ทางภาคอุตสาหกรรมตั้งตารอที่จะได้พบทีมวิจัยที่คิดค้นชิปคาร์บอน แต่ในทางกลับกัน กระทรวงความมั่นคงของรัฐได้คุยกับทีมของศาสตราจารย์อู๋เพื่อที่จะปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เงินโบนัส 20 ล้านหยวนจากสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงถูกส่งมอบให้กับนักวิจัย
เนื่องจากต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับ ทำให้โบนัส 20 ล้านหยวนถูกส่งมอบให้กับนักวิจัยอย่างเงียบๆ ลู่โจวจึงรู้สึกว่าเรื่องนี้โชคร้ายไปหน่อย
เหตุผลเดียวที่เขามอบโบนัสมากขนาดนี้ก็เพื่อกระตุ้นแผนกวิจัยอื่นๆ
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่ามันไม่ได้สำคัญขนาดนั้น
เพราะโบนัสจำนวนขนาดนั้นย่อมเป็นเรื่องที่ปิดยากอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงจะไม่ได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นแต่คนอื่นก็พอจะเดาถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังได้อยู่ดี
ก่อนที่ประเทศจีนจะวางแผนอุตสาหกรรมชิปคาร์บอนสำเร็จ พวกเขาจะต้องเก็บทุกอย่างเป็นความลับสุดยอด
สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงจะต้องร่วมมือกับหน่วยข่าวกรองเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ
เวลาของการรายงานสมมติฐานเสมือนของรีมันน์ของลู่โจวช่างเหมาะเจาะ คนทั้งโลกให้ความสนใจงานวิจัยสมมติฐานของรีมันน์ของศาสตราจารย์ลู่…
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลางเดือนธันวาคมกำลังจะมาถึง บรรยากาศที่เมืองจินหลิงก็แปลกไปจากทุกที
อย่างแรกคือมีป้ายประกาศที่สนามบินเพื่อเป็นการต้อนรับนักคณิตศาสตร์จากทั่วโลก
แล้วก็มีการตรวจสอบอัคคีภัยและสาธารณสุขรอบๆ เมือง ในทุกที่ตั้งแต่สนามบินไปจนถึงมหาวิทยาลัยจินหลิงทำให้ทุกอย่างนั้นต่างไปจากเดิม
บรรยากาศในเมืองดีขึ้นเล็กน้อย
สภาเทศบาลเมืองและผู้อาวุโสจากสมาคมคณิตศาสตร์จีนอยากจะสร้างความประทับใจให้กับนักวิชาการต่างชาติ
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่คาดคิดก็คือนักคณิตศาสตร์จากทั่วโลกเหล่านี้ไม่ได้สนใจเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เลย สิ่งเดียวที่พวกเขาสนใจก็คือการรายงานที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองวันต่างหาก
โมลิน่าลากกระเป๋าเดินทางและเดินผ่านอาคารผู้โดยสาร เธอเดินผ่านศุลกากรพร้อมจดหมายเชิญในมือ เธอดูสับสน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมาจินหลิง
และเป็นครั้งแรกของเธอที่ประเทศจีน
อยู่ดีๆ เธอก็สังเกตเห็นใครบางคนที่ดูคุ้นหน้าเดินอยู่ใกล้ๆ เธอจำไม่ได้ว่าทำไมคนคนนั้นจึงดูคุ้นหน้า เธอจึงเดินไปที่เขาและถาม “สวัสดีค่ะ ฉันจะไปที่หอประชุมเก่าของมหาวิทยาลัยจินหลิงได้อย่างไรคะ”
คนคนนั้นยิ้มและตอบอย่างเป็นมิตร “ขอโทษนะครับผมก็ไม่ใช่คนที่นี่ ผมตั้งใจว่าจะนั่งแท็กซี่ไป คุณกำลังจะไปฟังบรรยายของศาสตราจารย์ลู่ใช่ไหม”
