ลู่โจวเคยคุยกับนักวิชาการสายเศรษฐศาสตร์บ้างนานๆ ครั้งในสมัยที่เขายังอยู่พรินซ์ตัน แต่เขาก็ยังไม่รู้จักคณะเศรษฐศาสตร์ของพรินซ์ตันดีนัก
ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะจำชื่อของคนที่นั่นทุกคนได้เสียหน่อย?
ยังไม่นับว่าพรินซ์ตันเป็นสถานศึกษาที่ใหญ่แห่งหนึ่ง แล้วเขาก็สอนอยู่ที่นั่นแค่ไม่กี่ปี เป็นไปได้มากว่าเขาจะไม่เคยคุยกับคนคนนี้ที่ส่งอีเมลมาหาเขามาก่อน
ลู่โจวพยายามนึกว่าเขาเคยคุยกับคนคนนี้สักครั้งหรือไม่ แต่เขาก็จำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะลองหาข้อมูลสถานะทางวิชาการของคนคนนี้ในอินเทอร์เน็ตดู
กลายเป็นว่าเขาคนนี้มีชื่อเสียงมากทีเดียว
ครุกแมน!
ชายผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2008
เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านการค้าระหว่างประเทศ อัตราการแลกเปลี่ยน และเศรษฐศาสตร์มหภาค
ความสำเร็จทางวิชาการที่โด่งดังที่สุดของเขาคือ การคาดการณ์วิกฤตเศรษฐกิจของเอเชียในปี 1994 ซึ่งเกิดขึ้นจริงในปี 1997 การคาดการณ์นั้นกลายเป็นที่โด่งดังในวงการเศรษฐศาสตร์หลายสาขาหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้นจบลง ทำให้เขาได้รางวัลโนเบลในปี 2008
ลู่โจวรู้สึกแปลกๆ ทำไมคนคนนี้ถึงส่งอีเมลมาหาเขากันนะ
เนื้อหาในอีเมลเป็นการถามว่าลู่โจวมีเวลาจะคุยเรื่องหัวข้อทางวิชาการกับเขาบ้างไหม
ถึงแม้ลู่โจวจะไม่สนใจเรื่องเศรษฐศาสตร์ หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็ตอบอีเมลไปว่า
[ผมว่างตอนสองทุ่มวันนี้ตามเวลาปักกิ่งครับ ถ้าคุณต้องการ ผมคุยกับคุณตอนนั้นได้]
ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องให้ความเคารพกับนักวิชาการที่ได้รางวัลโนเบลเสียหน่อย
แล้วก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมีงานอื่นให้ทำในช่วงนี้ด้วย
…
เวลาสองทุ่ม
ใบหน้าของครุกแมนปรากฏบนวิดีโอคอล
ศาสตราจารย์ข้ามการพูดคุยเรื่องจิปาถะและการแนะนำตัวออกไป วินาทีที่วิดีโอของเขากับลู่โจวเชื่อมต่อกันติด เขาก็เปิดฉากเริ่มอย่างดุเดือดในทันที
“คุณไม่รู้เลยว่างานวิจัยของคุณมีความสำคัญมากแค่ไหน!”
ลู่โจวตกใจนิดหน่อย เขาถามไปว่า “ผมไม่แน่ใจว่าคุณกำลังพูดถึงงานไหน…ช่วยระบุให้ชัดเจนกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ?”
ครุกแมนสูดลมหายใจลึกๆ แล้วอธิบาย
“แบบจำลองบิวลีย์เป็นแนวคิดล่าสุดของเศรษฐศาสตร์มหภาค…และคุณก็ได้ช่วยปรับปรุงแบบจำลองนี้…ในตอนนี้ผมจะเรียกมันว่าแบบจำลองลู่ บิวลีย์ไปก็แล้วกัน มันไม่เพียงแต่จะช่วยลดการคำนวณที่สร้างปัญหาออกไปเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดขึ้นแบบสุ่มในแบบจำลองอีกด้วย!”
