นิวยอร์ก
ตึกนิวยอร์กไทมส์
ประตูออฟฟิศบรรณาธิการเปิดอยู่ ชายใส่สูทดำเดินเข้ามาด้วยความเร่งรีบ เขาวางกองเอกสารบนโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ
“แอนเดอร์ นี่คือแบบสำรวจโปรแกรมแอรีส หวังว่าคุณจะรวบรวมข้อมูลเหล่านี้สำหรับการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป แล้วส่งกลับมาให้ผมภายในวันนี้”
“โอเคครับหัวหน้า”
ชายชื่อแอนเดอร์หยิบเอกสารขึ้นมา เขาเลียนิ้วชี้และเริ่มเปิดเอกสารทีละแผ่น
แม้ว่าการกระทำนี้จะไม่ค่อยถูกสุขลักษณะเท่าไหร่นัก แต่มันเป็นความเคยชินของเขาไปแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่ได้รับข่าวที่น่าตื่นเต้น เขาจะเลียนิ้วตัวเองแม้ว่าเอกสารนั้นจะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ก็ตาม
แอนเดอร์อ่านแบบสำรวจข้อมูลจนเสร็จ เขานั่งตัวตรงและพูดด้วยความตื่นเต้น
“….ไม่อยากจะเชื่อเลย อัตราการอนุมัติการบริหารเพิ่มสูงขึ้น 14.3%”
บรรณาธิการดุ๊คหยิบเอกสารในลิ้นชักออกมา เขายิ้มยิงฟันขณะกำลังเขียนอะไรบางอย่าง
“ใช่แล้ว ผู้คนต่างพากันให้ความสนใจโปรแกรมแอรีสและการคัดเลือกอาสาสมัครกันอย่างมาก โคลัมเบียทีวีได้ติดต่อพวกเขาและอยากจะทำทอล์คโชว์”
แอนเดอร์เงยหน้ามองและพูด “ทอล์คโชว์เหรอ กับใคร? “
ดุ๊ค “ก็กับผู้โชคดีที่ได้รับเลือกสำหรับโปรแกรมแอรีสนั่นไงล่ะ”
ดวงตาของแอนเดอร์เบิกกว้าง เขายืนขึ้นและพูด “บ้าเอ๊ย แล้วมีการคัดเลือกคนทั้งสามคนแล้วหรือยัง”
ดุ๊ค “พวกเขาคัดเลือกเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ประกาศ เพื่อนของผมที่นาซาบอกว่านักบินอวกาศทั้งสามคนที่ได้รับการอบรมที่ทะเลทรายแอริโซนา และกำลังเรียนรู้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับอวกาศอยู่”
แอนเดอร์พูด “พวกเขาเป็นคนธรรมดาหรือเปล่า”
ดุ๊ค “สองคนเป็นประชาชนธรรมดาทั่วไป ส่วนอีกคนเป็นศาสตราจารย์”
แอนเดอร์ส่ายหัวและถอนหายใจขณะที่พูด “…เอาล่ะ ผมคงไม่ได้ถูกเลือก นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ผมต้องจ่ายเงินเพื่อจะได้เป็นอาสาสมัครในโปรเจกต์แบบนี้ ดูเหมือนว่าเงินร้อยเหรียญของผมช่างสูญเปล่า ผมตั้งความหวังว่าจะได้เป็นนักข่าวคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ไปดาวอังคาร แต่ความหวังนี้คงไม่เหลือแล้ว”
ดุ๊คที่กำลังอารมณ์ดีพูดให้กำลังใจเขา “ไม่ขนาดนั้นหรอก แม้ว่าพวกนั้นเป็นกลุ่มแรกที่ได้ขึ้นไป แต่ในอนาคตก็มีโอกาสอีกตั้งหลายโอกาส”
ขณะที่ทั้งคู่กำลังพูดคุยกันอยู่ ประตูออฟฟิศถูกเปิดออก
ดุ๊คมองหญิงสาวที่เดินเข้ามา คิ้วของเขาขมวด
“คามิล คุณลืมเคาะประตู”
“ขอโทษนะ แต่ฉันไม่มีเวลาแล้ว” คามิลพูดขณะที่เดินเข้ามาที่โต๊ะของดุ๊ค เธอสะบัดผมสีบลอนด์และวางโน้ตบุ๊กลงบนโต๊ะ เธอพูด “มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นที่เอเชีย! เชื่อฉันนะ เรื่องนี้จะต้องเป็นข่าวดังแน่พรุ่งนี้”
หลังจากที่ดุ๊คเห็นว่าคามิลตื่นเต้นมากๆ เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหันมาสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น
คามิลไม่ใช่เด็กใหม่
ดุ๊ครู้ว่าคามิลเป็นคนที่ใจเย็น จะต้องมีเรื่องมหัศจรรย์อะไรเกิดขึ้นแน่ๆ ที่ทำให้เธอตื่นเต้นขนาดนี้
ดุ๊คมองไปที่โน้ตบุ๊ก ภายในเวลาไม่ถึง 10 วินาที เขาอึ้งไป
เขาถามทันที “เชื่อได้จริงไหม”
“ฉันมั่นใจค่ะ” คามิลพูดด้วยความตื่นเต้น “ฉันติดต่อเพื่อนเก่าที่อยู่ปักกิ่ง และได้รับการยืนยันกับพวกเขาแล้ว เมื่อวาน ประเทศจีนมีการประชุม สภาบริหารแห่งรัฐกระทรวงป้องกันราชอาณาจักรและองค์การอวกาศแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประกาศเนื้อหาการประชุมในเว็บไซต์หลักของพวกเขา”
แอนเดอร์ยังคงนั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาถาม “นี่มันอะไร”
คามิล “ประเทศจีนโต้ตอบแผนการแอรีสของเรา ด้วยการประกาศแผนการสร้างสถานีอวกาศที่วงโคจรดวงจันทร์ และชื่อของแผนการนี้ก็คือปราสาทจันทรา”
ปราสาทจันทราเหรอ?
