หลังจากที่การทดลองจอห์นสันแอนด์จอห์นสันประสบความสำเร็จ ศาสตราจารย์เกรนจ์ก็เป็นศูนย์กลางของการวิพากษ์วิจารณ์โดยสาธารณชน
คนส่วนใหญ่ต่อต้านการพัฒนาเทคโนโลยีการแช่แข็งมนุษย์
ถึงแม้ว่ามันจะเพิ่มโอกาสให้กับผู้ป่วยโรคร้ายแรง คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีเงินมากพอที่จะใช้งานตู้แช่แข็งนานหลายสิบปี
เทคโนโลยีเช่นนี้มีมาเพื่อรับใช้แค่ชนชั้นสูง ดังนั้น ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนชนชั้นล่างจะสนับสนุนการมีอยู่ของมัน
ศิลปินชาวดัตช์ยังได้วาดรูปน้ำมันล้อเลียนประเด็นนี้ เขาวาดรูปมัมมี่แช่แข็งในโลงศพน้ำแข็งนั่งอยู่บนบัลลังก์ มีกลุ่มบริวารในชุดสูทคุกเข่ารอบมัมมี่ เขากำลังล้อเลียนว่าพวกบริวารคิดว่าตัวเองอาจจะได้นั่งบนบัลลังก์ คล้ายกับฟาโรห์เมื่อหลายพันปีก่อน
นักเขียนไซไฟชาวอเมริกันวาดรูปสังคมที่ล่มสลายถูกปกครองโดยบริวารที่ไม่เคยปลุกเจ้านายให้ตื่น
ในสังคมล่มสลาย ผู้คนมีชีวิตที่ยากจนมาก การพัฒนาสังคมถูกชะงักไว้ และสังคมแข็งตัวถึงจุดที่มันแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเลื่อนชนชั้นผ่านการพยายามด้วยตัวเอง นี่เป็นเพราะว่าทรัพย์สินส่วนใหญ่ถูกควบคุมโดย ‘มัมมี่แช่แข็ง’
ในมุมหนึ่ง แง่มุมพวกนี้ค่อนข้างสุดโต่ง แต่มันก็มีตรรกะเบื้องหลังเรื่องพวกนี้ ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ดึงดูดความสนใจได้อย่างมาก
คำถามว่าเทคโนโลยีนี้ถูกศีลธรรมหรือไม่ถูกถกเถียงทั้งในและนอกแวดวงวิชาการ
ระหว่างที่การโต้เถียงกำลังดำเนินอยู่ มีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น
ระหว่างที่ทุกคนวุ่นวายกับการเขียนความเห็นตัวเองเรื่องเทคโนโลยีนี้ สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงค่อยๆ ก่อตั้งกลุ่มวิจัยการแช่แข็งจำศีลมนุษย์ พวกเขาเชิญหลิวจัวปิง ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการห้องแล็บการแพทย์การแช่แข็งเซลล์ที่โรงพยาบาลทั่วไป PLA ให้เป็นผู้จัดการโปรเจกต์
เมื่อข่าวนี้หลุดออกไป มีเสียงอื้ออึงเกิดขึ้นในชุมชนสากล
พวกเขาจะไม่สนใจถ้ามันเป็นสถาบันไม่มีชื่อเสียง แต่นี่เป็นสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูง!
คนเหล่านี้เป็นผู้คิดค้นเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้
คนเหล่านี้เป็นผู้ออกแบบยานอวกาศสกายโกลว์!
ที่สำคัญที่สุด ศาสตราจารย์ลู่เป็นหัวหน้าสถาบัน…
คนที่ต่อต้านการแช่แข็งเริ่มกังวลขึ้นกะทันหัน
บ้าเอ๊ย!
ศาสตราจารย์ลู่สนใจ!
ถ้าเขาทำสำเร็จได้จริงล่ะ?
