Sevens – ตอนที่ 10 ความสามารถของไรเอล

ความสามารถของไรเอล

—-

 

พอเตรียมตัวออกผจญภัยนอกเมืองเสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่กิลด์

 

ปกติแล้ว เวลาออกไปข้างนอกจะต้องแจ้งกับทางกิลด์ก่อน ซึ่งเหตุผลนั้น

 

คือทางกิลด์มีหน้าที่สอดส่องว่านักผจญภัยออกไปทำอะไรที่ไหน และขณะเดียวกัน

ถ้าหากมีกรณีที่พวกเขาไม่กลับมาภายในเวลาที่กำหนด ทางกิลด์ก็จะสันนิษฐานว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนักผจญภัยคนนั้น

 

พวกเราพบกับคุณเซลฟี่ในชุดเกราะหนังที่ต่างจากชุดสบายๆ ตามปกติ

 

เธอพกดาบและโล่ท่าทางคุ้นมือ ทำให้รูปลักษณ์ของเธอคล้ายอัศวิน

 

“มาตรงเวลานะ หรืออาจจะเร็วไปหน่อย…ช่างมันเถอะ”

 

คุณเซลฟี่ชม และพาพวกเราไปที่ชั้นสองของกิลด์ พวกเรากรอกเอกสารแล้วไปยื่นที่เคาเตอร์ต้อนรับ

 

ซึ่งมีผู้ดูแลเป็นคุณฮาวกิ้น

 

“…รับทราบ โปรดกลับมาให้ตรงตามเวลานะครับ หากคุณมีการเปลี่ยนแผน…ซึ่งไม่น่าจะมี

ถ้าคุณกลับมาช้าทางกิลด์อาจจะต้องส่งทีมค้นหาไปนะครับ”

 

คุณฮาวกิ้นดูเป็นห่วง แต่พวกเราก็ไปพร้อมกับคุณเซลฟี่  

ถึงจะประมาทเพราะความเลินเล่อ แต่พวกเราก็ยังมีที่ปรึกษาอยู่

 

จึงไม่น่าจะไปเจอเรื่องอันตรายอะไรหรอก

 

“วันนี้พวกเราแค่ออกไปหาประสบการณ์เองนะ การปกป้องสองคนนี้ก็อยู่ในสัญญาของข้าหรอกน่า”

 

“นักผจญภัยต้องรักษาสัญญาเสมอ ใช่มั้ยครับ? ”

 

เธอพยักหน้าให้คำพูดของผม

 

นักผจญภัยก็ส่วนหนึ่ง แต่แนวคิดเรื่องสัญญานั้นเคร่งครัดกว่ามากในหมู่ทหารรับจ้าง

การผิดสัญญาเพียงครั้งเดียวก็จะถูกดิสเครดิตไปมหาศาล

 

คุณเซลฟี่จึงสอนให้เรายืนยันเนื้อหาของสัญญาอย่างรอบคอบเสมอ

 

“มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ด้วย อย่างผิดสัญญาล่ะเจ้าหนู”

 

เมื่อเธอพูด คุณฮาวกิ้นก็ถอนหายใจ

 

“เฮ้อ เรื่องนั้นก็น่าหนักใจเพราะมีคนมากมายที่ทำไม่ได้อยู่ ฉะนั้นโปรดทำให้ดีที่สุดนะครับ

ส่วนในฐานะนักผจญภัยที่มีชีวิตอยู่ด้วยการแลกเปลี่ยน ก็มีบ้างที่ต้องออกไปล่ามอนสเตอร์ใช่ไหมล่ะครับ? ”

 

“งั้นพวกข้าไปล่ะนะ”

.

.

.

