เดือนธันวาคมเป็นช่วงฤดูหนาวในจินหลิง
ใบไม้สีแดงสีเหลืองที่เคยปกคลุมภูเขาร่วงหล่นลงพื้นดิน แต่ถ้ามองจากไกลๆ ก็ยังคงเห็นป่าไทก้าสีเขียวชอุ่ม
เนื่องจากภูเขาอยู่ใกล้กับบ้านของลู่โจว เขาจึงชอบใส่ชุดกีฬาและมาวิ่งที่นี่
ที่นี่ก็เหมือนสวนหลังบ้านของเขา เขารู้จักสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี ถ้าจะมีคนที่รู้จักสถานที่แห่งนี้ได้ดีกว่าเขาก็คงจะเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่คอยดูแลเขานั่นเอง…
“ผมคิดว่าผู้เข้าร่วมประชุมชวนกันปั่นจักรยานขึ้นเขา ทำไมคุณไม่ไปกับพวกเขาล่ะครับ”
ฟาลติ้งส์ “แล้วทำไมคนแก่แบบผมจะต้องไปเที่ยวเล่นกับคนหนุ่มสาวพวกนั้นล่ะ”
ลู่โจวพูด “ผมก็ยังหนุ่มอยู่นะ”
ฟาลติ้งส์นิ่งไปครู่หนึ่งและพูด “เออใช่ ผมลืมไปเลย”
ลู่โจว “…”
คนสูงวัยส่วนใหญ่จะไม่ค่อยแข็งแรง เดินขึ้นไปแค่ครึ่งทางฟาลติ้งส์ก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว เขาปลดกระดุมเสื้อแจ็คเก็ตและถอดหมวกออก เขามองไปรอบๆ และพูดขณะที่เหนื่อยหอบ
“ทำไมถึงไม่มีใครมาที่นี่เลย”
“ก็เดือนธันวาคมนี่ครับ” ลู่โจวหยุดเดินและวางมือบนเข่า เขาหยิบขวดน้ำออกมาจิบ เขาเช็ดปากและพูด “อากาศเย็นมากอีกอย่างวันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุดนักท่องเที่ยวจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ ช่วงที่ดีที่สุดที่จะมาเพอร์เพิล เมาน์เทนก็คือช่วงต้นตุลาคม ใบไม้สีทองจะเต็มภูเขาไปหมด”
ฟาลติ้งส์เลิกคิ้วและรู้สึกประหลาดใจ
“ดูเหมือนคุณจะมาที่นี่บ่อยนะ”
ลู่โจวยิ้มและพูด “บ้านของผมอยู่ใกล้ๆ นี่เอง”
ฟาลติ้งส์ “…”
แม้ว่าเขาจะเป็นผู้อำนวยการสถาบันคณิตศาสตร์มักซ์พลังค์ แต่รายได้ของเขาก็ไม่พอที่จะซื้อบ้านติดภูเขาแน่ๆ …
แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขา
เพราะใครก็ตามที่มีอายุเท่าขนาดนี้ ของนอกกายก็ไม่ได้สำคัญอีกต่อไป
หลังจากพักเสร็จแล้วพวกเขาก็เดินกันต่อ
หลังจากนั้นสักพักฟาลติ้งส์เริ่มหอบ แม้ว่าเขาดูเหมือนว่าจะไม่อยากยอมแพ้ แต่เพราะสังขารร่างกายลู่โจวจึงตัดสินใจหยุดเดินและโน้มน้าวชายแก่ว่าด้านบนยอดเขาไม่ได้มีอะไรให้ดู
ลู่โจวเจอร้านอาหารที่คุ้นเคยบนภูเขา เขาสั่งปลาย่างกับเบียร์จากเจ้าของร้าน
ทั้งสองนั่งที่โต๊ะหินพลางทานปลาขณะที่พูดคุยกัน
“ปลาที่นี่ดีกว่าที่โรงแรมอีกนะ มันเรียกว่าอะไรเหรอ”
“มันไม่ได้มีชื่อหรอกครับ” ลู่โจวเปิดขวดเบียร์และพูด “คุณหาได้จากร้านอาหารจีนหลายๆ ที่ ปกติแล้วเราจะว่าเรียกปลาย่างหรือปลาบาร์บีคิว วิธีทำก็เหมือนๆ กัน ซึ่งมันเข้ากันกับเบียร์ได้เป็นอย่างดี แล้วคุณดื่มได้ไหมครับ”
ฟาลติ้งส์ยิ้มและเปิดเบียร์
“เป็นคนเยอรมันภาษาอะไรที่จะไม่ดื่ม เมืองเล็กๆ ที่ผมอยู่ไม่ค่อยมีซูเปอร์มาร์เก็ต แต่คุณสามารถหาผับได้ทุกที่เลย”
