สุดท้ายแล้วด้วยท้องที่ร้องคำราม ลู่โจวจึงตัดสินใจได้ในที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาหารที่สั่งมาของเขา เขาใช้เวลาไม่นานกับการกินอาหารมื้อนี้
ข้าวไก่ส้มอร่อยดี
ความขัดกันระหว่างรสหวานกับเปรี้ยวมันสุดยอด สุดท้ายกระเพาะของลู่โจวก็เลิกส่งเสียง
ในขณะที่ลู่โจวกำลังกินอาหารแสนอร่อยอยู่นั้น เสี่ยวถงที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดนั้นก็กำลังอ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมที่พี่ชายส่งมา
เธอไม่สนใจอีโมติคอนแปลกๆ ในอีเมล…
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์นี้เกินกว่าความเข้าใจด้านฟังก์ชันและสถิติที่เธอมี และได้ล้มล้างความเข้าใจที่เธอมีในแบบจำลองบิวลีย์ไปหมดสิ้น
จะบอกว่าการอธิบายความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่ยากมาก
เหมือนกับว่าเธอคิดว่าทุกอย่างในหัวข้อนี้ถูกรวบรวมไว้ในบ้านหลังหนึ่งแล้ว แต่จู่ๆ เธอก็ดันพบว่า ในบ้านมีประตูด้านหลังที่พาเธอไปสู่โลกใหม่เสียอย่างนั้น
สิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากยิ่งกว่าคือ ลู่โจวเขียนทุกอย่างในนี้มาโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกออฟฟิศ
หลังจากเคาะประตูสองครั้ง หญิงสาววัยราวสามสิบปีก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างใน
เธอสวมชุดทางการสีเทาและดำ ถ้าหากมองจากท่าทางที่เธอเดินเข้ามาในออฟฟิศแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเธอมาเยี่ยมออฟฟิศแห่งนี้บ่อยๆ
ชื่อของเธอคือแอนสลีย์ และเธอก็กำลังทำงานวิจัยอยู่ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ เธอเรียนจบปริญญาโทเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอก
“ถง ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ฝากให้ฉันมาถามเธอว่า เธอสามารถส่งธีสิสก่อนจะหมดช่วงวันหยุดคริสต์มาสได้ไหม?”
เสี่ยวถงยังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอพยักหน้าตอบอย่างมึนงงว่า
“ได้ค่ะ…”
จะให้ฉันพูดอะไรอย่างอื่นได้ล่ะ?
ฉันต้องจัดระเบียบธีสิสนี้และส่งไป ฉันยังอาจจะกลับบ้านช่วงวันสิ้นปีได้ด้วยซ้ำ…
ถ้ายังหาซื้อตั๋วบินกลับได้น่ะนะ…
“เธอส่งได้จริงเหรอ?” แอนสลีย์มีท่าทางประหลาดใจ เธอพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เขายังพูดย้ำมาอีกว่า ถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะก็ เธอเอาอันนั้นไปเป็นโปรเจกต์เรียบจบปริญญาเอกก็ได้…”
เสี่ยวถงตื่นจากฝันกลางวันแล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าแอนสลีย์ต้องการจะสื่ออะไร เธอลังเลอยู่นิดหน่อยก่อนจะส่ายหัว
“ช่วยฝากบอกศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ทีค่ะว่าฉันขอบคุณ ถึงฉันจะอยากไปต่อในเส้นทางสายวิชาการ…แต่ฉันก็อยากไปที่ที่ดีกว่านี้”
เสี่ยวถงบอกได้ว่าศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ไม่อยากให้เธอไป
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์พยายามหลายครั้งมากที่จะโน้มน้าวให้เสี่ยวถงยังมีเขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ในตอนเรียนปริญญาเอก
ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ…
มันง่ายมากเลย เพราะว่าพี่ชายของเธออย่างไรล่ะ…
แอนสลีย์ถอนหายใจและพยายามโน้มน้าวเสี่ยวถง
“แต่ฉันว่าศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ก็เป็นนักวิจัยเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เก่งคนหนึ่งเลยนะ อีกอย่าง เธอก็รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร หลายครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าฟอร์สเตอร์ไม่มีความสามารถหรอกนะ เขาแค่ต้องการโอกาสเท่านั้น”
เสี่ยวถงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามไปว่า “คุณรู้ไหมคะว่าลู่โจวเป็นใคร? เขาเป็นพี่ชายฉันเองค่ะ”
บทสนทนานิ่งชะงัก
ทั้งออฟฟิศเงียบไปพักหนึ่ง
“ฉัน…รู้” แอนสลีย์เอ่ยแล้วยักไหล่ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันยอมรับนะ ว่าเธอมีพี่ชายที่เก่งมาก เก่งกว่าพี่ชายฉันเยอะ ที่เพิ่งรู้วิธีทำแพนเค้กเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แต่เธอเอาเรื่องเขามาพูดทำไมกัน?”