ชื่อประหลาด
ไม่ใช่แค่ชื่อเท่านั้นที่ทำให้แอนเดอร์ประหลาดใจ…
“พวกเขาบ้าไปแล้วเหรอ พวกเขารู้หรือเปล่าว่าสถานีอวกาศคืออะไร”
“ฉันก็ไม่รู้” คามิลสูดลมหายใจและพยายามตั้งสติ เธอมองไปที่ดุ๊คและพูด “ไม่ต้องสงสัยเลยข่าวนี้ต้องดังระเบิดแน่พรุ่งนี้”
ดุ๊คจ้องมองไปที่โน้ตบุ๊กเป็นเวลานาน เขาสูดลมหายใจเข้าและพูดด้วยเสียงสั่นเครือ
“ดีมาก เยี่ยมมาก! “
ดุ๊คตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มคิดว่าพาดหัวข่าวพรุ่งนี้จะเขียนว่าอะไรดี
จีนต้องการสร้างสถานีอวกาศ? พวกเขาทำได้จริงหรือ?
คำคำเดียวที่คิดออกที่สามารถบรรยายสถานการณ์ตอนนี้ได้ก็คือจองหอง พวกจีนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ
…
การประกาศแผนการสร้างสถานีอวกาศบนดวงจันทร์ของประเทศจีนสร้างความฮือฮาให้กับคนทั้งโลก
นิวยอร์กไทมส์ วอชิงตันไทม์ และสื่ออเมริกาต่างๆ รายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้
เมื่อเทียบกับการส่งคนขึ้นไปบนดวงจันทร์แล้วข่าวนี้ดึงดูดสายตาผู้คนได้มากกว่า เพราะการสร้างสถานีอวกาศในวงโคจรดวงจันทร์ยากกว่าการส่งยานลงดวงจันทร์หลายเท่า
แม้ว่าอเมริกาจะกำลังทำการวิจัยเรื่องนี้ แต่โปรเจกต์ดวงจันทร์ของพวกเขาก็น่าจะสำเร็จปี 2022
สำหรับคนอเมริกาส่วนใหญ่ พวกเขาคิดว่าแผนการของจีนเป็นไปไม่ได้
พวกเขาคิดว่าประเทศจีนเพิ่งจะส่งคนขึ้นไปบนดวงจันทร์หมาดๆ ตอนนี้กลับทำสิ่งที่ดูจะเกินตัวไปหน่อย
สื่อและสำนักพิมพ์ค่อนข้างมีอคติในการทำข่าวนี้ ทำให้บรรดารายการทอล์คโชว์ทั้งกลางวันกลางคืนต่างพากันล้อเลียนประเทศจีน
แม้ว่าคนอเมริกาจะบอกว่าจีนมั่นใจเกินไป แต่ลึกๆ แล้วพอจะมีเหตุผลที่เชื่อว่าจีนอาจทำได้
เพราะสายการบินสกายโกลว์ก็ประสบผลสำเร็จมาแล้ว ขนาดสื่อหัวรุนแรงยังไม่เชื่อสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญนาซาออกมาพูด พวกนั้นเชื่อว่าโปรแกรมดวงจันทร์ที่จีนวางแผนจะต้องล้มเหลว
แม้ว่าโอกาสที่ประเทศจีนจะทำพลาดมีมากถึง 80%
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือคำวิพากษ์วิจารณ์ส่วนใหญ่มาจากประเทศจีนเอง
ลู่โจวไม่รู้ว่าเขาทำให้ใครเคืองหรือเปล่า แต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ
แล้วถ้าเกิดเขาทำจริงๆ แล้วจะทำไม
เพราะคนที่ฉลาดส่วนใหญ่ย่อมไม่โกรธอยู่แล้ว
ส่วนพวกที่ไม่ฉลาด…
ลู่โจวไม่ได้มีธุระอะไรกับพวกเขา
หลังจากที่ลู่โจวกกลับมาถึงจินหลิง เขาก็ยุ่งขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีเวลาจะสนใจกับเรื่องพวกนี้ในอินเทอร์เน็ต
เขานั่งอยู่ในออฟฟิศ ขณะกำลังอ่านเอกสารอยู่ อยู่ดีๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู
เขาเงยหน้าขึ้นมองและถาม “ใครครับ”
