เมื่อหลี่โม่กลับมาที่ศูนย์คณิตศาสตร์ พระอาทิตย์ก็กำลังจะตกดิน
เขากำลังจะเก็บของของเขาแล้วกลับไปยังอพาร์ทเมนท์
“พี่หลี่ พี่หายไปไหนมา? ฉันกำลังหาพี่อยู่ เรากินข้าวเย็นกันเสร็จแล้ว”
หลี่โม่สั่นหัว
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันจะหาอะไรกินทีหลัง มีร้านอาหารแถวนี้เยอะเลย”
เขาหยิบกระเป๋าเป้แล้วกำลังจะออกไป แต่เด็กชายร่างอ้วนกลมคว้าไหล่เขาเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน พี่จะไปไหน?”
หลี่โม่นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า
“อ๋อ ฉันจะไปหานักวิชาการลู่”
“หานักวิชาการลู่? เกิดอะไรขึ้น?”
“ฉันขอให้เขามาเป็นที่ปรึกษาให้ฉัน ฉันอยากให้เขาสอนคณิตศาสตร์ให้ฉัน!”
เมิ่งเฟยงุนงงเล็กน้อย
“…แล้วเขาตกลงหรือเปล่า?”
หลี่โม่สั่นหัว
“ไม่”
“ฉันบอกพี่แล้ว” เมิ่งเฟยสั่นหัวแล้วพูดว่า “เขาเป็นนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ด้านอากาศยาน แล้วทำไมเขาจะต้องมาสอนเด็กนักเรียนมัธยม?”
หลี่โม่พยักหน้าแล้วพูดว่า “แต่…”
เมิ่งเฟยนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วถามว่า “แต่อะไร?”
เด็กชายที่สวมหมวกเบสบอลกำหมัดแน่นแล้วพูดว่า “แต่เขาสัญญากับฉันว่าถ้าฉันได้เหรียญทองในการแข่ง IMO เขาจะรับฉันเป็นลูกศิษย์”
เหรียญทอง IMO
ฟังดูท้าทาย
แต่มันก็เป็นไปได้
อย่างไรก็ตามเขาเป็นเพียงคนเดียวที่แก้โจทย์ข้อสุดท้ายของข้อสอบในการฝึกอบรม IMO ระดับชาติได้
เมิ่งเฟยไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเลย เขามองที่หลี่โม่เหมือนว่าเขาเป็นคนโง่
หลี่โม่ไม่รู้ว่าทำไมเพื่อนของเขาถึงดูไม่พอใจ
“ทำไมนายถึงมองฉันแบบนั้นล่ะ? นายไม่คิดว่าฉันจะทำได้เหรอ?”
“เปล่า” เมิ่งเฟยสั่นหัวแล้วพูดว่า “พี่หลี่ ถ้าพี่ชนะเหรียญทอง แทนที่จะได้เข้ามหาวิทยาลัยสุ่ยมู่หรือมหาวิทยาลัยเหยียน พี่ก็ตัดสินใจไปเข้ามหาวิทยาลัยจินหลิง… แล้วพ่อจะไม่ฆ่าพี่ตายเหรอ?”
แม้ว่านักวิชาการลู่จะเป็นสุดยอดนักวิชาการ แต่มหาวิทยาลัยจินหลิงก็ไม่สามารถเทียบได้กับมหาวิทยาลัยสุ่ยมู่หรือมหาวิทยาลัยเหยียน ถึงแม้สถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงจะสร้างความสำเร็จในการวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ในไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ชื่อเสียงและเกียรติยศทางวิชาการก็ไม่มีตรงไหนใกล้เคียงกับมหาวิทยาลัยสุ่ยมู่หรือมหาวิทยาลัยเหยียน
ไม่ว่าใครที่ได้เข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยสุ่ยมู่หรือมหาวิทยาลัยเหยียนก็จะเป็นที่อิจฉาของเพื่อนบ้านทั้งหมด แต่การได้เข้ามหาวิทยาลัยจินหลิงนั้นไม่เหมือนกัน…
อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินคำพูดของเด็กชายตัวอ้วนกลม หลี่โม่ก็สั่นหัวอย่างมั่นใจ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ไม่เห็นจะมีอะไรต้องกลัวนี่? ฉันตัดสินใจแล้ว! นักวิชาการลู่คงจะไม่โกหกฉัน ถ้าฉันได้เหรียญทอง เขาก็จะมาเป็นอาจารย์ของฉัน!”
