เป็นเวลาสามทุ่มตามเวลาที่ปักกิ่ง
ณ โรงแรมเชอราตัน ห้องเพรสซิเดนเชียลสวีท
ลู่โจวยืนอยู่ข้างหน้าต่างที่สูงระดับพื้นจรดเพดาน เขากำลังคุยโทรศัพท์กับใครบางคนจากอีกฟากของมหาสมุทรแปซิฟิก
“ผมไปส่งน้องสาวของคุณที่อพาร์ทเมนท์ของเธอแล้ว”
“โอ้ โอเค ขอบคุณครับ”
“ไม่เป็นไรครับ” ฉินเยว่ยิ้มและพูดว่า “อ้อ จริงสิ ตอนนี้เธอพักอยู่ในอพาร์ทเมนท์นักศึกษา… ผมควรจะให้เธอย้ายเข้าไปในบ้านของคุณหรือเปล่าครับ? ให้ผมไปเช่าอพาร์ทเมนท์ที่เล็กกว่านี้ใกล้ๆ มหาวิทยาลัยก็ได้ครับ”
เมื่อลู่โจวลาออกจากพรินซ์ตัน เขาได้ให้กุญแจบ้านและรถฟอร์ดมัสแตงของเขาแก่ฉินเยว่ไว้ ทั้งหมดที่ฉินเยว่ต้องทำคือจ่ายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของทุกปี
อย่างไรก็ตามเขาก็ต้องการให้ใครสักคนมาช่วยดูแลบ้านของเขา เพราะพรินซ์ตันอยู่ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ ถ้าไม่มีใครดูแลบ้านในช่วงฤดูหนาว มันก็เป็นไปได้มากว่าท่ออาจจะมีน้ำแข็งเกาะและอาจระเบิด ซึ่งอาจทำให้บ้านเสียหายได้
ลู่โจวมีความทรงจำที่ค่อนข้างดีเกี่ยวกับเตาผิงในบ้านของเขาเองที่พรินซ์ตัน
ลู่โจวสั่นหัวและพูดว่า “ไม่เป็นไร ผมถามเธอเรื่องนี้ตอนปีใหม่แล้ว เธอปฏิเสธโดยไม่ได้คิดด้วยซ้ำ แต่ก็อีกนั่นแหละ ผมรู้สึกไม่ปลอดภัยถ้าจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในบ้านชานเมืองเองคนเดียว ถ้าคุณไม่อยากอยู่ที่นั่นให้ลองถามเวร่าหรือศาสตราจารย์คนอื่นๆ ดูก็ได้”
ลู่โจวรู้ว่าทำไมเสี่ยวถงถึงปฏิเสธข้อเสนอของเขา
อีกด้านหนึ่งเธอรู้สึกสำนึกในบุญคุณของพี่ชายที่คอยดูแลเธอ แต่เธอก็มีอุปนิสัยที่คล้ายกับลู่โจว นั่นก็คือเธอไม่ชอบที่จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่น เธอต้องการเป็นอิสระและไม่อยากเป็นสาเหตุในการสร้างปัญหาให้กับคนอื่น เธอไม่อยากเป็นภาระของคนอื่น…
ลู่โจวอยากบอกเธอว่าเธอไม่ได้เป็นภาระ
ไม่ว่าอย่างไรเธอก็คือคนในครอบครัว
และคนในครอบครัวก็ควรจะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน…
ฉินเยว่ยิ้มและพูดว่า “ผมไม่ได้พูดว่าผมไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อหรอกครับ ด้วยเงินแค่ 3,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีสำหรับบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ นี่น่าจะเป็นค่าเช่าที่ถูกที่สุดในอเมริกาแล้ว ผมแค่อยากบอกว่า ถ้าน้องสาวของคุณต้องการ ผมก็สามารถย้ายออกได้ แต่คุณพูดถูก มันไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กผู้หญิงที่จะมาอยู่นอกมหาวิทยาลัยคนเดียว”
แม้ว่าอพาร์ทเมนท์ของนักศึกษาในพรินซ์ตันจะแพง แต่มันก็อยู่ติดกับบริเวณมหาวิทยาลัยและมีการรักษาความปลอดภัยที่ดี ฉินเยว่จำได้ว่าอพาร์ทเมนท์ของเสี่ยวถงมีห้องนอนสองห้อง การมีรูมเมทจะช่วยให้เธอปรับตัวเข้ากับชีวิตมหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น
หลังจากได้ถามคำถามเกี่ยวกับน้องสาวของเขา ลู่โจวก็เปลี่ยนเรื่องและพูดคุยอย่างเป็นกันเองกับอดีตลูกศิษย์ของเขา
“คุณสบายดีไหม?”