แบบจำลองบิวลีย์เหรอ?
อ๋อ เขากำลังพูดถึงงานธีสิสของเสี่ยวถงนั่นเอง…
หลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของศาสตราจารย์ครุกแมน ใบหน้าของลู่โจวก็เปลี่ยนเป็นใบหน้า ‘อ๋อ เข้าใจแล้ว’
แต่เขาก็ไม่ได้ตื่นเต้นเท่าศาสตราจารย์ครุกแมน
เมื่อเห็นว่าลู่โจวไม่ได้แสดงท่าทีอะไร ศาสตราจารย์ครุกแมนเลยเข้าใจว่าลู่โจวไม่เข้าใจสถานการณ์ ดังนั้น ครุกแมนจึงกระแอมแล้วพูดต่อไปว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ลืมพวกแบบจำลองซับซ้อนนั้นไปก่อน เศรษฐศาสตร์มีเป้าหมายอยู่สองแบบ อย่างแรกคือการปรับปรุงประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากร และอีกอย่างคือการผสมผสานความสนใจของสังคม! ถ้าพวกเรามีแบบจำลองที่แม่นยำแล้วล่ะก็ หรือแม้จะเป็นแค่การประเมินคาดการณ์ก็ตาม พวกเราก็สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการจัดสรรทรัพยากรให้อยู่ในระดับสูงสุด พวกเราสามารถคาดการณ์เหตุการณ์ทางเศรษฐศาสตร์ในอนาคตได้เลยด้วยซ้ำ!”
ในที่สุดลู่โจวก็มีปฏิกิริยาร่วมด้วยเสียที เขาเอนหลังไปพิงพนักเก้าอี้แล้วเอ่ยว่า “ฟังดูค่อนข้างน่าประทับใจเลยนะครับ”
ลู่โจวยิ้ม เขามองศาสตราจารย์ครุกแมนผ่านหน้าจอแล้วพูดว่า “ผมไม่รู้เรื่องเศรษฐศาสตร์มากนัก แต่ถ้าพูดถึงเรื่องระบบที่ยุ่งเหยิงแล้วล่ะก็…เหมือนว่าจะไม่เคยมีแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่แม่นยำ 100% เลยนะครับ อย่างเช่น คุณจะสามารถคาดการณ์การเกิดมาของเทคโนโลยีฟิวชั่นที่ควบคุมได้ขึ้นมาได้อย่างไร? แบบจำลองจะคาดการณ์ได้อย่างไรว่าเทคโนโลยีนั้นจะส่งผลต่อสภาพเศรษฐกิจโลก?”
“ผมตอบคำถามข้อนั้นไม่ได้ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักของเรื่องนี้” ครุกแมนส่ายหัวแล้วพูดต่อ “สิ่งที่ผมตอบคุณได้คือ การพัฒนาทางเทคโนโลยีมันสอดคล้องกับเงินทุนในการพัฒนาและการวิจัย ค่า GDP และอื่นๆ อีกมากมาย ในแบบจำลองนี้ยังมีพารามิเตอร์อีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็แล้วแต่นี่ก็เป็นงานวิจัยระดับรางวัลโนเบลแน่ๆ ! ถ้าคุณตัดสินใจทำแบบจำลองบิวลีย์นี้ให้สมบูรณ์ รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์จะต้องตกเป็นของคุณแน่ๆ !”
“แต่…ผมก็ได้รางวัลเหรียญฟิลด์มาแล้วนะ” ลู่โจวยักไหล่แล้วพูดต่อ “รางวัลโนเบลผมก็ได้มาแล้ว”
บรรยากาศในวิดีโอคอลเริ่มอึดอัดนิดหน่อย
ศาสตราจารย์ครุกแมนกระแอมแล้วพูดต่อ
“คุณไม่อยากได้รางวัลเพิ่มเหรอ? นี่รางวัลโนเบลเลยนะ…”
“รางวัลโนเบลมันไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นนะครับ สำหรับผมแล้ว” ลู่โจวถอนหายใจแล้วพูดต่อ “คุณรู้อะไรไหม? ไม่ใช่พวกรางวัลไร้ค่าพวกนั้นเลยที่ผมสนใจ สิ่งที่ผมสนใจคือตัวปัญหาเองต่างหาก คุณเข้าใจไหมว่าผมกำลังหมายความว่าอะไรครับ ศาสตราจารย์ครุกแมน?”