เสี่ยวถงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจว่า “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด คนที่นี่ก็จะแบบ เฮ้ ดูสิ นั่นน้องสาวของลู่โจวนี่นา ขนาดพวกผู้แทนราษฎรยังเรียกฉันว่าเป็นน้องสาวของลู่โจวเลยค่ะ…”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วมองไปที่เพดานในขณะที่กลอกตาแล้วพูดต่อว่า “ส่วนพวกแฟนคลับสาวๆ พวกนั้น แค่ฟังพวกเขาพูดฉันก็อยากจะอ้วกแล้ว”
สถานการณ์ที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ออกซฟอร์ดเพียงอย่างเดียว แต่ที่มหาวิทยาลัยจินหลิงเองก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกซาบซึ้งคนที่ใจดีกับเธอ แต่ความสำเร็จทุกอย่างของเธอก็ได้มาง่ายไปเสียหมด และมันไม่ได้เมคเซนส์เลยแม้แต่น้อย
เพราะพี่ชายของเธอทำให้เธอเหมือนกำลังใช้ชีวิตโกงคนอื่นอยู่ เธอจะได้ทุน ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน และได้เข้าร่วมการประชุมทุกอันที่เธอสมัครเข้าไป
เธอได้เข้ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเพราะจดหมายแนะนำฉบับเดียวเท่านั้น ศาสตราจารย์ทุกคนก็อยากได้ตัวเธอ
นี่เป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอรู้ดีว่าตัวเธอนั้นโชคดีแค่ไหน
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่พี่ชายของเธอทำให้ เธอก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของพี่ชายเธอไปตลอดชีวิต
ถึงแม้มันจะฟังดูง่ายและสะดวกสบายแค่ไหน แต่ก็หมายความว่าเธอจะไม่มีวันได้เติบโตและรู้สึกว่าตัวเองได้ทำตามสิ่งที่ปรารถนาจริงๆ
นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เธออยากได้
แอนสลีย์อ้าปากจะพูด แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนเสี่ยวถงเป็นคนแปลกหน้า เหมือนกับว่าเธอไม่เคยเจอเสี่ยวถงมาก่อน
หลังจากผ่านไป เธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่า
“บางที…เธออาจจะเซนซิทีฟไปหรือเปล่า?”
เสี่ยวถงจ้องแอนสลีย์แล้วพูดเสียงแข็งว่า “ฉันไม่ได้เซนซิทีฟเกินไปหรอกนะ ที่ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ยอมรับให้ฉันมาเรียนปริญญาโทกับเขาน่ะ เป็นเพราะตัวฉันจริงๆ เหรอ? ไม่เลย! เขาคงจะแทบไม่รู้จักชื่อฉันด้วยซ้ำ แต่เขาไม่มีวันลืมชื่อของพี่ชายฉันได้หรอก”
“ฉันอยากจะประสบความสำเร็จในอะไรสักอย่างจนคนอื่นรับรู้บ้าง อย่างน้อยก็ให้พวกเขาหยุดเรียกฉันว่า ‘น้องสาวของลู่โจว’ ได้แล้ว ฉันอยากให้พวกเขาเรียกฉันว่า ‘คุณลู่’ “
แอนสลีย์มองใบหน้ามุ่งมั่นของเสี่ยวถง เธอรู้ดีว่าไม่สามารถโน้มน้าวให้เด็กสาวคิดอย่างอื่นได้แล้ว
เอาตรงๆ แล้ว แอนสลีย์ประทับใจในตัวเด็กสาวคนนี้
แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ที่เสี่ยวถงพูดถึง ‘ที่ที่ดีกว่า’ นี่หมายถึงอะไร
มหาวิทยาลัยอื่นก็เป็นเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ?