ฉินเยว่ยิ้มและตอบว่า “ผมสบายดีครับ และผมก็ค่อนข้างคุ้นชินกับชีวิตที่นี่ ทั้งหมดที่ผมต้องการคือสถานที่เงียบๆ ในการทำวิจัย ส่วนที่แย่เพียงอย่างเดียวคือคุณไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นตอนนี้ผมก็เลยขอความช่วยเหลือจากคุณไม่ได้”
ลู่โจวพูดว่า “ตอนนี้คุณก็เป็นศาสตราจารย์แล้ว คุณควรจะเป็นคนที่ช่วยคนอื่นมากกว่า จะว่าไปแล้วช่วงนี้คุณกำลังทำวิจัยเรื่องอะไรล่ะ?”
“ข้อคาดการณ์ของเวริ่งในทฤษฎีจำนวนบวก…” ฉินเยว่ถอนหายใจและพูดว่า “ผมเกลียดปัญหาข้อนี้! ในที่สุดผมก็ได้รู้ว่าทำไมถึงมีน้อยคนนักที่วิจัยทฤษฎีจำนวน ส่วนใหญ่คุณจะคิดว่าปัญหานี้เป็นปัญหาในทฤษฎีจำนวน แล้วเมื่อคุณดำดิ่งลงไปในนั้น มันก็กลายเป็นว่ามันเป็นปัญหาเรขาคณิตเชิงพีชคณิต แล้วเมื่อคุณรู้ว่าวิธีการทางเรขาคณิตเชิงพีชคณิตไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ดังนั้นคุณเลยพยายามใช้ทฤษฎีภาพแทน, ทฤษฎี p-adic… และแน่นอน แนวทางโครงสร้างกรุปของคุณ”
“นั่นเป็นเรื่องที่ดีนะ” ลู่โจวยิ้มและพูดว่า “นั่นคือวิธีที่คณิตศาสตร์ดำเนินไปข้างหน้าด้วยการเชื่อมโยงสาขาต่างๆ เข้าด้วยกัน”
ฉินเยว่พูดว่า “คุณพูดถูก แต่ในฐานะนักวิจัยนี่ไม่ใช่เรื่องสนุกเลย บางครั้งผมก็ภาวนาให้มีเครื่องมือที่สามารถบอกได้ว่าเราควรจะใช้วิธีไหน”
ลู่โจวพูดว่า “ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้”
ฉินเยว่ตอบว่า “ก็เป็นได้”
ทันใดนั้นบทสนทนาก็หยุดลง
ฉินเยว่รู้สึกเหมือนลู่โจวมีบางอย่างที่อยากจะพูด อย่างไรก็ตาม ลู่โจวก็พูดอ้อมๆ
แล้วทันใดนั้นลู่โจวก็พูดขึ้นมาทันทีว่า
“แล้วเวร่า… สบายดีไหม?”