“…”
ครุกแมนไม่อยากจะพูดอะไรออกมาทั้งนั้น
เขาอยากจะขว้างโน้ตบุ๊กตัวเองออกไปนอกหน้าต่าง
ไอ้เด็กเจนวายงี่เง่านี่เพิ่งบอกเขาว่ารางวัลโนเบลไร้ค่างั้นเหรอ!
น่าโมโหชะมัด!
เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วพยายามโน้มน้าวลู่โจว
“แบบจำลองบิวลีย์มันไม่น่าสนใจพอเหรอ? นี่เป็นปัญหาที่สำคัญมากเลยนะ! ผมรับรองได้เลยว่า มันจะเปลี่ยนโลกนี้ได้มากกว่างานวิจัยสายคณิตศาสตร์บริสุทธิ์อันไหน…”
“บางทีอาจจะไม่” ลู่โจวพูดขัดครุกแมน เขาเสริมต่อว่า “อีกอย่าง แบบจำลองบิวลีย์ที่ปรับปรุงแล้วนี้…หรือที่คุณเรียกว่า แบบจำลองลู่ บิวลีย์ อันนั้นแหละ ผมใช้เวลาสร้างมันขึ้นมาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น มันไม่ได้ดูยากหรือว่าน่าสนใจอะไรเลย”
1 ชั่วโมงเหรอ…
ครุกแมนชะงัก
สัญชาตญาณบอกเขาว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่คนที่อยู่บนหน้าจอตอนนี้ดูไม่เหมือนว่ากำลังพูดเล่นหรือโกหกอยู่เลย
เขาจะโกหกไปทำไมล่ะ?
แต่ใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมงในการจำแบบจำลองบิวลีย์ให้ออกมาเพอร์เฟกต์น่ะเหรอ…
มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ !
“โอเค ถ้าอย่างนั้นแล้วนะครับ” ลู่โจวพูด เมื่อเห็นว่าศาสตราจารย์ครุกแมนถึงกับพูดไม่ออก ลู่โจวจึงมองนาฬิกาตัวเองแล้วอ้าปากหาว “ผมต้องขอโทษด้วย แต่ผมช่วยคุณไม่ได้จริงๆ มีศาสตราจารย์คณิตศาสตร์เก่งๆ อีกหลายคนในพรินซ์ตัน บางทีคุณอาจจะเอาแบบจำลองนี้ไปคุยกับพวกเขาก็ได้
ลาก่อนครับ”
วิดีโอคอลนั้นจบลง
ครุกแมนจ้องไปที่จอที่ดำสนิทแล้วนั่งนิ่งไม่ไหวติงอยู่เป็นเวลานาน นิ้วของเขาสั่นไปหมดตอนที่ถอดแว่นตาตัวเองออกมา
นักศึกษาของเขาที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและพึมพำออกมาทันทีว่า “ศาสตราจารย์ครับ?”
