ณ ทางออกของทางหลวงเจียงหลิง
อู๋ติงหรงจ้องไปที่ทางออกถนนหลวงอย่างสิ้นหวัง ลมเย็นที่พัดมาทำให้เขาปวดตา นี่ยังโชคดีที่วันนี้หิมะไม่ได้ตก ไม่อย่างนั้นแล้วหนวดเคราของเขาคงจะมีเกล็ดหิมะเกาะแน่ๆ
เขาทนต่อไม่ไหวอีกแล้ว จึงหันหน้าและคอแข็งๆ ของเขาไปทางผู้ช่วย ก่อนจะเอ่ยถามว่า “นี่แน่ใจนะว่าศาสตราจารย์ลู่จะกลับมาวันนี้น่ะ?”
“แผนกคมนาคมบอกว่าเขาจะกลับวันนี้นะครับ คิดว่าเขาน่าจะยังนั่งรถมาล่ะมั้งครับ? ระยะทางมันแค่ 500 กิโลเมตรเอง…ท่านเทศมนตรี ท่านอยากรอที่บูธเก็บค่าผ่านทางไหมครับ? เดี๋ยวถ้าฝ่ายทางหลวงแจ้งผมมา ผมจะโทรไปหาท่านอีกที”
ผู้ช่วยซุนเสี่ยวเฟิงที่ยืนอยู่ข้างๆ อู๋ติงหรงก็สับสนไม่แพ้กัน
เมื่อเขาเห็นว่าท่านเทศมนตรีมีอารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ อยู่บนใบหน้า เขาก็เริ่มกระวนกระวายมากขึ้นกว่าเดิม
เขาเป็นคนแรกที่ได้ยินว่าลู่โจวกำลังกลับเมืองเจียงหลิง เขาจึงรีบแจ้งให้ท่านเทศมนตรีทราบให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อท่านเทศมนตรีทราบว่านักวิชาการลู่กลับมาแล้ว สภาเมืองก็จัดการประชุมและพิธีต้อนรับขึ้นในทันที พวกเขาทำแม้กระทั่งจัดป้ายต้อนรับไว้ที่ทางออกของทางหลวง
โดยทั่วไปแล้วนักวิชาการคนหนึ่งนั้นไม่มีค่าแก่การได้รับการต้อนรับจากกลุ่มผู้นำสภาเมืองเลยแม้แต่น้อย แม้ว่านักวิชาการต่างๆ จะได้รับสิทธิพิเศษ แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีอำนาจทางการเมืองใดๆ
ทว่านักวิชาการลู่นั้นต่างออกไป
เขาไม่เพียงแต่จะมีส่วนเกี่ยวข้องในโปรเจกต์ระดับชาติหลายครั้ง แต่เขายังเป็นผู้ชนะรางวัลหลิงหยวินด้วย!
อย่าว่าแต่เทศมนตรีท้องถิ่นเลย แม้แต่กลุ่มของทางรัฐบาลเองก็ต้องก้มหัวให้เขา พอตอนนี้ ชายผู้มีชื่อเสียงคนนั้นกำลังกลับบ้านเกิด เทศมนตรีอู๋ก็จัดลำดับความสำคัญให้ลู่โจวอยู่สูงสุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้เหมือนจะมีปัญหาเสียแล้ว…
หากคิดดีๆ แล้ว หลังจากนั่งรถมาเจ็ดชั่วโมง นักวิชาการลู่ก็ควรจะมาถึงทางออกของทางหลวงได้แล้ว แต่ตอนนี้เขายังไม่โผล่มาเลย
“ไม่ล่ะ…” อู๋ติงหรงส่ายหัวและจ้องเขม็งไปทางถนนพลางพูดต่อ “นักวิชาการลู่เป็นวีรบุรุษแห่งชาติ เขาคือความภาคภูมิใจของเจียงหลิง พวกเราต้องการให้การต้อนรับอันแสนอบอุ่นแก่เขา นายคิดว่าการไปนั่งรอในบูธเก็บค่าผ่านทางมันเป็นการต้อนรับอันอบอุ่นไหมล่ะ?”
ที่ท่านลงทุนมาขนาดนี้แค่เพื่อมาเจอเขานี่ยังไม่พออีกเหรอครับ?
