ลู่โจวไม่จำเป็นต้องรอนานเลย
เขาเริ่มสงสัยแล้วว่าผู้ชายคนนี้ได้คิดเรื่องนี้จริงๆ หรือเปล่า
ทันทีที่คำพูดออกมาจากปากของลู่โจว หลัวเหวินเซวียนก็พยักหน้าอย่างตื่นเต้นแล้วตอบกลับว่า “ใช่แล้ว!” ในทันที
“ฉันว่ามันมีศักยภาพ…มีศักยภาพมากๆ เลย!
เราอาจจะค้นพบทฤษฎีฟิสิกส์บทใหม่ก็ได้นะ!”
ไม่ว่าสถานการณ์จริงจะเป็นเช่นไร เบาะแสนี้ก็คุ้มค่าแก่การเดินหน้าไปต่อสำหรับนักฟิสิกส์เชิงทฤษฎีคนไหนทั้งนั้น
ต่อให้ลู่โจวไม่ได้ชวนให้เขามาทำงานด้วยกัน เขาก็จะเดินหน้าไขเบาะแสนี้ต่อไปด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ผู้ได้เหรียญฟิลด์และรางวัลโนเบลคนดังกำลังขอให้เขามาทำงานด้วยกัน เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรให้ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว
อันที่จริงเขามีความสุขมากๆ ที่ได้มาร่วมงานกัน
ลู่โจวมองสายตาตื่นเต้นของหลัวเหวินเซียนแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย
หลังจากที่รู้ว่าหลัวเหวินเซวียนไม่ได้พูดเล่น ลู่โจวก็พูดว่า
“ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะเริ่มให้งานนายเลยนะ…นายจะรับผิดชอบงานในส่วนของฟิสิกส์เชิงทฤษฎี เดี๋ยวฉันจะทำในส่วนของฟังก์ชันซีตาของรีมันเอง”
ถึงแม้ว่าลู่โจวจะเคยเข้าไปแตะๆ ในสายฟิสิกส์เชิงทฤษฎีมาบ้าง แต่งานวิจัยของเขาก็เน้นไปทางการคำนวณมากกว่า อีกอย่างการวิจัยฟังก์ชันซีตาของรีมันเป็นงานหลักที่กินเวลาเขามากที่สุด ยังไม่นับว่าเขาเป็นหัวหน้านักออกแบบของคณะกรรมการวงโคจรดวงจันทร์อีกนะ เขาไม่มีเวลามายุ่งกับงานในส่วนฟิสิกส์เชิงทฤษฎีหรอก
“ดีเลย…” หลัวเหวินเซวียนเอากำปั้นตัวเองชนกับกำปั้นของลู่โจวแล้วพูดว่า นายจะต้องแบกฉันนะ”
“แบกเบิกอะไรกัน นายก็ต้องทำงานเท่าๆ กันนั่นแหละ!” ลู่โจวมองไปรอบๆ ออฟฟิศแล้วถามขึ้นมา “จะว่าไปแล้ว…นี่นายวางแผนเปลี่ยนออฟฟิศให้เป็นสวนสนุกหรืออะไรทำนองนั้นเหรอ?”
หลัวเหวินเซวียนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉันแค่ตกแต่งเฉยๆ นี่นายไม่เคยได้ยินคำพูดจากไอน์สไตน์เหรอ? การเพิ่มเรื่องเซอร์ไพรส์ในชีวิตจะช่วยให้อารมณ์คุณดีขึ้น และยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้ได้ด้วย”
ลู่โจว “ฉันมั่นใจว่าไอน์สไตน์ไม่เคยพูดอะไรแบบนั้นออกมานะ”
หลัวเหวินเซวียนหัวเราะแล้วพูดว่า “ใครจะเป็นคนพูดก็ช่างเถอะ จำเอาไว้ว่ามันเป็นความจริงก็พอแล้ว”
ถึงแม้ว่าหลายครั้งหลัวเหวินเซวียนจะทำตัวเหมือนคนที่พึ่งพาไม่ได้ แต่เขาก็คนที่ค่อนข้างมีพรสวรรค์คนหนึ่งทีเดียว
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นนักศึกษาของวิทเทน ถึงเขาจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเรียนจบได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะข้อกำหนดของวิทเทนเป็นสิ่งที่ยากเกินไป แถมตอนนั้นเขายังไม่มีความเป็นผู้ใหญ่มากพออีกด้วย
ในส่วนของความสำเร็จทางวิชาการของเขา เขามีธีสิสที่ตีพิมพ์ใน PLR 4 ฉบับ และไซเอินซ์อีก 1 ฉบับ ซึ่งเมื่อมองจากอายุของเขาแล้วก็ถือว่าน่าประทับใจทีเดียว
ยังไม่นับว่าการทำผลวิจัยในสายงานฟิสิกส์เชิงทฤษฎีเป็นสิ่งที่ยากเมื่อเทียบกับสายงานอย่างฟิสิกส์สสารอัดแน่นแล้ว ต่อให้เขาไม่มีคุณสมบัติจากพรินซ์ตันและเซิร์น แต่แค่ประสบการณ์ของเขาอย่างเดียวก็เพียงพอจะให้เขาเข้าโครงการนักวิชาการฉางเจียงได้แล้ว
ลู่โจวเดินออกจากออฟฟิศของหลัวเหวินเซวียนกลับไปที่ออฟฟิศของตัวเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับออฟฟิศของหลัวเหวินเซวียนแล้ว ออฟฟิศของเขายังมีบรรยากาศของความวิชาการอยู่ นักศึกษาและผู้ช่วยของเขาต่างก็ทำงานหนักมาตลอด อย่างน้อยก็ทำงานหนักตอนที่เขาอยู่ที่นี่น่ะนะ
แต่ถึงแม้ว่าบรรยากาศที่นี่จะมีความวิชาการมากกว่า เขาก็รู้สึกเหมือนว่า…
มันไม่มีไดนามิกเท่าออฟฟิศของหลัวเหวินเซวียนเลยแฮะ
ลู่โจวนั่งลงที่โต๊ะของตัวเองแล้วนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่หลัวเหวินเซวียนพูด เขามองไปรอบๆ ออฟฟิศที่ตกแต่งเบาๆ ของเขา เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดขึ้นมาทันทีว่า
“มันเป็นวันหยุดไงล่ะ”
ทั้งออฟฟิศเงียบอย่างผิดปกติ
ไม่มีใครมีทีท่าจะเข้าใจเลยว่าลู่โจวพยายามจะสื่ออะไรจึงไม่มีใครพูดอะไรต่อ
ลู่โจวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นมาว่า “พวกเรา…มาตกแต่งออฟฟิศนี้กันไหม?”
ลู่โจวถามเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลายลง
แต่…
ทั้งออฟฟิศก็ยังเงียบเป็นเป่าสาก
เมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย ลู่โจวจึงรู้สึกอายนิดหน่อย เขาเก็บสมุดบันทึกของเขาเข้าลิ้นชัก เก็บของต่างๆ แล้วเดินออกไปหาอะไรกินแทน
แต่พอเขาเดินออกนอกห้องไปนั้น ทั้งออฟฟิศก็ไม่ได้ตกอยู่ในความเงียบอีกต่อไป
“นี่หนูได้ยินถูกใช่ไหมคะ ศาสตราจารย์ลู่อยากจะ…ตกแต่งออฟฟิศจริงๆ เหรอ?” นักศึกษาปริญญาโทถามขึ้น ดวงตาของเธอเบิกกว้าง
คนที่นั่งอยู่ข้างเธอเป็นนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาที่สวมแว่นตากรอบเหลี่ยม เขาพูดขึ้นว่า “ใช่แล้ว สงสัยพระอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตกแน่ๆ ! ไม่คิดเลยว่าศาสตราจารย์ลู่จะเป็นคนชอบความรื่นเริง”
“ก็เพราะว่านายไม่รู้จักเขาดีพออย่างไรล่ะ” หลินอวี่เซียงพูดขณะที่วางปากกาในมือลง เธอพูดต่ออย่างภูมิใจว่า “ถึงแม้ศาสตราจารย์ลู่จะดูไม่เหมือนเป็นคนที่แคร์เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิต แต่ถ้ารู้จักเขาดีแล้ว เดี๋ยวนายก็จะรู้ว่าเขาเป็นคนที่ชอบความสนุกสนานรื่นเริงคนหนึ่งทีเดียว”
ขงเจี่ยที่อยู่ใกล้ๆ ถึงกับกลอกตา
ที่เธอทำก็แค่เอาอาหารมาให้เขาเท่านั้นเอง
ทำไมถึงกล้าพูดเหมือนสนิทกับเขาขนาดนั้นล่ะ?
