วันที่ 18 ธันวาคม
หอประชุมเก่าของมหาวิทยาลัยจินหลิงเต็มไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติหลากหลายวัย
มหาวิทยาลัยแห่งนี้แทบจะไม่ค่อยมีชาวต่างชาติมาเยี่ยมเยียน มันเป็นธรรมดาที่เหตุการณ์นี้จะดึงดูดความสนใจจากนักศึกษา
ทางสภาเทศบาลเมืองจินหลิงระดมกองกำลังตำรวจติดอาวุธเพื่อความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของผู้เข้าฟัง
นับเป็นเรื่องที่หายากสำหรับนักวิชาการที่จะได้รับความสนใจมากขนาดนี้
แต่ก็อย่างว่ามันสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
นักวิชาการต่างชาติที่มีชื่อเสียงมากกว่า 2,000 คนเข้าร่วมฟังการรายงาน และคนอีกนับพันที่หาตั๋วรายงานไม่ได้ แต่ก็ยังบินมาที่จินหลิงพร้อมหัวหน้าของพวกเขา คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาปริญญาโท ปริญญาเอกที่ยอมควักเงินจ่ายเพียงเพื่อรอฟังผลของการรายงานให้เร็วที่สุด
การเข้าร่วมการรายงานในครั้งนี้เทียบเท่าได้กับงานประชุมดังๆ อย่าง ICM และ ICPAM ได้เลย
นักศึกษาปริญญาโทสองคนยืนอยู่ตรงทางเข้ามหาวิทยาลัย อาจารย์ของพวกเขาอาจจะโน้มน้าวให้พวกเขามายืนที่นี่ในฐานะอาสาสมัครก็ได้ พวกเขามองรอบๆ อย่างกลัวๆ
“นี่ต้องเป็นการรวมสุดยอดนักคณิตศาสตร์ของโลกแน่ๆ ! “
“ไม่ใช่การรวมหรอก เพราะมีตัวละครแค่สองคนในการรายงานนี้ มันน่าจะเป็นศึกผู้ยิ่งใหญ่มากกว่า…”
คนหนึ่งเป็นผู้ได้รับเหรียญฟิลด์ที่อายุน้อยที่สุด ราชาแห่งนักวิชาการอายุน้อย ส่วนอีกคนก็เป็นหนึ่งในเจ้าพ่อผู้บุกเบิกเรขาคณิตเชิงพีชคณิต
นักศึกษาปริญญาโทสองคนจ้องมองไปที่ทางเข้าหอประชุมที่คนหนาแน่น พวกเขาเพิ่งก้าวเข้าสู่โลกแห่งคณิตศาสตร์ได้ไม่นาน พวกเขาจึงอดที่จะยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ไม่ได้
ในหัวของพวกเขามีเพียงแค่เรื่องเดียว…
ผู้ชนะรางวัลเหรียญฟิลด์เป็นแบบนี้เองสินะ!
สวี่เฉิงยาง ศาสตราจารย์จากสถาบันเทคโนโลยีแมซซาชูเซตส์เดินผ่านมาพอดี เขาได้ยินบทสนทนาของนักศึกษาทั้งสองคน เขาแทบจะหัวเราะออกมา
ศึกผู้ยิ่งใหญ่เหรอ
เป็นการอุปมาที่น่าสนใจดี
อยู่ดีๆ เขาก็สังเกตเห็นคนหน้าตาคุ้นๆ เขารีบเดินตรงไปที่ชายคนนั้นและกล่าวทักทาย
“พี่จาง! ฮ่าฮ่า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ! “
จางโช่วอู๋ที่กำลังเดินตรงไปที่หอประชุมหันหลังกลับไปเห็นสวี่เฉิงยาง สีหน้าประหลาดใจปรากฏบนใบหน้าของเขา “น้องสวี่เหรอ บังเอิญจังเลย คุณก็มาที่นี่เหมือนกันเหรอ?”
“มันเป็นศึกระหว่างผู้ยิ่งใหญ่สองคน แน่นอนว่าผมต้องมา” สวี่เฉิงยางยิ้มและพูด “สมมติฐานของรีมันน์มีอิทธิพลต่อโลกของทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์มาหลายปี แม้แต่คุณก็อตเท็นดิ๊กเองก็ยังเอาชนะปีศาจร้ายตนนี้ไม่ได้ แต่ตอนนี้นักวิชาการลู่กลับกล่าวอ้างว่าตัวเองทำได้ ผมมั่นใจว่าคนส่วนใหญ่คงไม่อยากพลาดงานที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แน่ๆ “
ในฐานะหัวหน้านักวิชาการจีนอายุน้อย แน่นอนว่าเขาต้องได้รับคำเชิญจากมหาวิทยาลัยจิงหลิง แต่ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้รับคำเชิญ เขาก็ต้องจ่ายเงินเพื่อเข้าฟังการรายงานนี้อยู่ดี
เพราะท้ายที่สุดแล้วมันคือโอกาสเดียวในชีวิต
คงน่าเสียดายน่าดูถ้าเขาพลาด
จางโช่วอู๋ยิ้มและพูด “ฮ่าฮ่า คุณพูดถูก แต่สถานการณ์นี้ดูจะตึงเครียดไปหน่อยนะ”
สวี่เฉิงยางยิ้มและถาม “ทำไมคุณถึงไม่เห็นด้วยกับนักวิชาการลู่ล่ะ”