ผู้ช่วยซุนจ้องไปที่เทศมนตรีผู้ดื้อรั้นแล้วพยายามจะโน้มน้าวเขา
“แต่…ท่านจะมายืนอยู่ข้างนอกแบบนี้ไม่ได้นะครับ! ที่นี่หนาวจะเป็นน้ำแข็งแล้ว ถ้าเกิดท่านเป็นหวัดขึ้นมาล่ะ?! นักวิชาการลู่จะต้องรู้สึกไม่ดีแน่ครับ”
อันที่จริงแล้ว อู๋ติงหรงก็อยากให้ลู่โจวรู้สึกเสียใจที่เขามาสายจริงๆ นั่นแหละ
แต่แน่นอนว่าเมื่อมีกล้องและผู้สื่อข่าวล้อมรอบเขาเต็มไปหมดแบบนี้ เขาไม่มีวันพูดคำนั้นออกมาจากปากแน่ๆ
“ผมไม่สนเรื่องหวัดเหวิดอะไรหรอก นักวิชาการลู่ถึงกับนอนโคม่าเพื่อประเทศของเรานะ จะสนใจเรื่องเป็นหวัดไปทำไมกัน? ผมแข็งแรงดีมาก!” อู๋ติงหรงพูดพร้อมกับส่ายหัว เขาพูดต่อว่า “เลิกคุยประเด็นนี้ได้แล้ว ถ้านายหนาวก็ออกไปจากตรงนี้ได้เลย”
ถึงผู้ช่วยซุนจะอยากออกไปจากตรงนี้แค่ไหน แต่เขาก็ไม่กล้าพอที่จะทำ
ถ้าเขากลับบ้านตอนนี้ล่ะก็ วันพรุ่งนี้เขาโดนไล่ออกแน่ๆ
สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการยืนรอท่ามกลางความหนาวเย็นกับเทศมนตรีและกลุ่มผู้นำสภาเมือง
ซุนเสี่ยวเฟิงมองเสื้อขนสัตว์ของเทศมนตรี จากนั้นก็มองกลับมาที่เสื้อนอกบางๆ ของตัวเอง
สิ่งเดียวที่เขาอยากให้คนขับของนักวิชาการลู่ทำคือช่วยขับรถไวๆ หน่อยจะได้ไหม
เทศมนตรีอาจจะไม่เป็นหวัด แต่เขาน่ะเป็นแน่ๆ …
…
น่าเสียดายที่คำขอของผู้ช่วยไม่สามารถเป็นจริงได้
ทั้งสภาเมืองจินหลิงไม่ได้คิดว่าลู่โจวจะไปเยี่ยมชมที่อื่นก่อนจะกลับเมืองบ้านเกิดของเขา
หลังจากที่หวังเผิงขับออกจากถนนหลวงเจียงเฉิง เขาก็ตั้งเป้าหมายการนำทางไปเป็นจุดที่ไม่ได้มาร์กไว้บนแผนที่ ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงขอบพื้นที่ไฮเทคของเจียงเฉิง
ตรงนี้คือที่ที่ศูนย์อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์แห่งใหม่ตั้งอยู่
กำแพงคอนกรีตยุคกลางที่สูงล้อมรอบศูนย์อุตสาหกรรมทั้งหมด มีทางให้รถเข้าแค่ 6 ทางบนเลนรถที่ใช้ในการนำเข้าและส่งออกสินค้า
หวังเผิงค่อยๆ ขับรถไปที่ทางเข้าและลดกระจกหน้าต่างลง เขาโชว์บัตรประจำตัวของเขา และทหารคนหนึ่งก็ยอมให้พวกเขาเข้าไปได้
ลู่โจวมองบัตรประจำตัวของหวังเผิงแล้วถามขึ้นอย่างสงสัยว่า “คุณใช้บัตรนี้ไปไหนมาไหนได้ทุกที่เลยเหรอ?”
“ไม่อยู่แล้วครับ” หวังเผิงส่ายหัวแล้วพูดต่อ “คุณต้องเขียนใบขออนุญาตแล้วก็เขียนรายงานด้วย คุณต้องเขียนว่าคุณทำอะไร คุณจะไปพบใคร แล้วคุณจะอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน”
โอ๊ย เรื่องเยอะชะมัด
“แต่ผมไม่เห็นคุณเขียนใบขออนุญาตเลยนะ”
หวังเผิงยิ้มแล้วตอบว่า “มีคนทำให้ผมแล้วครับ อีกอย่างคือ ผมไม่ใช่คนเดียวนะที่อยู่ในกลุ่มผู้รักษาความปลอดภัยให้คุณ”
“อ๋อ เข้าใจแล้ว…ขอบคุณมากนะ”
ลู่โจวเพิ่งรู้ตัวว่ากลุ่มรักษาความปลอดภัยของเขาไม่สามารถมีวันหยุดตรุษจีนกับเขาได้จึงรู้สึกผิดนิดหน่อย
แต่หวังเผิงก็ดูไม่สนใจอะไร
“ไม่มีปัญหาครับ ความปลอดภัยของคุณคือเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่งของพวกเรา”
ลู่โจวลองแนะนำเขาไปว่า
“คุณไม่อยากกลับบ้านช่วงวันหยุดเหรอ? ลองสลับกะกับใครสักคนไหม?”