ถึงแม้ว่าลู่โจวไม่เคยแสดงความสามารถในด้านชีววิทยาหรือว่าเขาไม่เคยข้องเกี่ยวกับการวิจัยทางชีววิทยา ไม่มีใครแน่ใจกับทักษะที่แท้จริงของเขา
ท้ายที่สุดแล้ว ลู่โจวสร้างปาฏิหาริย์มาแล้วนับไม่ถ้วน
หลายคนที่ช่างสังเกตการณ์มากกว่าเห็นว่าศาสตราจารย์หลิวจัวปิงเป็นหัวหน้าโปรเจกต์วิจัย และพวกเขาชี้ว่าชื่อของหลิวจัวปิงถูกอ้างอิงในธีสิสของศาสตราจารย์เกรนจ์…
สัญญาณทั้งหมดนี้ชี้ว่าลู่โจวไม่ได้ล้อเล่น และเขาจริงจังเรื่องการแก้ปัญหานี้
…
อาคารภาคเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน
แองกัส ดีตันออฟฟิศ นั่งในออฟฟิศของเขา เขาถอดแว่นตาและโยนหนังสือพิมพ์ไว้บนโต๊ะ
“ไม่อยากจะเชื่อเลย!”
ศาสตราจารย์วิทเทนนั่งตรงข้ามเขา วิทเทนยิ้มและจิบชา
“มีอะไรเหรอ? เพื่อน”
ห้าปีก่อน วิทเทนเริ่มหัวล้านและตอนนี้เขาเหลือผมบนหัวไม่กี่เส้น
นี่ล่ะชีวิต
เขาเกิดปี 1951 ตอนนี้เขาอายุ 70 กว่าปีแล้ว และเขาเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิตแล้ว
สองปีก่อน ศาสตราจารย์อติยาห์เสียชีวิตระหว่างที่ทำภารกิจหาทางไขการคาดคะเนของรีมันน์ เรื่องนี้ส่งผลอย่างมากต่อวิทเทน จนถึงตอนนี้ วิทเทนอยู่อย่างสันโดษที่พรินซ์ตัน
“ผมไม่รู้ว่าทำไมลู่โจวถึงทำเรื่องแบบนี้! ไม่มีทางที่คนฉลาดแบบเขาจะไม่รู้เรื่องแบบนี้!” ศาสตราจารย์แองกัสเปิดอีเมลอย่างโกรธเกรี้ยว นิ้วของเขาสั่นระหว่างที่กำลังพิมพ์ลงคีย์บอร์ด
วิทเทนมองดูเพื่อนของเขาแล้วยิ้ม
“ใจเย็นก่อน เพื่อน เราไม่ได้เด็กๆ กันแล้ว ระวังเรื่องความดันด้วย”
“แต่…ผมต้องหยุดเขา!”
วิทเทนวางถ้วยชาลงแล้วคิดอยู่สักพักก่อนจะพูดต่อ “บางที…เขาอาจจะมีเหตุผลของตัวเอง?”
แองกัสหยุดพิมพ์ลงคีย์บอร์ด เขาขมวดคิ้วและหันมองวิทเทน
“คุณกำลังพูดว่า…รัฐบาลจีนกำลังบังคับให้เขาทำสิ่งนี้?”
“ไม่น่าหรอกแต่มันก็เป็นไปได้!” เอ็ดเวิร์ด วิทเทน ยิ้มและพูดว่า “เขาเป็นคนที่ดื้อดึงมาก เขาไม่น่าจะทำอะไรที่เขาไม่อยากทำ ในทางกลับกัน เขาทำทุกอย่างที่เขาตั้งเป้าไว้สำเร็จ”
แองกัสเงียบไปและเขาเอนหลังที่เก้าอี้
“ในเมื่อคุณรู้จักเขาดี ทำไมเขาถึงทำแบบนี้?”
“คุณพูดผิดแล้ว ผมไม่รู้จักเขาดีขนาดนั้น แม้แต่ตอนที่เขาอยู่ที่พรินซ์ตัน ผมแค่รู้จักเขาในฐานะนักวิชาการที่มีความสามารถ” วิทเทนพูด “ในทางกลับกัน ศาสตราจารย์เฟฟเฟอร์แมนรู้จักเขาดีมากกว่าผมเยอะ ผมแค่เห็นว่าเขาเป็นนักวิชาการที่มีเกียรติ”
ศาสตราจารย์แองกัสพูดด้วยความโกรธ “แต่เขากำลังใช้ความรู้ทำเรื่องผิดศีลธรรม!”
“ใครจะไปรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต บางทีผมอาจจะไม่ถูกต้องทางการเมือง แต่ผมไม่คิดว่าการแช่แข็งจำศีลมนุษย์นั้นแย่แบบที่คุณคิด” ศาสตราจารย์วิทเทนยิ้มและพูดว่า “มันจะไม่ใช่กว่าการประดิษฐ์คิดค้นโทรศัพท์มือถือใช่ไหม? สิ่งที่พวกมิลเลนเนียมทำทุกวันนี้คือเล่นโทรศัพท์มือถือ”
แองกัสส่ายหน้าและพูดว่า “คุณไม่เข้าใจ”
วิทเทนยิ้มและพูดว่า “คุณพูดถูก ผมไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ ผมเป็นแค่นักฟิสิกส์ แต่ผมคิดว่าเราคล้ายกันมากกว่าที่คุณคิด ผมใช้คณิตศาสตร์เพื่อศึกษาฟิสิกส์ คุณใช้คณิตศาสตร์เพื่อศึกษาเศรษฐศาสตร์”
แองกัสพูดว่า “แต่โมเดลเศรษฐศาสตร์ของผมเป็นโมเดลปรากฏการณ์ที่ได้รับการทดสอบมาอย่างละเอียด! มันคาดการณ์พฤติกรรมของมนุษย์โดยไม่ลำเอียง” จากนั้นแองกัสพูดอย่างเสียดสี “ถ้าคุณคิดว่ามันง่ายแบบนั้น ทำไมคุณไม่ใช้โมเดลเศรษฐศาสตร์เชิงคณิตศาสตร์เพื่อชนะรางวัลโนเบลล่ะ?”
วิทเทนยิ้มแล้วพูดว่า “โอ้…ผมแก่ไปสำหรับเรื่องนั้น บางทีผมอาจจะใช้เทคโนโลยีการแช่แข็งเพื่อชนะรางวัลโนเบล”
“เพื่อน เราต่างตายกันหมดในท้ายที่สุด การยอมรับความตายไม่มีอะไรผิดเลย” แองกัสมองดูวิทเทนและพูดว่า “ผมรู้ว่าการจากไปของวิทเทนส่งผลอย่างมากต่อคุณ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นกับเราด้วย ไม่มีอะไรต้องกังวลไป”
“ผมไม่อยากพูดเรื่องนี้กับคุณ” วิทเทนยิ้มและพูดตอบ “ในเมื่อคุณมีเรื่องจะพูดกับลู่โจว ทำไมคุณไม่ไปถามเขาต่อหน้าล่ะ? ทุกครั้งที่ผมคุยกับเขาต่อหน้า ผมฉลาดมากขึ้นเล็กน้อย…ถ้าหมอไม่ได้แนะนำให้ผมบินน้อยลง ผมคงจะไปกับคุณ”
“ไอเดียเยี่ยม!”
ศาสตราจารย์แองกัสปิดคอมพิวเตอร์แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้ช้าๆ เขาเริ่มเดินออกจากออฟฟิศ
วิทเทนมองดูเพื่อนเก่าเดินออกจากออฟฟิศแล้วยิ้ม
“ฝากสวัสดีศาสตราจารย์ลู่เผื่อผมด้วย แล้วบอกเขาด้วยว่าเพื่อนของเขาอยากเล่นไพ่ด้วย!”
แองกัสไม่ได้ตอบอะไร
เขาจากไปนานแล้ว
วิทเทนยิ้มและส่ายหน้า เขาจับแขนโซฟาและลุกขึ้นอย่างช้าๆ
“เมื่อคุณแก่ขึ้น เวลามักจะผ่านไปรวดเร็วมาก…”
เขามองดูนอกหน้าต่างแล้วเห็นนกพิราบเต่าเกาะกิ่งไม้ ทันใดนั้น เขาพึมพำกับตัวเอง ‘ดีจัง’
…………………………………………….