โมลิน่า “ค่ะ…คุณไม่ได้มาจากประเทศจีนเหรอคะ”
“ผมเป็นคนออสเตรเลียแต่เกิดที่ประเทศจีน อาศัยอยู่ที่ลอสแอนเจลิส” เถาเจ๋อเซวียนยิ้มและมองจดหมายในมือขณะที่พูด “พวกเขาจองโรงแรมให้เราเรียบร้อยแล้ว เราก็แค่นำจดใหม่นี้ไปให้คนขับดู”
ทันทีที่โมลิน่าได้ยินคำพูดจากชาวออสเตรเลียและลอสแอนเจลิส ตาของเธอเบิกกว้าง อยู่ดีๆ เธอก็จำคนที่อยู่ตรงหน้าได้
“คุณคือศาสตราจารย์เถาใช่ไหม”
“ใช่ครับ ผมขอถาม…”
เถาเจ๋อเซวียนยิ้ม เขากำลังจะถามชื่อของโมลิน่า
แต่เขาสังเกตเห็นชายสวมเสื่อโค้ตยาวและหมวกสีดำกำลังเดินเข้ามา
ตาเขาเบิกกว้าง เขาลืมสนใจหญิงสาวไปชั่วขณะพลางโบกมือให้กับเพื่อนเก่าพร้อมส่งยิ้มให้
“ศาสตราจารย์ฟาลติ้งส์ บังเอิญจังเลย ไม่คิดว่าจะมาเจอคุณที่สนามบินแบบนี้”
ฟาลติ้งส์เหลือบไปมองเถาเจ๋อเซวียน เขาพยักหน้าและตอบ “คุณก็มาเหมือนกันเหรอ”
เถาเจ๋อเซวียนยิ้มและพูด “ผมจะพลาดการรายงานที่สำคัญขนาดนี้ไปได้อย่างไร”
ฟาลติ้งส์ขมวดคิ้ว เขายิ้มปิดปากและพูด “อ๋อเหรอ คุณมันคนฉลาด ผมมั่นใจว่าคุณต้องเตรียมคำถามมาด้วย…คุณคิดว่าใครเป็นคนถูกกัน”
“มันยังเร็วไปที่จะบอกได้ และผมมีคำถามเกี่ยวกับวิทยานิพนธ์ของเขา แม้กระทั่งตอนนี้ผมก็พยายามทำความเข้าใจ แต่” ศาสตราจารย์เถายักไหล่และพูด “เขาก็ไม่ได้ถูกไปเสียหมด”
ศาสตราจารย์ฟาลติ้งส์ไม่พอใจกับคำตอบกำกวมและกำลังจะพูดอะไรสักอย่าง แต่โมลิน่าก้าวเข้ามาและพูดด้วยความตื่นเต้น
“คุณฟาลติ้งส์…”
ฟาลติ้งส์เลิกคิ้วและมองไปที่เธอ
เขาจำเธอไม่ได้ จึงถามอย่างสุภาพ “คุณเป็นใครครับ”
“โมลิน่า อาเบล นักศึกษาของโซฟี โมเรล…” โมลิน่ายื่นมือออกไปอย่างประหม่าและพูด “ดีใจที่ได้พบคุณค่ะ”
โซฟี โมเรลเหรอ
ฟาลติ้งส์คุ้นหูกับชื่อนี้ ฟาลติ้งส์จำโซฟีในฐานะผู้สมัครเข้ารับรางวัลเหรียญฟิลด์ แต่แค่ผู้สมัครเข้ารับรางวัลเหรียญฟิลด์ไม่ได้มีอะไรที่น่าประทับใจสำหรับฟาลติ้งส์
มีนักวิชาการเพียงสามคนบนโลกเท่านั้นที่คู่ควรจะให้เขาสนใจ และตอนนี้เขาสนใจเพียงแค่คนคนเดียว
“ลูกสาวจากครอบครัวอาเบลเหรอ ผมคิดว่าผมเคยเจอพ่อคุณมาก่อน”
โมลิน่าไม่คิดว่าคนที่เธอชื่นชอบจะจำพ่อเธอได้ เธอจึงพูดด้วยความตื่นเต้น
“ตอนที่ฉันยังเด็ก พ่อของฉันชื่นชมความสำเร็จด้านเรขาคณิตเชิงพีชคณิตของคุณมาก…”
“โอ้ จริงเหรอ? น่าเสียดายที่ผมจำเขาไม่ได้” สีหน้าของฟาลติ้งส์ดูเบื่อหน่ายขณะที่พูด “ดูเหมือนว่านอกจากนามสกุลที่มีชื่อเสียงแล้วก็ไม่มีอะไรที่มีค่าตกทอดมาเลยนะ”
โมลิน่าที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูสับสน
หมายความว่าอย่างไรกัน ไม่มีอะไรที่มีค่า
ทำไมต้องพูดแบบนั้นด้วย
เถาเจ๋อเซวียนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อึดอัดและพยายามจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้น
“ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่เก่งคณิตศาสตร์ ไม่เป็นไร…”
โมลิน่า: “…”
ไม่เก่งคณิตศาสตร์…
ไอ้พวกบ้า!