หวังเผิงยิ้ม
“ในฐานะทหารแล้ว ประเทศนี้ก็เป็นบ้านของผมครับ ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ถือว่าผมได้กลับบ้านแล้ว”
รถค่อยๆ ขับเข้าสู่ศูนย์อุตสาหกรรม
ถนนหกเลนรายล้อมไปด้วยโรงงานสีขาวทรงสี่เหลี่ยม นานๆ ครั้งพวกเขาจะเห็นรถบรรทุกขนส่งเข้าๆ ออกๆ โรงงานพวกนั้นด้วย
สถานที่นี้ดูไม่มีชีวิตชีวามากนัก โรงงานกับศูนย์วิจัยดูเหมือนกับหุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเงียบๆ
ลู่โจวมองออกไปนอกหน้าต่างแล้วรู้สึกตกใจ
มันผ่านมาไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำ
สถาบันวิจัยและโรงงานเกือบสร้างเสร็จแล้วเหรอเนี่ย…
นี่เป็นปาฏิหาริย์ชัดๆ
หวังเผิงมองไปทางลู่โจวแล้วถามเขาว่า “เราจะไปไหนกันครับ?”
ลู่โจวคิดอยู่แป๊บหนึ่งก็ตอบว่า “เราไปไฮซิลิคอนของหัวเหว่ยกันดีกว่า”
หวังเผิงพยักหน้า
“โอเคครับ”
รถซีดานสีดำแล่นอยู่บนถนนหกเลน มันมุ่งตรงไปทางตึกที่ตั้งอยู่ใจกลางศูนย์อุตสาหกรรม
อาคารนี้เป็นอาคารแห่งการพัฒนาและการวิจัยเซมิคอนดัคเตอร์ไฮซิลิคอนที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ และยังเป็นฐานการทำเซมิคอนดัคเตอร์ด้วย
แน่นอนว่าการจะเรียกมันว่าเป็นฐานการทำเซมิคอนดัคเตอร์ก็ยังถือว่าเร็วเกินไป ตอนนี้อาคารนี้ยังเน้นการทำงานไปที่ฝั่งการพัฒนาและการวิจัยอยู่ หลังจากที่พวกเขาเปลี่ยนทรานซิสเตอร์คาร์บอนให้เป็นผลงานที่ใช้ได้แล้ว ค่อยมาคุยเรื่องการผลิตกันทีหลัง
เนื่องจากสตาร์สกายเทคโนโลยีได้ลงทุนในไฮซิลิคอน สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงจึงส่งทีมนักวิจัยเซมิคอนดัคเตอร์คาร์บอนมาช่วยวิศวกรแก้ปัญหาทางอุตสาหกรรม
รถยนต์ขับผ่านลานจอดรถในขณะที่ลู่โจวกำลังโทรหาเฉินยู่ซาน เขาบอกเธอว่าเขาอยู่ที่ฐานของเซมิคอนดัคเตอร์ที่เจียงเฉิงแล้ว จากนั้นเขาก็ลงจากรถแล้วเดินตรงไปที่โรงงาน
แต่เมื่อเขาเดินไปที่ทางเข้า เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่สวมหมวกนิรภัยก็เดินมาหยุดเขาไว้
“หยุดก่อนครับ! คุณมาจากแผนกไหนกัน ทำไมคุณมาที่นี่…อ้าว เชี่* ลู่โจวเหรอ?!
พอลู่โจวเห็นคนที่เดินมาหยุดเขา เขาก็ประหลาดใจมาก
“กวงหมิงเหรอ?!
ให้ตายเถอะ!
หวงกวงหมิงเนี่ยนะ?!
รูมเมตของลู่โจวสมัยเรียนมหาวิทยาลัยคนนั้น
ทำไมเขามาอยู่ที่นี่ล่ะเนี่ย…
นี่มัน…
โคตรจะบังเอิญเลยเฮ้ย!
…………………