หวังเจิ้งเฟยเป็นนักธุรกิจที่รอบรู้
เขาไม่เคยคิดว่าจะได้เจรจากับลู่โจว แต่ตอนที่เขากำลังจะพูดเขาก็รับรู้ข้อมูลจากสีหน้าของลู่โจวได้ทันที
ดูเหมือนว่าลู่โจวไม่อยากทำงานกับพวกเขาอีกแล้ว และพร้อมที่จะร่วมมือกับบริษัทสารกึ่งตัวนำของจีนที่อื่นๆ
เช่น ยูนิสเปลนเดอร์ที่มีความสามารถทางการผลิตเหมือนกับไฮซิลิคอน
ในตอนนั้นหวังเจิ้งเฟยจึงตัดสินใจ
ถ้าสตาร์สกายเทคโนโลยีร่วมมือกับยูนิสเปลนเดอร์หรือบริษัทสารกึ่งตัวนำที่อื่น กุญแจสู่อนาคตสารกึ่งตัวนำคาร์บอนต้องหลุดจากมือเขาไปแน่ๆ
ถ้าหัวเหว่ยอยากจะมีส่วนร่วมในการปฏิวัติคาร์บอนจริงๆ พวกเขาก็จะต้องซื้อชิปเหล่านี้จากบริษัทสารกึ่งตัวนำในราคาที่สูงกว่ามากๆ ถึงแม้พวกเขาจะมีอำนาจในการควบคุมไฮซิลิคอนทั้งหมด มันก็ไม่มีความหมายอะไร
แม้ว่าไฮซิลิคอนจะเป็นบริษัทลูกอันดับต้นๆ ของหัวเหว่ย แต่ถ้าพวกเขาไม่ไล่ตามเวลาให้ทัน บริษัทอื่นก็อาจเข้ามามีอำนาจได้
ถ้าดูจากภายนอกอาจจะเหมือนว่าหัวเหว่ยกำลังประนีประนอม แต่มันอาจไม่เป็นเช่นนั้น
พวกเขาจะต้องเสียอะไรบางอย่างไปก่อน แต่ค่าตอบแทนที่ได้ในการลงทุนครั้งนี้จะทำให้ไฮซิลิคอนแข็งแรงขึ้น ผลิตภัณฑ์ของหัวเหว่ยก็จะประสิทธิภาพในการแข่งกับตลาดสากลได้
สิ่งนี้คุ้มค่ามากกว่าแค่การควบคุมบริษัทที่อาจจะล้าสมัยในอนาคต…
หวังเจิ้งเฟยที่กำลังรู้สึกเศร้า อยู่ดีๆ ก็รู้สึกดีขึ้นมา
เหตุผลที่เขาตัดสินใจทำแบบนี้ไม่ใช่เพราะต้องการจะเอาใจนักวิชาการลู่
แต่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม!
…
หลังจากที่โมลิน่าออกจากจินหลิงเธอไม่ได้บินกลับพรินซ์ตันทันที เธอเลือกที่จะกลับไปที่บ้านเกิดที่ฝรั่งเศสในวันหยุดยาวแทน
ทุกคนต้องการเวลาพักเพื่อชาร์จสมองและผ่อนคลายบ้างเล็กน้อย
โมลิน่าเองก็เหมือนกัน
แม้ว่าอาชีพของเธอจะเป็นงานอดิเรกของเธอด้วย แต่อาชีพของเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอมีความสุขตลอด
โดยเฉพาะตั้งแต่ตอนที่เธอต้องแข่งขันกับนักวิชาการคนอื่น…
การเดินทางไปจีนในครั้งนี้ทำให้สมองของเธอเหนื่อยล้ามาก
เธอรู้สึกว่าอาชีพทางคณิตศาสตร์ของเธอไปไม่ถึงไหนและเริ่มรู้สึกว่าชีวิตนั้นช่างอ้างว้าง
ถ้าไม่ใช่เพราะรูปของศาสตราจารย์อาเบลที่แขวนอยู่ในบ้านคุณปู่ เธอก็อาจยอมแพ้เรื่องการทำงานในสายงานคณิตศาสตร์ไปแล้ว
ชายสูงวัยสวมชุดนอนเคาะประตูห้องนอนของโมลิน่า เขาเปิดประตูและเห็นหลานสาวของเขานั่งอยู่ที่โต๊ะ เขาพูดพร้อมสายตาที่แฝงไปด้วยความกังวล
“หนูยังคิดถึงปัญหานั่นอยู่อีกเหรอ”
“เปล่าค่ะ ค่อยคิดตอนที่กลับไปที่พรินซ์ตัน” โมลิน่าส่ายหัวและพูด “หนูจะไม่คิดเรื่องปัญหาคณิตศาสตร์อาทิตย์นี้”
