พอลู่โจวกลับมาที่เมืองเจียงหลิงมันก็เป็นช่วงกลางดึกแล้ว ถึงเขาจะอยากกลับบ้านตอนนี้ เขาก็จำได้ว่าคนที่บ้านก็คงจะหลับกันไปหมดแล้ว ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไปพักที่โรงแรมในเมืองแล้วบอกให้หวังเผิงขับพาเขาไปส่งบ้านในวันพรุ่งนี้
เสียงกริ่งประตูบ้านดังขึ้น
ลู่โจวได้ยินเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้วประตูก็ถูกผลักเปิดออกอย่างแรง
พอฟางเหมยเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของลู่โจว ดวงตาของเธอก็เอ่อล้นไปด้วยน้ำตาแห่งความปีติยินดี
“ลูก! กลับมาแล้วเหรอ!”
“แม่ครับ!” ลู่โจวกอดแม่ของเขา ในตอนนั้นเองเขาก็เห็นพ่อของเขากำลังเดินมาที่ประตูหน้าเช่นกัน ลู่โจวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นนิดๆ ว่า “พ่อครับ ผมกลับมาแล้ว!”
ครั้งล่าสุดที่ฉันกลับบ้านมามันตอนไหนกันนะ?
ไม่สามก็สี่ปีก่อนนั่นแหละ ลู่โจวจำไม่ได้แล้ว
ลู่ปังกั๋วมองลูกชายของตนแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เยี่ยมไปเลย เดินทางมาเป็นอย่างไรบ้าง? มานั่งสิ…แล้วนี่ใครนะ?”
ลู่โจวขยับไปด้านข้างครึ่งก้าวแล้วตอบพ่อว่า “เขาชื่อหวังเผิงครับ เป็นคนขับรถของผม พ่อเคยเจอกับเขาแล้ว”
“อ๋อ อ๋อ ใช่ จำได้แล้ว บ้าจริง ความจำพ่อเริ่มแย่ลงทุกวันๆ …” ลู่ปังกั๋วยิ้มแล้วพูดต่อ “เข้ามาสิทุกคน”
ทั้งสองคนเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น ในขณะที่ลู่ปังกั๋วหยิบถ้วยชาและกาน้ำชามาตามมารยาท
ถ้ามีแค่ลูกชายของเขา เขาคงไม่ทำพิธีรีตองอะไรขนาดนี้ แต่ตอนนี้เขามีแขกมาที่บ้านด้วย ถึงแม้หวังเผิงจะพูดย้ำแล้วว่าให้ทำเหมือนเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย แต่ลู่ปังกั๋วก็ทนอยู่เฉยๆ ไม่ได้อยู่ดี
“ที่นี่เปลี่ยนไปเยอะเลย…”
ลู่โจวจิบชาแล้วมองไปรอบๆ บ้านที่ได้รับการรีโนเวต
ทีวีอันเก่าตอนนี้ได้กลายเป็นทีวีจอแบน 48 นิ้วแล้ว นาฬิกาบนผนังก็เปลี่ยนไปด้วยเหมือนกัน
ลู่โจวยังเห็นกระทั่งว่ามีกระเทียมและพวกต้นหอมจีนวางอยู่ตรงขอบหน้าต่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาจำได้แทบจะเปลี่ยนไปหมดเลย
สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนไปคือบรรยากาศในบ้านอันคุ้นเคย
ฟางเหมยยิ้มแล้วบอกว่า “ลูกกับน้องไม่ได้อยู่บ้าน แม่กับพ่อก็เลยตัดสินใจรีโนเวตบ้านน่ะ เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่จะเป็นของใหม่ แต่แม่ไม่ได้ไปแตะอะไรในห้องลูกกับน้องนะ”
“โอ้ จริงหรือครับ?” ลู่โจวยิ้ม “ดีเลยครับ ผมกำลังวางแผนจะไปดูว่าห้องเก่าผมเป็นอย่างไรบ้าง”
ลู่ปังกั๋วมองหวังเผิงที่นั่งอยู่ที่โซฟาด้วยท่าทางเคร่งขรึม เขายิ้มแล้วถามอีกฝ่ายว่า “หวังเผิงจะกินข้าวเย็นกับพวกเราไหม? เดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อปลาในตลาด”
“ไม่ครับไม่” หวังเผิงโบกมือปฏิเสธอย่างสุภาพแล้วบอกว่า “ผมต้องทำงานต่อ ไม่รบกวนบรรยากาศครอบครัวคุยกันหรอกครับ”
ลู่โจวได้ยินดังนั้นจึงถามเขา “งานอะไรกัน?”