“งั้นเตรียมตัวโดนพ่อพี่ตีก้นได้เลย! โอเค ฉันจะไม่เกลี้ยกล่อมพี่…” เมิ่งเฟยสั่นหัวแล้วตบบ่าเพื่อนรักของเขา “ฉันจะสนับสนุนพี่ไม่ว่าพี่จะไปที่ไหน”
หลี่โม่มองเพื่อนร่างอ้วนกลมของเขาแล้วพูดว่า
“ดี!”
“เฮ้ แต่เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าฉันเป็นคนที่ได้เหรียญทองแล้วตัดสินใจไปเรียนที่มหาวิทยาลัยจินหลิงแทนล่ะ… ฉันคงจะโคตรกลัวพ่อฉัน…”
หลี่โม่มองที่เพื่อนของเขาแล้วถอนหายใจ
“ไม่ต้องกังวลไป นายคงไม่ได้เหรียญหรอก”
เมิ่งเฟยพูดว่า “ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้…”
หลี่โม่ยิ้มแล้วตบบ่าของเขา
“แค่ล้อเล่นน่ะ มา ไปหาของกินกันเถอะ”
“ฉันเพิ่งกินมา… แต่ยังไงฉันก็จะไปด้วย”
…
ลู่โจวไม่รู้ว่าเขาได้เพาะเมล็ดพันธุ์ไว้ในตัวเด็กหนุ่มบางคนแล้ว
หลังจากลู่โจวออกจากบริเวณมหาวิทยาลัยเหยียน เขาก็ขึ้นรถแล้วโทรไปที่ห้องทำงานของเขา เขาขอให้จ้าวหวน ผู้ช่วยของเขาซื้อตั๋วเครื่องบินสำหรับ ‘ผู้มีพรสวรรค์’ คนใหม่ที่แย่งชิงมาได้
ตลอดทางเขาไม่ได้มาที่ปักกิ่งเพื่อแย่งชิงผู้มีพรสวรรค์ เขามีสิ่งสำคัญมากกว่านั้นที่ต้องทำ
หลังจากลู่โจวขึ้นรถเขาก็โทรไปยังสถาบันจินหลิงเพื่อการศึกษาขั้นสูงและบอกพวกเขาถึงเรื่องการว่าจ้างบุคลากรใหม่
หลังจากกลับไปที่โรงแรม ลู่โจวก็ได้รับสาระสำคัญของการประชุมจากคณะกรรมการการโคจรของดวงจันทร์และตรวจสอบภาระหน้าที่ของเขาคร่าวๆ
ในฐานะหัวหน้านักออกแบบ นอกจากการกล่าวสุนทรพจน์เปิดพิธีแล้ว เขายังต้องเป็นหน้าเป็นตาของทั้งโปรเจกต์
สำหรับเรื่องที่ยากลำบากอื่นๆ อย่างเช่นการเจรจาต่อรองกับนักการทูตจากประเทศอื่นๆ เรื่องเหล่านั้นทางกระทรวงการต่างประเทศจะเป็นผู้รับผิดชอบ พวกเขาได้เตรียมการสำหรับงานนี้มาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว
ระหว่างที่ลู่โจวอยู่ในช่วงวันหยุดปีใหม่ คนเหล่านี้ก็ทำงานทั้งวันทั้งคืน
ลู่โจวเหลือบดูสาระสำคัญในการประชุมแล้วก็โยนมันทิ้งไว้ ลู่โจวหยิบสมุดบันทึกของเขาออกมาแล้วเขียนสิ่งที่เขียนไว้บนกระดานดำเมื่อบ่ายนี้ลงไป
แม้ว่างานวิจัยของเขาจะไม่ใช่เรื่องข้อคาดการณ์ของฮอดจ์ แต่เขาก็ได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการคำนวณของเฉินหยาง
ยกตัวอย่างเช่น วิธีการที่เฉินหยางใช้ในตอนกำหนดค่าคงที่ทอพอโลยีของชั้นโคโฮโมโลยีที่ระบุลักษณะพื้นฐานของแมนิโฟลด์เชิงซ้อน สิ่งนี้ทำให้ลู่โจวได้ความคิดใหม่ๆ สำหรับการใช้กลุ่ม Étale โคโฮโมโลยี
แม้ว่าความคิดนี้จะไม่ได้ปราดเปรื่องเป็นพิเศษ แต่มันก็ใหม่เพียงพอที่ลู่โจวจะประหลาดใจที่ได้เห็นสิ่งนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดยชายผู้ปิดกั้นโลกภายนอก
บางทีอีกห้าปีหลังจากการวิจัยอย่างคร่ำเคร่ง เฉินหยางก็คงจะมีความเข้าใจในเรขาคณิตเชิงพีชคณิตอย่างลึกซึ้ง