ลู่โจวยักไหล่และยิ้ม
“โอ้จริงเหรอ? แล้วทำไมผมไม่เห็นสังเกตเลยว่าคุณดื่มตอนที่อยู่เบอร์ลิน”
“ก็นั่นมันเมืองใหญ่ ไม่ใช่ที่สำหรับหาความสุขให้ชีวิตหรอกนะ” ฟาลติ้งส์จิบเบียร์และเช็ดปาก เขามองดูบรรยากาศของเมืองจากบนเขา
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ตกดิน ทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นสีแดงเหลือง ฟาลติ้งส์มองไปที่บรรยากาศที่งดงามและหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป
“ผมอยากรู้ว่ายอดเขาไกลแค่ไหน”
ลู่โจวคิดอยู่สักพักและตอบ “ถ้าความเร็วที่เราเดินก็อีกสองชั่วโมง”
ฟาลติ้งส์เงียบไปสักพักจากนั้นเขาก็ถอนหายใจ
“ดูเหมือนว่าผมคงไม่ขึ้นไปบนนั้นแน่ๆ “
ลู่โจวเงียบไปครู่หนึ่ง
เขาไม่รู้ว่าจะตอบว่าอะไร เขาจึงพยายามปลอบใจฟาลติ้งส์แทน
“ไม่เป็นไรหรอกครับยังมีโอกาสอื่นอีกในอนาคต ครั้งหน้าเราจะออกกันเร็วกว่านี้”
แต่ฟาลติ้งส์ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความใจดีของลู่โจว
เขาจ้องมองพระอาทิตย์ที่ตกดินอยู่สักพักและส่ายหัว เขาพูดช้าๆ
“เวลาไม่รอใครหรอกนะโดยเฉพาะคนที่มีเวลาเหลือน้อยนิด เมื่อคุณอายุเท่าผมคุณจะเริ่มนับวันที่เหลือ”
เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนก็เหมือนกันหมด
ไม่ว่าจะเป็นราชาหรือชาวนา ทุกคนต่างต้องเผชิญความตายกันทั้งนั้นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
30 วินาทีผ่านไป ชายสูงวัยเมินพระอาทิตย์ตกและจ้องมองไปที่ลู่โจว
“ตอนนี้คุณคือคนที่ใกล้เคียงกับพระเจ้า… หรือคนที่ใกล้เคียงกับความจริงของจักรวาลที่สุด ตั้งแต่คุณก็อตเท็นดิ๊กเสีย ผมก็รู้สึกมาตลอดว่าผมสามารถเป็นเหมือนก็อตเท็นดิ๊กที่ยังมีชีวิตอยู่คือคนที่รู้คำตอบของทุกคำถาม”
ลู่โจว “…คุณก็พูดเกินไป”
“ไม่ได้เกินไปหรอก มันเหมือนคำแนะนำจากผมมากกว่า” ศาสตราจารย์ฟาลติ้งส์มองไปที่ลู่โจวและพูด “ไม่ว่าผมจะได้เห็นวันนั้นกับตาหรือไม่ผมก็หวังว่าคุณจะไม่ยอมแพ้ ถ้าจะมีใครที่สามารถแก้ปัญหานี้ได้คนนั้นก็คือคุณ”
ชายสูงวัยชาวเยอรมันที่มักดูถูกและประชดประชัน อยู่ดีๆ ก็ยิ้มและพูดเย้าแหย่
“กว่าจะถึงตอนนั้นผมก็คงตายไปแล้ว คุณช่วยวางสำเนาวิทยานิพนธ์ของคุณไว้ที่หลุมศพผมด้วยนะ แต่อย่าให้ผมรอนานเกินไปล่ะไม่อย่างนั้นผมจะปีนขึ้นมาจากหลุมและเคาะประตูบ้านคุณ”
ลู่โจวที่กำลังดื่มเบียร์อยู่นั้นก็ยิ้มและพูด “ลืมเรื่องหลุมฝังศพไปเถอะ ผมสัญญาว่าคุณจะไม่ต้องรอนาน…สามปี ผมสามารถหาคำตอบได้ภายในสามปี”
“สามปี? “
ฟาลติ้งส์รู้สึกขบขัน เขาหัวเราะออกมา
เขาส่ายหัวและมองไปที่บรรยากาศที่อยู่ห่างไกล หลังจากนั้นสักพักเขาพูด “เป็นหนุ่มนี่ดีนะ”
…………………………