หวังเผิงกระแอมแล้วอธิบาย “ผมต้องกรอกแบบฟอร์ม…แล้วก็อย่างอื่นด้วย”
ลู่โจวไม่ได้ถามรายละเอียดอะไรเพิ่มเติม เขาทำเพียงพยักหน้า
“โอเค ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวฉันจะออกไปส่งนายนะ”
หวังเผิงกำลังเดินออกไปจากบ้าน ในมือของเขาก็ขยี้ตาตัวเองไปด้วย
ลู่โจวสังเกตเห็นท่าทางของเขา เขาหยุดเดินแป๊บหนึ่งแล้วถามอีกฝ่ายว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า?”
“เปล่าครับ…” หวังเผิงส่ายหัวแล้วตอบคำถาม “ผมแค่…เศร้านิดหน่อย คุณเสียสละเพื่อประเทศนี้มามาก เพื่อวิทยาศาสตร์มามาก”
เสียงหวังเผิงเริ่มสั่นๆ
ลู่โจวไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
“…”
อันที่จริงเขาอยากจะบอกหวังเผิงว่าเขาก็มีความสุขดีอยู่แล้ว แต่พอเห็นหวังเผิงในตอนนี้ เขาเลยตัดสินใจไม่พูดออกไป
ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยให้เขาเป็นอย่างนั้นนั่นแหละ
ลู่โจวเปลี่ยนประเด็นแล้วถามว่า “คุณกำลังหาที่พักเหรอ? เดี๋ยวผมจ่ายตรงนั้นให้…”
หวังเผิง “ไม่เป็นไรครับ ผมพักอยู่โฮสเทลแถวนี้ได้”
ลู่โจวส่ายหัวและกล่าวว่า “ไม่ อย่าไปพักที่นั่นสิ เงินนี้น่ะไม่เป็นไรหรอก มันไม่ได้แพงอะไรอยู่แล้ว คุณควรจะได้พักผ่อนดีๆ มากกว่า ผมจะได้รู้สึกปลอดภัยมากกว่าด้วยตอนคุณจับพวงมาลัย”
หวังเผิงกระแอมแล้วบอกปัดไปว่า “ผมว่าคุณเข้าใจผิดแล้วล่ะ…ห้องพักที่นั่นดีมากเลย พวกเขามีอาหารให้สามมื้อด้วย เพราะอย่างนั้นคุณไม่ต้องกังวลหรอกครับ”
และที่สำคัญกว่าก็คือ เขาเป็นคนจากกองทัพ เขาไม่ชินกับพวกโรงแรมหรูๆ อยู่แล้ว เขาจะชอบอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและรัดกุมมากกว่า…
ลู่โจวไม่ได้พยายามพูดกล่อมเขาต่อ พวกเขาบอกลาแล้วเดินแยกทางกันไป
…
หลังจากที่ลู่โจวมองรถซีดานสีดำหายไปจากถนนตรงหน้า เขาก็หันหลังกลับเข้าบ้าน
แม่ของเขาเริ่มทำอาหารกลางวันแล้ว ส่วนพ่อของเขาก็ออกไปซื้อของ ถึงเขาจะอยากช่วยแม่ทำอาหาร แต่แม่ของเขาก็ปฏิเสธ
ลู่โจวรู้สึกเบื่อ เขาเลยหยิบกระเป๋าคอมพิวเตอร์มาแล้วเดินขึ้นห้องตัวเองไป
ถึงแม้เขาจะบอกตัวเองว่าเขาจะไม่ทำงานในช่วงวันหยุด แต่มันก็ไม่มีอะไรให้เขาทำแล้วจริงๆ
เขาไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งเล่นเฉยๆ แล้วไม่ทำอะไรหรอก
ลู่โจวหยิบคอมพิวเตอร์ของเขาออกมาแล้ววางลงไปบนโต๊ะที่แม้จะเก่าแล้วแต่ก็ยังสะอาดอยู่ เขามองไปรอบๆ ในใจก็อดรำลึกความหลังสมัยก่อนของห้องนี้ไม่ได้
อย่างที่แม่เขาบอกนั่นแหละ ไม่มีอะไรในห้องเปลี่ยนไปเลย
ทุกอย่างในห้องยังเหมือนเดิมกับตอนที่เขาจากไป สิ่งเดียวที่แตกต่างคือพื้นห้องอันสะอาดเอี่ยมที่เห็นได้ชัดว่า มันได้รับการทำความสะอาดอยู่บ่อยๆ
ลู่โจวหยิบกรอบรูปจากตรงขอบโต๊ะขึ้นมา
ข้างในเป็นรูปถ่ายตอนเขาเรียนจบมัธยมปลาย
ในรูปเป็นเพื่อนสนิทของเขา อาจารย์ของเขา สาวๆ ที่เขาชอบ สาวๆ ที่ชอบเขา…และแน่นอนว่ามีตัวเขาอยู่ด้วย
เขามองภาพตัวเองในวัยรุ่นแล้วยิ้มมุมปากขึ้นมา
ย้อนกลับไปสมัยนั้น เขายังไม่รู้เรื่องรู้ราวและไร้เดียงสา แต่ความรู้สึกของความสุขอันไร้ขอบเขตนั้นแทบจะไม่มีวันลืมได้เลย
ทุกคนสูญเสียบางสิ่งไปเสมอ เพื่อที่จะให้ได้ความสำเร็จมา
หลังจากรำลึกความหลังอยู่พักหนึ่ง ลู่โจวก็วางกรอบรูปกลับไปที่เดิมแล้วกลับมาจดจ่อกับโน้ตบุ๊กของเขา
“ทำให้เสร็จก่อนมื้อเที่ยงแล้วกัน”
ลู่โจวเริ่มพิมพ์บนแป้นคีย์บอร์ด
[คำแนะนำและการปรับปรุงศูนย์อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์คาร์บอนแห่งเจียงเฉิง (ดราฟต์แรก)]
หลังจากพิมพ์ชื่อเรื่องลงไป ลู่โจวก็เริ่มเคาะนิ้วชี้ตัวเองกับโต๊ะ หลังจากรวบรวมความคิดเรื่องศูนย์อุตสาหกรรมเซมิคอนดัคเตอร์คาร์บอน เขาก็เริ่มเขียนข้อมูลลงไป
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไฟล์เอกสารจำนวนห้าหน้าก็เต็มไปด้วยคำแนะนำต่างๆ
หลังจากที่ลู่โจวตรวจทานเนื้อหาอยู่สองรอบ เขาก็เปิดอีเมลแล้วส่งสำเนาไฟล์ไปให้เฉินยู่ซานและกระทรวงป้องกันราชอาณาจักร สุดท้าย เขาเอนหลังพิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“นี่น่าจะเสร็จเสียที”
เขากำลังจะปิดคอมพิวเตอร์แล้วเดินออกจากห้องแล้ว แต่ก็มีอีเมลฉบับหนึ่งเข้ามาพอดี
ลู่โจวไม่รู้จักอีเมลแอดเดรสของคนส่งเลย
พอล โรบิน ครุกแมน..จากคณะเศรษฐศาสตร์ของพรินซ์ตันเหรอ?
ลู่โจวจ้องชื่ออยู่พักหนึ่ง คิ้วของเขาขมวด
เอิ่มมม…
ใครเนี่ย?
……………………………….
Related