ชายสูงวัย “พ่อของหนูสอนอยู่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอ แต่หนูแทบจะไม่ได้เจอเขาด้วยซ้ำ ทำไมหนูไม่มาอยู่ที่นี้เลยล่ะ”
โมลิน่าพูดอย่างไม่ลังเล “บรรยากาศที่พรินซ์ตันเหมาะสมกับหนูมากกว่า ที่นั่นมีนักวิชาการเก่งๆ มากมาย แม้แต่การดื่มชายามบ่ายยังสร้างแรงบันดาลใจให้หนูได้”
ชายสูงวัยพูด “แต่ที่เอกอล นอร์มาล ซูเพริเยอก็มีนักวิชาการเก่งๆ หลายคนเหมือนกันนะ”
โมลิน่าพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่หนูไม่ชอบปารีส ปารีสมีแต่ขยะ”
และอีกอย่างเธอไม่อยากเจอพ่อของเธอ
ไม่ใช่เพราะเธอมีปัญหากับเขา แต่พวกเขาไม่ค่อยมีความผูกพันทางอารมณ์ เธอและพ่อของเธอเป็นคนคล้ายๆ กัน คนที่อุทิศชีวิตทั้งชีวิตให้คณิตศาสตร์
เธออาศัยอยู่ที่ชานเมืองปารีสตั้งแต่เด็กๆ และโตมาในบ้านของคุณปู่จนกระทั่งเธอเข้าเรียนมหาวิทยาลัยที่พรินซ์ตัน
สิ่งเดียวที่เธอหลงเหลืออยู่ที่นี่ก็คือความทรงจำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ชายสูงวัยมองดูหลายสาวหัวดื้อและถอนหายใจ
“โอเค โมลิน่า ไม่ว่าจะอย่างไรปู่ก็หวังว่าหนูจะมีความสุข คณิตศาสตร์ไม่ใช่ทุกอย่างหรอกนะ”
“อาจจะ” โมลิน่ามองไปที่รูปของอาเบลและพูด “แต่ไม่ใช่สำหรับหนู มันเป็นเพื่อนหนูมาทั้งชีวิต หนูอยากทำสิ่งที่พวกคุณปู่ทำไม่ได้”
ในเสี้ยววินาทีความเจ็บปวดเผยให้เห็นบนหน้าชายแก่คนนั้น
เขานั่งลงบนโซฟาและถอนหายใจ เขาพยายามพูดให้เธอได้คิดตาม
“บางสิ่งบางอย่างก็ต้องพึ่งพรสวรรค์โดยเฉพาะเรื่องของศิลปะ แม้แต่ศิลปินที่เรียนกับครูคนเดียวกันก็ยังเห็นโลกในมุมที่แตกต่างกัน ซึ่งคณิตศาสตร์ก็เหมือนศิลปะ หนูเข้าใจที่ปู่พยายามพูดไหม”
“ไม่เข้าใจค่ะ” โมลิน่าส่ายหัวและมองไปที่รูปภาพบนผนัง หลังจากนั้นเธอพูดด้วยท่าทีที่สับสน “หนูไม่เข้าใจ หนูเป็นญาติกับอาเบลแล้วทำไมถึงไม่ได้ความเก่งจากเขาบ้าง”
ชายสูงวัยมองไปที่โมลิน่าและลังเลเล็กน้อย
“โมลิน่า มีอยู่เรื่องหนึ่ง ปู่ไม่รู้ว่าควรบอกหนูหรือเปล่า”
“อะไรคะ”
ชายสูงวัยกำลังจะพูดแต่เขาก็ส่ายหัว
“ช่างมันเถอะ ลืมไปซะ”
โมลิน่า: “…”
…
วันหยุดยาวหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
โมลิน่ารู้สึกเหมือนสมองของเธอได้รับการฟื้นฟูแล้ว เธอนั่งเครื่องไปถึงสนามบินนิวยอร์ก ขึ้นแท็กซี่และเข้าไปดู arXiv ในมือถือ
เธอเห็นงานเขียนมากมายที่เป็นการพิสูจน์เชิงคณิตศาสตร์เกี่ยวกับค่าเอปซีลอน ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่ขยายค่าเอปซีลอนได้ถึงหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น