ครุกแมนถอนหายใจแล้วส่ายหัว
“ต้องคิดหาวิธีอื่นเสียแล้วสิ”
มีศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่เก่งๆ อยู่มากในพรินซ์ตันจริง แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครสนใจเศรษฐศาสตร์เลย โดยเฉพาะพวกคนสายวิจัยเชิงทฤษฎี พวกเขาดูหมิ่นพวกคนสายประยุกต์แล้วมองว่าเศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องเสียเวลา
แต่ตอนนี้นักวิชาการระดับโลกคนหนึ่งได้ทำวิจัยเรื่องเศรษฐศาสตร์แล้ว ครุกแมนจึงยังไม่อยากยอมแพ้แน่ๆ
ครุกแมนเริ่มคิด แล้วเขาก็นึกไอเดียหนึ่งขึ้นมาได้
เขาจำได้ว่ายังมีผู้เขียนคนอื่นอีกในธีสิสเรื่องนี้
ไม่ใช่ฟอร์สเตอร์
เขาไม่เคยได้ยินชื่อฟอร์สเตอร์มาก่อน และเขาก็คิดว่าฟอร์สเตอร์คงเป็นแค่คนธรรมดาๆ คนหนึ่งที่ส้มหล่นได้มามีชื่อในงานเฉยๆ
แต่ผู้ประพันธ์คนที่สองนั้น…
ดวงตาของครุกแมนเป็นประกายตอนที่เขาเห็นนักศึกษาของเขา เขารีบพูดขึ้นมาทันทีว่า
“วิสล์!”
วิสล์รีบตอบกลับทันทีว่า “มาแล้วครับ…คุณอยากได้อะไรเหรอ?”
“เขียนอีเมลให้หน่อยสิ เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ให้ทีหลัง ชื่อผู้รับคือ ลู่เสี่ยวถง…” ครุกแมนหยุดพูดไปพักหนึ่งแล้วพึมพำกับตัวเอง “ถ้าทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เราน่าจะมีเวลามากพอ”
ถึงครุกแมนจะพูดเบาๆ วิสล์ก็ยังได้ยินคำพูดในประโยคสุดท้าย
เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วพูดว่า
“เวลามากพอเพื่อทำอะไรเหรอครับ?”
ครุกแมนนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “จำงานวิจัยที่เอาให้ดูเมื่อครั้งก่อนได้ไหม? ส่วนที่พลิกวงการคือส่งคณิตศาสตร์ แต่ทางฝั่งทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ก็ทำมาได้ดีเหมือนกัน การให้นักคณิตศาสตร์ทำวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ได้ก็เป็นคุณภาพงานที่หาได้ยากด้วยตัวมันเองแล้ว…ถ้าเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ เธอคนนั้นยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ไหน!”
วิสล์ยิ่งไปแป๊บหนึ่ง แล้วลองสมมุติสถานการณ์ขึ้นมาว่า
“แต่ถ้าเกิดว่าเธอไม่อยากเรียนต่อล่ะครับ?”
ครุกแมนโต้กลับ “เหลวไหลน่า!
เธอเขียนธีสิสออกมาได้ดีขนาดนี้ ไม่มีทางที่จะเลิกเรียนต่อ! ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะให้เธอเขียนงานวิจัยดีขนาดนี้แค่เพื่อให้เรียนจบปริญญาโท!
ไปเขียนอีเมลมาเถอะน่า”
“ได้ครับ…” วิสล์มองเจ้านายของเขาแล้วพยักหน้า เขาเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาแล้วเริ่มพิมพ์ข้อความลงไป
นักศึกษาปริญญาเอกวัยสามสิบกว่าคนนี้อดคิดไม่ได้ว่า
ทุกๆ ช่วงเวลาที่มีการจบการศึกษา คนจะเริ่มขอจดหมายแนะนำกัน พวกเขาพยายามขุดสิ่งที่อยู่ในสมองออกมาเพื่อตามหาอาจารย์ที่ปรึกษาปริญญาเอกที่ดีๆ แต่ผู้หญิงคนนี้ ไม่ต้องมีจดหมายแนะนำเสียด้วยซ้ำ เธอมีศาสตราจารย์ที่ได้รับรางวัลโนเบลกำลังเรียกหาเธออยู่…
เธอเป็นใครกันแน่?
นี่เป็นครั้งแรกที่วิสล์ได้ยินว่ามีอะไรแบบนี้เกิดขึ้น
วิสล์นึกย้อนกลับไปสมัยเขาเข้าวงการวิชาการแรกๆ แล้วเขาก็รู้สึกขมขื่นในใจ…
บ้าเอ๊ย!
อิจฉายัยคนนี้โว้ย!
…………………
Related