“มันไม่เกี่ยวว่าผมเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย แต่แค่ฟาลติ้งส์เป็นคนที่คุยยาก” ศาสตราจารย์จางถอนหายใจราวกับว่าเขากำลังจดจำเรื่องในอดีต เขาพูดช้าๆ “ตอนที่ผมเรียนอยู่ที่พรินซ์ตัน สิ่งแรกที่ผมทำคือไปที่ออฟฟิศของฟาลติ้งส์และขอทำโปรเจกต์งานวิจัย”
สวี่เฉิงยาง “เขาพูดว่าอะไร”
“เขาบอกว่าเขาเคยแก้ปัญหาง่ายๆ มาแล้ว ส่วนที่เหลือก็คือปัญหายากๆ อย่างสมมติฐานของรีมันน์” จางโช่วอู๋พูดพลางมองไปที่นักคณิตศาสตร์ต่างชาติที่เดินเข้าไปยังหอประชุม เขาพูดด้วยความตื้นตันขณะที่ถือชาร้อนในมือ “ผมออกจากพรินซ์ตันมาตั้งหลายปีแล้ว แต่เรื่องที่ผมยังมั่นใจก็คือไม่มีใครในโลกนี้ที่จะเข้าใจสมมติฐานของรีมันน์ได้ดีไปกว่าเขา…
“ถ้าเขาคิดว่าวิทยานิพนธ์ของศาสตราจารย์ลู่ผิด…
“ผมก็เกรงว่าศาสตราจารย์ลู่คงได้รับบทเรียนเรื่องนี้”
ศาสตราจารย์จางไม่ค่อยเห็นด้วยกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่เขาพูดก็มีเหตุผล ใครหลายคนในวงการคณิตศาสตร์คิดว่าลู่โจวเป็นฝ่ายผิด
ถ้าฟาลติ้งส์คิดจริงๆ ว่าข้อพิสูจน์ของลู่โจวผิดมาตั้งแต่ต้น…
นั่นก็แปลว่ามีความเป็นไปได้ที่ฟาลติ้งส์จะพูดถูก
แต่หลังจากที่ได้ยินคำพูดของศาสตราจารย์จาง สวี่เฉิงยางยิ้มอย่างอบอุ่นและพูดอย่างไร้อารมณ์
“ผมเจอศาสตราจารย์ลู่ที่งานประชุมคณิตศาสตร์ที่บราซิล ผมได้คุยกับเขาคร่าวๆ แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นแค่สมการนาเวียร์-สโตกส์และสมการเชิงอนุพันธ์ย่อย แต่เขาก็ทำให้ผมประทับใจ”
จางโช่วอู๋ขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัย “ประทับใจอย่างไรเหรอครับ”
“เขาคือคนที่สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา”
สวี่เฉิงยางนิ่งไปครู่หนึ่งและพูดต่อ “เขามีความสามารถในการหาเบาะแสไม่ว่าเบาะแสนั้นจะเล็กแค่ไหนหรือเบาะแสนั้นจะซ่อนอยู่ก็ตาม…
“ผมคิดว่าเขาอาจจะสร้างปาฏิหาริย์อีกรอบ
“และนี่คือเหตุผลที่ผมเดินทางมาจากอเมริกา”
…
ผู้ฟังนั่งอยู่ด้านในหอประชุม
ใครก็ตามที่อยู่ในวงการคณิตศาสตร์จะต้องตกใจกับภาพที่เห็น
นักคณิตศาสตร์ของโลกเกือบครึ่งนั่งอยู่ที่นี่ รวมไปถึงนักคณิตศาสตร์จากทุกสาขา
ถ้ามีคนโยนระเบิดเข้ามาในหอประชุมแห่งนี้ การพัฒนาทางคณิตศาสตร์คงล้าหลังไปครึ่งศตวรรษแน่ๆ
ลู่โจวยืนอยู่ด้านล่างเวที เขาสวมสูทและรองเท้าหนัง เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และพยายามสงบสติอารมณ์
แม้ว่าเขาจะไม่ได้จัดการรายงานมานานแล้ว แต่อะดรีนาลีนที่หลั่งออกมาไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับเขา
ราวกับว่ามีแรงลึกลับบางอย่างไหลอยู่ในเส้นเลือดและผลักดันให้เขามีสติและกระตือรือร้นมากกว่าทุกครั้ง
เขากำหมัดแน่นและกำลังจะทบทวนการรายงานอีกครั้ง แต่มีชายสูงสัยในชุดโค้ตยาวสีดำเดินเข้ามาเสียก่อน
ชายสูงวัยตัวสั่นเทาขณะเดินเข้ามาพร้อมไม้เท้าในมือ เขายืนขึ้นและจ้องหน้าลู่โจว
หลังจากนั้นสักพัก อยู่ดีๆ รอยยิ้มจริงใจก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา
“คุณพร้อมไหม”
ลู่โจวพยักหน้า
“ผมพร้อมแล้ว”
ศาสตราจารย์ฟาลติ้งส์ยิ้มยิงฟัน
ครั้งนี้รอยยิ้มของเขาไม่มีความจริงใจเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าฟาลติ้งส์เป็นเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองเหยื่อของตัวเอง
“ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณเตรียมตัวมาแล้วนะ คำถามนี้ส่งผลกับโลกคณิตศาสตร์ทั้งใบเพราะฉะนั้นผมจะไม่เมตตาเด็ดขาด”
“ไม่ต้องเมตตาหรอกครับ” ลู่โจวพูด “พวกเราควรยึดหลักความถูกต้องในคณิตศาสตร์มากกว่า”
“อ๊า”
ชายสูงวัยปรับหมวกและตอบ “ไม่ว่าอย่างไรผมก็ต้องทำแบบนั้นอยู่แล้ว”
…………………………