ฉินเยว่ถอนหายใจและพูดว่า
“ผมถามคนอื่นๆ ดูแล้วเพื่อหาคำตอบมาให้คุณ แต่ผมไม่พบอะไรที่เป็นประโยชน์เลย เธอไม่อยากพูดถึงอาการของเธอ เธอพยายามซ่อนตัวจากผม ผมถามโมลิน่า แต่เธอก็ไม่อยากจะบอกอะไรผมเหมือนกัน”
ลู่โจวเงียบไปครู่หนึ่ง
“โอเค ขอบคุณ…”
เขาชะงักไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “ถ้าเธอไม่อยากพูด ก็อย่าบังคับเธอเลย”
ฉินเยว่พูดว่า “งั้นให้ผมคุยกับคุณวันหลังไหม?”
“ได้…” ลู่โจวมองนาฬิกาบนผนังและพูดว่า “ที่นี่ก็ดึกแล้ว”
ฉินเยว่ลังเลอยู่นิดหน่อยและพูดว่า “ผมขอถามอะไรคุณอย่างสิ ผมอยากจะถามเรื่องนี้มาตลอด คือว่า—”
ลู่โจวตอบว่า “ถ้าเป็นปัญหาวิชาการก็ว่ามาได้เลย…”
ฉินเยว่ถอนหายใจและพูดว่า “งั้นไม่เป็นไรครับ…”
…
หวังเผิงอยู่ในห้องถัดไปและเขาก็เพิ่งจะโกนหนวดเสร็จ เขานั่งอยู่ที่ปลายเตียงขณะที่สำรวจอุปกรณ์ของเขาในกระเป๋าเดินทาง
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าจากนอกประตู
เขาสามารถบอกได้เลยว่าเจ้าของฝีเท้าเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงยืนขึ้นและเปิดประตู
“มีอะไรเหรอครับ?”
ลู่โจวพูดขึ้น
“อยากไปดื่มไหม? ผมเลี้ยงเอง”
หวังเผิงเงียบไปครู่หนึ่งและพูดว่า “ผมดื่มหรือสูบบุหรี่ระหว่างทำงานไม่ได้ครับ แต่ถ้าคุณอยากไปดื่ม ผมไปเป็นเพื่อนคุณได้”
“คุณหมายความว่ายังไง?”
หวังเผิงพูดว่า “ผมจะนั่งอยู่ข้างๆ และพาคุณกลับมาตอนที่คุณเมา”
ลู่โจวยิ้มแล้วส่ายหน้า
“ผมเนี่ยนะ? เมาเหรอ? ลืมเรื่องนั้นไปได้เลย…”
ลู่โจวหันกลับไปแล้วเดินตรงไปที่ลิฟต์ หวังเผิงปิดประตูและตามเขาไป เมื่อพวกเขาเข้ามาในลิฟต์ หวังเผิงกดเลขของชั้นบาร์
ลู่โจวมองเขาและไม่ได้พูดอะไร
แล้วเขาก็เดินตรงไปที่บาร์และนั่งบนเก้าอี้สตูล เขามองไปที่บาร์เทนเดอร์แล้วพูดว่า
“วิสกี้ออนเดอะร็อค”
“ได้เลยครับ”
หวังเผิงมองบาร์เทนเดอร์ที่กำลังเตรียมเครื่องดื่มและเกิดความรู้สึกว่าคืนนี้ลู่โจวจะต้องดื่มหนัก
“จะมีพิธีเปิดตัววันพรุ่งนี้ ผมแนะนำให้คืนนี้คุณดื่มน้อยๆ หน่อย”
ลู่โจว ซึ่งโดยปกติจะฟังคำแนะนำของหวังเผิง กลับพูดคำตอบที่น่าประหลาดใจว่า
“เจ๋ง”
ลู่โจวรับแก้วจากบาร์เทนเดอร์และเริ่มดื่มแก้วแล้วแก้วเล่า…
ลู่โจวจำไม่ได้ว่าเขาหยุดดื่มตอนไหน
เมื่อเขากลับมามีสติ มันก็เป็นเช้าวันถัดมาแล้ว…
……………..