วงการเศรษฐศาสตร์ก็ใกล้ชิดกับวงการคณิตศาสตร์อยู่แล้ว ต่อให้เธอออกจากออกซฟอร์ดไปเข้าเคมบริดจ์ สถานการณ์ก็เหมือนเดิมอยู่ดี
“แต่…นอกจากออกซฟอร์ดแล้ว เธออยากจะไปที่ไหนอีกล่ะ?”
“พรินซ์ตัน!”
แอนสลีย์ดูตกตะลึง เสี่ยวถงจึงพูดเพิ่มเติมด้วยท่าทางมั่นใจว่า “ฉันหวังว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นอย่างเขาได้ กับการที่ได้มีชื่ออยู่ในหอแห่งเกียรติยศอย่างเขา!”
………………..
สุดท้ายแล้วด้วยท้องที่ร้องคำราม ลู่โจวจึงตัดสินใจได้ในที่สุด เขาตัดสินใจว่าจะไม่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอาหารที่สั่งมาของเขา เขาใช้เวลาไม่นานกับการกินอาหารมื้อนี้
ข้าวไก่ส้มอร่อยดี
ความขัดกันระหว่างรสหวานกับเปรี้ยวมันสุดยอด สุดท้ายกระเพาะของลู่โจวก็เลิกส่งเสียง
ในขณะที่ลู่โจวกำลังกินอาหารแสนอร่อยอยู่นั้น เสี่ยวถงที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดนั้นก็กำลังอ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์และอัลกอริทึมที่พี่ชายส่งมา
เธอไม่สนใจอีโมติคอนแปลกๆ ในอีเมล…
แบบจำลองทางคณิตศาสตร์นี้เกินกว่าความเข้าใจด้านฟังก์ชันและสถิติที่เธอมี และได้ล้มล้างความเข้าใจที่เธอมีในแบบจำลองบิวลีย์ไปหมดสิ้น
จะบอกว่าการอธิบายความรู้สึกตอนนี้เป็นอะไรที่ยากมาก
เหมือนกับว่าเธอคิดว่าทุกอย่างในหัวข้อนี้ถูกรวบรวมไว้ในบ้านหลังหนึ่งแล้ว แต่จู่ๆ เธอก็ดันพบว่า ในบ้านมีประตูด้านหลังที่พาเธอไปสู่โลกใหม่เสียอย่างนั้น
สิ่งที่ทำให้เธอตกใจมากยิ่งกว่าคือ ลู่โจวเขียนทุกอย่างในนี้มาโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง
เธอได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอกออฟฟิศ
หลังจากเคาะประตูสองครั้ง หญิงสาววัยราวสามสิบปีก็เปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างใน
เธอสวมชุดทางการสีเทาและดำ ถ้าหากมองจากท่าทางที่เธอเดินเข้ามาในออฟฟิศแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเธอมาเยี่ยมออฟฟิศแห่งนี้บ่อยๆ
ชื่อของเธอคือแอนสลีย์ และเธอก็กำลังทำงานวิจัยอยู่ภายใต้การดูแลของศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ เธอเรียนจบปริญญาโทเมื่อปีที่แล้ว และตอนนี้กำลังเรียนปริญญาเอก
“ถง ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ฝากให้ฉันมาถามเธอว่า เธอสามารถส่งธีสิสก่อนจะหมดช่วงวันหยุดคริสต์มาสได้ไหม?”