“ผมชื่อสวี่เหวินห่าว มาจากสถาบันการทดลองชีวเคมี ผมมาพร้อมกับรายงานครับ”
หลัวเหวินเซวียนแทบจะหัวเราะออกมา
อะไรกัน อยู่ในกองทหารหรือไง
ลู่โจวจำได้ว่าเขาเคยขอความช่วยเหลือจากห้องทดลองชีวเคมี เขาเปลี่ยนสีหน้าและพูดขึ้น
“เข้ามา”
ประตูออฟฟิศถูกผลักเปิดออก สวี่เหวินห่าวเดินเข้าไปพร้อมกองเอกสารในมือ
“ศาสตราจารย์ครับ ผลทดสอบที่คุณต้องการอยู่นี่แล้วครับ ส่วนตัวอย่างที่เหลือก็อยู่นี่เหมือนกัน”
ชายหนุ่มวางผลการทดสอบและตัวอย่างที่เหลือบนโต๊ะของลู่โจวด้วยท่าทางที่เอาจริงเอาจัง ลู่โจวรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“…ขอบคุณ”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ” สวี่เหวินห่าวยิ้มและเกาหัวตัวเองขณะที่พูด “เอ่อ คุณช่วยเซ็นอะไรให้ผมหน่อยได้ไหม ช่วยเซ็นหนังสือเคมีไฟฟ้าให้ผมที”
อยู่ดีๆ หนังสือเคมีไฟฟ้าก็โผล่มาเหมือนกับเวทมนตร์
ลู่โจวพูด “โอเค…เอามาเลย”
สวี่เหวินห่าวยิ้มและพูด “นี่ครับ”
การเซ็นหนังสือเรียนไม่ใช่เรื่องยากอะไรสำหรับลู่โจว เพราะเขาต้องเซ็นเอกสารจำนวนมากต่อวันอยู่แล้ว
ลู่โจวเปิดหนังสือเรียนผ่านๆ และเห็นโน้ตที่เขียนด้านใน เขาจึงถามขึ้น “คุณศึกษาเคมีไฟฟ้าด้วยตัวเองเหรอ”
สวี่เหวินห่าวยิ้มและพูด “ครับ ผมกำลังพยายามอย่างมาก! ผมอยากทำงานที่สถาบันวัสดุเชิงคำนวณ”
สถาบันชีวเคมีเคยเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันวัสดุเชิงคำนวณ แม้ว่าที่สถาบันชีวเคมีจะได้รับทุนสำหรับการวิจัยค่อนข้างเยอะ แต่ก็ไม่ได้เยอะเท่ากับสถาบันวัสดุเชิงคำนวณ
แต่ก็อย่างว่าสถาบันชีวเคมีเป็นหน่วยงานวิจัยที่เพิ่งเปิดใหม่ ส่วนอีกที่ก็เป็นถึงสถาบันวัสดุเชิงคำนวณชั้นนำของโลก ไม่ต้องพูดถึงนักวิชาการบ้านๆ เพราะขนาดดอกเตอร์ชาวต่างชาติยังเข้าสถาบันนี้ยากเลย
คนส่วนใหญ่ที่สถาบันชีวเคมีจะจบปริญญาโทหรือไม่ก็ปริญญาเอก พวกเขาต่างตั้งเป้าหมายที่จะเข้าสถาบันวัสดุศาสตร์เชิงคำนวณ
เพราะวัสดุศาสตร์คล้ายคลึงกับชีวเคมี พวกเขาอยากจะทำงานในสถาบันที่มีกองทุนงานวิจัย
ลู่โจวรู้ว่าสวี่เหวินห่าวกำลังคิดอะไรอยู่ เขาส่ายหัวและยิ้ม แล้วก็เซ็นชื่อของตัวเองลงในหนังสือเรียน
อยู่ดีๆ เขาก็นึกอะไรบางอย่างออก เขาจึงพูดขึ้น “ผมจำได้ว่าคุณเรียนชีวเคมีใช่ไหม”
สวี่เหวินห่าวไม่คิดว่าลู่โจวจะจำคนธรรมดาๆ แบบเขาได้
เขารู้สึกปลื้มใจ
“ใช่ครับ”
ลู่โจววางปากกาลง เขาคิดครู่หนึ่งก่อนจะพูด
“จริงๆ แล้วคุณไม่ต้องกังวลเรื่องที่จะเข้าสถาบันวัสดุเชิงคำนวณหรอกนะ สถาบันชีวเคมีเป็นกุญแจสำคัญของสถาบันพัฒนาในอนาคต
ดวงตาของสวี่เหวินห่าวเบิกกว้างขณะที่พูด “จริงเหรอครับ”
“ผมจะโกหกทำไมล่ะ” ลู่โจวยิ้มและคืนหนังสือเรียนให้กับสวี่เหวินห่าว ลู่โจวตบไหล่เขาและพูด “ตั้งใจทำให้เต็มที่นะ ผมรอดูความสำเร็จของคุณอยู่”
……………………………………