พระเจ้าช่วย!
ความมั่นใจในตัวเองของโมลิน่าถูกโจมตีโดยอัจฉริยะสองคน เธอกำลังจะเสียสติ
ในทางกลับกันสถานที่ที่ห่างออกไป 10 กิโลเมตร ที่หอประชุมเก่ามหาวิทยาลัยจินหลิง
ศาสตราจารย์เดอลีงย์ ที่เพิ่งมาถึงจินหลิงเมื่อหนึ่งวันที่แล้ว เดินที่สวนระหว่างพูดคุยกับลู่โจว
ลู่โจวพาหัวหน้าของเขาเดินชมที่ทำงานของตัวเอง ทั้งสองคนไม่ค่อยได้คุยเรื่องการรายงานที่กำลังจะเกิดขึ้นเท่าไหร่ จนพวกเขาเดินมาถึงทางเข้าหอประชุมที่ที่ชายสูงวัยที่มาจากเบลเยียมถามขึ้น “คุณพร้อมไหม”
ลู่โจวยิ้มและพูด “แน่นอนว่าผมพร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมอีก”
“ฟาลติ้งส์เป็นหนึ่งในนักวิชาการที่โดดเด่นที่สุดต่อจากก็อตเท็นดิ๊ก ขนาดผมยังเทียบกับเขาไม่ได้เลย เขาต้องเตรียมตัวมาอย่างดีแน่ๆ เพื่อหักล้างวิทยานิพนธ์ของคุณ คุณต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะ”
ลู่โจวถามกลับ “คุณคิดว่ามีเรื่องผิดพลาดกับข้อพิสูจน์ของผมไหม”
เดอลีงย์มองไปที่อาคารเก่าแก่จากไกลๆ และเงียบไป เขาวางมือทั้งสองมือบนหัวล้านๆ ของเขา
“ผมอ่านวิทยานิพนธ์ของคุณแล้ว ผมว่าคุณคิดถูก แต่ผมไม่มั่นใจ ขอผมถามคุณหน่อย คุณใช้ทฤษฎีโคโฮโมโลยีวัฏจักรไม่สลับที่ในการอธิบายคลาสสมสัณฐานของโมดูล φ- คุณใช้วิธีการโฮโมโลจีของ Étale หรือเปล่า”
ลู่โจวพยักหน้าและพูด “ใช่ครับ”
เดอลีงย์ดูโล่งใจ
“ตอนที่ผมทำงานวิจัยข้อคาดการณ์ของไวล์ ผมก็คิดถึงข้อพิสูจน์ที่คล้ายๆ กัน ในการใช้ทฤษฎีโคโฮโมโลยีในการระบุต้นกำเนิดของฟูเรียร์ทรานส์ฟอร์ม แต่ผมอยากจะเตือนคุณว่าการอภิปรายในครั้งนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย”
ลู่โจวไตร่ตรองอยู่สักพักและพยักหน้า
“ขอบคุณครับ”
“ครับ”
……………………………