เสี่ยวถงยังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ เธอพยักหน้าตอบอย่างมึนงงว่า
“ได้ค่ะ…”
จะให้ฉันพูดอะไรอย่างอื่นได้ล่ะ?
ฉันต้องจัดระเบียบธีสิสนี้และส่งไป ฉันยังอาจจะกลับบ้านช่วงวันสิ้นปีได้ด้วยซ้ำ…
ถ้ายังหาซื้อตั๋วบินกลับได้น่ะนะ…
“เธอส่งได้จริงเหรอ?” แอนสลีย์มีท่าทางประหลาดใจ เธอพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ ว่า “เขายังพูดย้ำมาอีกว่า ถ้าเธอทำไม่ได้ล่ะก็ เธอเอาอันนั้นไปเป็นโปรเจกต์เรียบจบปริญญาเอกก็ได้…”
เสี่ยวถงตื่นจากฝันกลางวันแล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าแอนสลีย์ต้องการจะสื่ออะไร เธอลังเลอยู่นิดหน่อยก่อนจะส่ายหัว
“ช่วยฝากบอกศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ทีค่ะว่าฉันขอบคุณ ถึงฉันจะอยากไปต่อในเส้นทางสายวิชาการ…แต่ฉันก็อยากไปที่ที่ดีกว่านี้”
เสี่ยวถงบอกได้ว่าศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ไม่อยากให้เธอไป
ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์พยายามหลายครั้งมากที่จะโน้มน้าวให้เสี่ยวถงยังมีเขาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาอยู่ในตอนเรียนปริญญาเอก
ส่วนเหตุผลน่ะเหรอ…
มันง่ายมากเลย เพราะว่าพี่ชายของเธออย่างไรล่ะ…
แอนสลีย์ถอนหายใจและพยายามโน้มน้าวเสี่ยวถง
“แต่ฉันว่าศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ก็เป็นนักวิจัยเศรษฐศาสตร์มหภาคที่เก่งคนหนึ่งเลยนะ อีกอย่าง เธอก็รู้ดีว่ามันเป็นอย่างไร หลายครั้งที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าฟอร์สเตอร์ไม่มีความสามารถหรอกนะ เขาแค่ต้องการโอกาสเท่านั้น”
เสี่ยวถงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วถามไปว่า “คุณรู้ไหมคะว่าลู่โจวเป็นใคร? เขาเป็นพี่ชายฉันเองค่ะ”
บทสนทนานิ่งชะงัก
ทั้งออฟฟิศเงียบไปพักหนึ่ง
“ฉัน…รู้” แอนสลีย์เอ่ยแล้วยักไหล่ จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันยอมรับนะ ว่าเธอมีพี่ชายที่เก่งมาก เก่งกว่าพี่ชายฉันเยอะ ที่เพิ่งรู้วิธีทำแพนเค้กเมื่อปีที่แล้วนี่เอง แต่เธอเอาเรื่องเขามาพูดทำไมกัน?”