อย่างไรก็ตามนักศึกษาปริญญาโทคนใหม่นั้นเป็นพวกเชื่อคนง่าย เธอถามอย่างสงสัยว่า “อย่างตอนไหนเหรอคะ?”
“ก็อย่างตอนที่เขาสั่งอาหารข้างนอกมากินน่ะ”
“อาหารข้างนอกเหรอ…ฉันเริ่มกังวลเรื่องสุขภาพของศาสตราจารย์ลู่แล้วสิ การออกไปกินอาหารข้างนอกตลอดมันไม่ดีนะ”
“ใช่ๆๆ เขาต้องหาแฟนมาทำอาหารให้เขาแล้วล่ะ”
หญิงสาวทั้งสาวเริ่มซุบซิบนินทากัน ตอนแรกพวกเธอก็พูดเรื่องพฤติกรรมการกินอาหารของศาสตราจารย์ลู่ ผ่านไปไม่กี่วินาทีพวกเธอก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องแนวผู้หญิงในแบบที่ศาสตราจารย์ลู่จะชอบเสียแล้ว
จ้าวหวนที่ปกติจะอยู่เงียบๆ มองหญิงสาวทั้งสาวที่กำลังคุยกัน จู่ๆ เธอก็มองขึ้นไปข้างบนแล้วพูดว่า “อืม…”
หลินอวี่เซียงมองเธอแล้วถามว่า “อะไรเหรอ?”
จ้าวหวนตอบ “ฉันรู้สึกว่าผู้หญิงทั่วไปที่ฉันรู้จักทุกคนน่ะ พูดเรื่องแนวผู้หญิงที่ศาสตราจารย์ลู่ชอบตลอดเลย…”
ทุกคน “…”
ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลย
ทั้งออฟฟิศกลับมาเงียบอีกครั้ง
ไม่มีใครพูดเรื่องแนวผู้หญิงที่ศาสตราจารย์ลู่ชอบหรือแผนการจะตกแต่งออฟฟิศต่อแล้ว
หานเมิ่งฉีที่ยังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม่ได้เข้าไปร่วมคุยกับคนอื่นๆ เธอถอนหายใจแล้วหมุนปากกาในมือ
จะว่าไปแล้วมันก็เกือบจะถึงคริสต์มาสแล้วนะ…
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนที่ชอบความรื่นเริงอะไร แต่เธอพอเห็นรูปเพื่อนเธออยู่กับแฟน เธอก็อดรู้สึกอิจฉาเล็กๆ ไม่ได้
“น่าหงุดหงิดชะมัด…”
หานเมิ่งฉีเกาหัวตัวเองแล้วถอนหายใจ
บางทีเธอก็ไม่รู้หรอกว่าเธอหงุดหงิดอะไร เธอก็แค่รู้สึกหงุดหงิดเท่านั้น
ฉันสงสัยว่าพี่จะไปเที่ยวกับลู่โจวในวันคริสต์มาสไหมนะ
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้แต่เธอก็ยังอยากให้เฉินยู่ซานลงเอยกับลู่โจวอยู่ดี ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว ลู่โจวก็จะกลายเป็นพี่เขยของเธอ
แต่เมื่อเธอคิดอย่างนี้แล้วก็มีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ดันทำให้เธอหงุดหงิดมากกว่าเดิม…
……………….