เขาเพียงแต่ขาดเครื่องมือทางคณิตศาสตร์และประสบการณ์เท่านั้น
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ลู่โจวต้องการแย่งชิงตัวเขา ลู่โจวเชื่อว่าเขามีทรัพยากรที่จะทำให้เฉินหยางเจริญรุ่งเรืองได้
ระหว่างที่ถือปากกาไว้ในมือ ลู่โจวก็จ้องไปที่บรรทัดการคำนวณในสมุดบันทึก เขาพึมพำกับตัวเองว่า “การเชื่อมโยงช่องว่างระหว่างแมนิโฟลด์เชิงซ้อนและทอพอโลยี การหาคำตอบในมิติที่สูงกว่า… นายคนนี้คืออัจฉริยะคนหนึ่งเลย”
ปัญหาในกรณีมิติที่สูงนั้นง่ายกว่ากรณีมิติที่ต่ำกว่า นี่อาจจะฟังดูแปลก แต่มันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง คล้ายๆ กับในช่วงปี 1960 ศาสตราจารย์สเมลได้เกิดความคิดอันหลักแหลมขึ้นมาซึ่งนั่นก็คือข้อความคาดการณ์ของปวงกาเรในกรณีมิติสูงนั้นง่ายกว่ากรณีแบบสามมิติ
ในที่สุดสเมลก็ใช้ความคิดอันชาญฉลาดของเขาในการพิสูจน์ข้อความคาดการณ์ของปวงกาเรในพื้นที่แบบห้ามิติและสูงกว่านั้น แล้วเขาก็ได้รับเหรียญฟิลด์
“ฉันไม่ได้คาดหวังให้วิธีการวิเคราะห์เส้นโค้งไฮเปอร์เอลลิปติกสามารถนำมาใช้ได้แบบนี้ ฉันคิดว่าเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ของฉันทรงพลังยิ่งกว่าที่ฉันคิดไว้
“มันดูเหมือนว่าฉันกำลังก้าวไปสู่ขุมทรัพย์”
ยิ่งลู่โจวดำดิ่งลงไปในสูตรเหล่านี้ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ลู่โจวรู้สึกเหมือนเขาเพิ่งจะเดินก้าวสำคัญไปสู่การแก้สมมติฐานของรีมันน์อีกก้าวหนึ่ง
“ฉันสงสัยว่าเวร่าเขียนวิทยานิพนธ์ของเธอเสร็จหรือยังนะ”
ลู่โจวเกิดแรงกระตุ้นในการตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ เขาเปิดคอมพิวเตอร์ของเขาแล้วค้นหาฐานข้อมูลสิ่งตีพิมพ์ จากนั้นเขาก็ตรวจสอบว่าลูกศิษย์ของเขาได้ตีพิมพ์งานวิจัยไปเมื่อเร็วๆ นี้แล้วหรือไม่
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เวร่าส่งมาให้เขาคืองานที่ไม่ได้ตีพิมพ์ เขาไม่สามารถจะใช้สิ่งเหล่านั้นโดยไม่อ้างอิงเวร่า
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับนักวิชาการที่จะรอคอยเพื่อนร่วมงานของเขาให้ตีพิมพ์วิทยานิพนธ์ก่อนที่จะตีพิมพ์ของพวกเขาเอง
แน่นอนว่าก็มีนักวิชาการหลายคนเช่นกันที่ไม่ได้นิสัยดีแบบลู่โจว
น่าเสียดายที่หลังจากการค้นหาฐานข้อมูล ลู่โจวก็หาวิทยานิพนธ์ที่ตีพิมพ์โดยเวร่าไม่พบ
ฉันคิดว่าเธอคงจะยังไม่ได้เสนอมัน หรือไม่ก็ยังอยู่ในขั้นตอนพิชญพิจารณ์
“ทำไมเธอถึงยังไม่ตีพิมพ์ล่ะ?”
ลู่โจวปิดซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลสิ่งตีพิมพ์และเปิดซอฟต์แวร์การเขียนวิทยานิพนธ์เองของเสี่ยวไอ
เขายังต้องเขียนวิทยานิพนธ์ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถที่จะตีพิมพ์ลงในวารสารได้
“ฉันคิดว่า… ฉันจะอัปโหลดเอกสารทางวิชาการก่อนตีพิมพ์เสียก่อน”
…………………..