เสี่ยวถงตอบคำถามด้วยน้ำเสียงเจือความน้อยใจว่า “ตราบใดที่ฉันยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด คนที่นี่ก็จะแบบ เฮ้ ดูสิ นั่นน้องสาวของลู่โจวนี่นา ขนาดพวกผู้แทนราษฎรยังเรียกฉันว่าเป็นน้องสาวของลู่โจวเลยค่ะ…”
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วมองไปที่เพดานในขณะที่กลอกตาแล้วพูดต่อว่า “ส่วนพวกแฟนคลับสาวๆ พวกนั้น แค่ฟังพวกเขาพูดฉันก็อยากจะอ้วกแล้ว”
สถานการณ์ที่ว่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นที่ออกซฟอร์ดเพียงอย่างเดียว แต่ที่มหาวิทยาลัยจินหลิงเองก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกซาบซึ้งคนที่ใจดีกับเธอ แต่ความสำเร็จทุกอย่างของเธอก็ได้มาง่ายไปเสียหมด และมันไม่ได้เมคเซนส์เลยแม้แต่น้อย
เพราะพี่ชายของเธอทำให้เธอเหมือนกำลังใช้ชีวิตโกงคนอื่นอยู่ เธอจะได้ทุน ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน และได้เข้าร่วมการประชุมทุกอันที่เธอสมัครเข้าไป
เธอได้เข้ามหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดเพราะจดหมายแนะนำฉบับเดียวเท่านั้น ศาสตราจารย์ทุกคนก็อยากได้ตัวเธอ
นี่เป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอรู้ดีว่าตัวเธอนั้นโชคดีแค่ไหน
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่พี่ชายของเธอทำให้ เธอก็ไม่อยากจะใช้ชีวิตอยู่ใต้เงาของพี่ชายเธอไปตลอดชีวิต
ถึงแม้มันจะฟังดูง่ายและสะดวกสบายแค่ไหน แต่ก็หมายความว่าเธอจะไม่มีวันได้เติบโตและรู้สึกว่าตัวเองได้ทำตามสิ่งที่ปรารถนาจริงๆ
นั่นไม่ใช่ชีวิตที่เธออยากได้
แอนสลีย์อ้าปากจะพูด แต่กลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
จู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนเสี่ยวถงเป็นคนแปลกหน้า เหมือนกับว่าเธอไม่เคยเจอเสี่ยวถงมาก่อน
หลังจากผ่านไป เธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจนักว่า
“บางที…เธออาจจะเซนซิทีฟไปหรือเปล่า?”
เสี่ยวถงจ้องแอนสลีย์แล้วพูดเสียงแข็งว่า “ฉันไม่ได้เซนซิทีฟเกินไปหรอกนะ ที่ศาสตราจารย์ฟอร์สเตอร์ยอมรับให้ฉันมาเรียนปริญญาโทกับเขาน่ะ เป็นเพราะตัวฉันจริงๆ เหรอ? ไม่เลย! เขาคงจะแทบไม่รู้จักชื่อฉันด้วยซ้ำ แต่เขาไม่มีวันลืมชื่อของพี่ชายฉันได้หรอก”
“ฉันอยากจะประสบความสำเร็จในอะไรสักอย่างจนคนอื่นรับรู้บ้าง อย่างน้อยก็ให้พวกเขาหยุดเรียกฉันว่า ‘น้องสาวของลู่โจว’ ได้แล้ว ฉันอยากให้พวกเขาเรียกฉันว่า ‘คุณลู่’ “
แอนสลีย์มองใบหน้ามุ่งมั่นของเสี่ยวถง เธอรู้ดีว่าไม่สามารถโน้มน้าวให้เด็กสาวคิดอย่างอื่นได้แล้ว
เอาตรงๆ แล้ว แอนสลีย์ประทับใจในตัวเด็กสาวคนนี้
แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ที่เสี่ยวถงพูดถึง ‘ที่ที่ดีกว่า’ นี่หมายถึงอะไร
มหาวิทยาลัยอื่นก็เป็นเหมือนกันหมดไม่ใช่เหรอ?
วงการเศรษฐศาสตร์ก็ใกล้ชิดกับวงการคณิตศาสตร์อยู่แล้ว ต่อให้เธอออกจากออกซฟอร์ดไปเข้าเคมบริดจ์ สถานการณ์ก็เหมือนเดิมอยู่ดี
“แต่…นอกจากออกซฟอร์ดแล้ว เธออยากจะไปที่ไหนอีกล่ะ?”
“พรินซ์ตัน!”
แอนสลีย์ดูตกตะลึง เสี่ยวถงจึงพูดเพิ่มเติมด้วยท่าทางมั่นใจว่า “ฉันหวังว่าสักวันหนึ่ง ฉันจะเป็นอย่างเขาได้ กับการที่ได้มีชื่ออยู่ในหอแห่งเกียรติยศอย่างเขา!”
………………..