขั้นพื้นฐานอยู่ พวกเขารู้ว่า ไม่มีทางที่นาซาจะส่งวัตถุหนัก 25 ตันขึ้นไปยังพื้นผิวของดาวอังคารได้หรอก
ชายสวมแว่นรู้ดีว่าเพื่อนของตัวเองจะไม่เชื่อแน่ๆ เขาจึงยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า
“เหมือนว่า สเปซ-เอ็กซ์จะใช้จรวดบีเอฟอาร์ที่มีเครื่องยนต์แรปเตอร์ 31 ตัวด้วยนะ! หลังจากที่พวกเขาส่งยานดำรงชีพไปดาวอังคารได้แล้ว พวกเขาก็จะส่งคน 1-5 คนขึ้นไปบนดาวนั้นแหละ ตอนนี้พวกเขาตามหาอาสาสมัครจากทั่วโลกแล้ว”
หลัวเหวินเซวียนประหลาดใจมาก เขาหันไปมองลู่โจว
“…จริงเหรอเนี่ย?”
ลู่โจวประหลาดใจมากกว่าหลัวเหวินเซวียนเสียอีก
อิหยังวะเนี่ย…
ไปดาวอังคาร?
พวกคนอเมริกัน จะเอาอย่างนี้เลยเหรอ ถามจริง?!
………………………………………..