วงการคณิตศาสตร์ใช้เวลาเจ็ดวันในการขยายตัวเลขจากหนึ่งต่อ 60 ล้านเป็นหนึ่งต่อหนึ่งหมื่น เป็นการพัฒนาที่ค่อนข้างดี
พวกเขากำลังเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกที งานวิจัยการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกเป็นที่นิยมมากกว่าวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤตไปแล้ว
โมลิน่าอดไม่ได้ที่จะกดดันตัวเอง
เธอไม่อยากจะยอมรับว่าภายในเวลาเพียงหนึ่งเดือนลู่โจวทำให้วิทยานิพนธ์ที่เธอตั้งใจทำมาหลายปีไร้ความหมาย แต่เธอก็ยอมรับว่าวิธีการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกมีเหตุมีผลมากพอที่จะส่งผลต่อหัวข้อทฤษฎีจำนวนเชิงวิเคราะห์ทั้งหมด
แม้ว่าเป้าหมายของวิทยานิพนธ์สมมติฐานของรีมันน์ที่เธอทำจะต่างออกไป แต่เธอก็ควรอ่านวิทยานิพนธ์ของเขาไว้บ้าง…
โมลิน่าบอกตัวเองว่าเธอก็แค่อยากรู้ว่าคู่แข่งของเธอไปถึงไหนแล้ว แม้ว่าเธอจะคิดว่าผลงานวิจัยของลู่โจวออกมาดี ขนาดไหนแต่เธอก็ไม่อยากยอมแพ้เรื่องวิธีการพิสูจน์เส้นวิกฤต
ใช่ ฉันก็แค่ทำงานวิจัย…
หลังจากที่โมลิน่ากลับไปพรินซ์ตัน เธอวางกระเป๋าเดินทางไว้ในห้อง เธอไม่ยอมเสียเวลาและรีบไปห้องสมุดใกล้ๆ เธอตรงไปที่ห้องประชุมที่เธอและเวร่าได้จองไว้
แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปเธอก็เห็นเวร่านั่งฝันกลางวันอยู่แล้ว
“เธอโอเคไหม” โมลิน่าถาม
แก้มของเวร่าซีด ผมบลอนด์ของเธอดูขาดความเงางาม
เวร่าสังเกตเห็นโมลิน่า เธอจึงยิ้มให้อย่างอ่อนแรง
“ฉันไม่เป็นไร แค่เป็นหวัดเอง”
แต่โมลิน่าไม่เชื่อเลยสักนิด
โมลิน่าจับไหล่ของเวร่าและยื่นหน้าผากของตัวเองไปแตะหน้าผากเวร่า
หน้าผากของโมลิน่าสัมผัสถึงความร้อน เธอรีบยืนขึ้นทันที
“ฉันจะพาเธอไปโรงพยาบาล”
“ไม่เป็นไร ฉันไปมาแล้ว” เวร่าเลี่ยงที่จะสบตาและพูด “หมอให้ยาฉันมาแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
โมลิน่ามองไปที่เธออย่างสงสัยแล้วปล่อยไหล่เธอ
“จริงเหรอ?”
“ใช่”
เวร่ารู้สึกคันคอ เธอจึงหยิบกระดาษทิชชู่และไอออกมา
โมลิน่าไม่ค่อยแน่ใจแต่เธอรู้สึกเหมือนจะเห็นเลือดตรงกระดาษทิชชู่ของเวร่า
เธอโอเคหรือเปล่านะ
โมลิน่าเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
เวร่าไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน แต่พวกเขาเริ่มสนิทกันแล้ว
เวร่าไม่อยากให้โมลิน่าเป็นห่วง เธอจึงฝืนยิ้มและพูด
“ไม่ต้องสนใจฉันหรอก เล่ามาว่าที่จินหลิงเป็นอย่างไรบ้าง”
โมลิน่าถอนหายใจและพูด
“เธออยากรู้เรื่องอะไรล่ะ
เด็กสาวตอบอย่างประหม่า “ทุกอย่างเกี่ยวกับเขา”
“เขาออกจากพรินซ์ตันไปตั้งหลายปีแล้ว เขาสบายดีไหม”
………………………………