ด้านนอกเมืองเดลลีน

 

พวกเราออกมาด้านนอกกำแพงสูงสี่เมตรแล้วเดินไปตามทางหลวง

 

พวกเราระวังไม่ให้ไปเดินทับเลนที่เป็นทางเกวียนสัญจร และทักทายคนที่เดินผ่านมาเป็นบางครั้ง

 

“พวกเจ้าทั้งคู่พกยามาพอใช่มั้ย? ”

 

“ใช่ครับ”

 

พอผมตอบ คุณเซลฟี่ก็หันไปเรียกนักเดินทางชุดเปื้อนบนถนน

 

“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าดูสกปรกมากเลยนะนั่น”

 

เมื่อถาม นักเดินทางคนนั้นก็อธิบาย

 

“ข้าก็ไม่รู้สิพวก ตอนข้ากำลังเดินไปทำธุระ จู่ๆ สไลม์ก็กระโจนเข้ามา ดีนะที่ข้ายกเสื้อคลุมขึ้นมากันทัน แต่ก็พุพองนิดหน่อยน่ะ”

 

สไลม์คือมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีของเหลวใสหุ้มแกนกลางเอาไว้ มันมักจะโดดเข้าหาสิ่งมีชีวิต และล่าเหยื่อด้วยการละลายจนเป็นของเหลว

 

แต่เพราะมันไม่มีสติปัญญา มันจะเข้ามาจู่โจมเมื่อเข้าไปใกล้เท่านั้น พออยู่ห่างๆ มันก็จะไม่ทำอะไรเลย

 

พวกมันชอบอยู่เป็นกลุ่ม และสร้างปัญหาให้กับเหล่าพ่อค้า ม้าลากเกวียนของนักเดินทาง และอย่างชายคนนี้นั่นเอง

 

“เข้าใจแล้ว งั้นใช้เจ้านี่สิ”

 

คุณเซลฟี่โยนยาไปให้นักเดินทางที่เอาเสื้อคลุม และแขนแดงๆ ให้ดู

ถึงมันจะเป็นยาราคาถูก แต่ผมก็สงสัยว่าให้ไปง่ายๆ จะดีเหรอ

 

“โทษทีนะ จากนี่ระยะทางประมาณสองกิโล มันอยู่ในพุ่มไม้ทางขวาของถนนน่ะ ข้าคิดว่าไม่ค่อยมีคนตรงนั้นหรอกมั้ง? ”

 

พอได้รับข้อมูลมา คุณเซลฟี่ก็โบกมือให้นักเดินทาง และจากมา

 

“เมื่อคืออะไรหรือครับ? ”

 

“นักเดินทางคนเมื่อกี้เขารู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรน่ะสิเจ้าหนู เขาจ่ายค่าตอบแทนเป็นข้อมูลไง

ถึงจะมีพวกที่โกหกอยู่ แต่มันก็เป็นวิธีหากินทางนึง ที่พวกเขาจะให้ข้อมูลนิดหน่อยกับนักผจญภัยที่ออกมาล่ามอนสเตอร์”

 

“แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกคุณฟรีๆ ล่ะครับ? ”

 

เมื่อผมคิด คุณเซลฟี่ก็ยิ้มกว้าง

 

“ไรเอล จำไว้นะ มนุษย์จะทำงานตามค่าแรงนั่นแหละ ข้อมูลที่เจ้าจะได้ก็ด้วย”

 

“แบบ…นั้นมัน? พวกเขาเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือครับ? ”

 

จากมุมมองของผม คือไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะงกข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตัวเองไปทำไม

 

“แน่นอนว่าก็มีอยู่หลายคนที่คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนซะหน่อย เจ้าต้องค่อยๆ เรียนรู้มันไป”

 

จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปสถานที่ดังกล่าว

 

ผมไม่ห่วงเรื่องอุปกรณ์มากนักเพราะซื้อดาบสำรองเตรียมมา แถมศัตรูก็ยังเป็นแค่สไลม์

 

หากรู้วิธี แม้แต่คนปกติก็สามารถจัดการมันได้

 

“โอ้ เหมาะเลย พวกเจ้าทั้งคู่เห็นนักผจญภัยสามคนตรงนั้นมั้ย? สังเกตให้ดีนะ”

 

ผมหันไปมองกลุ่มผู้ชายสามคนที่กำลังถือมีด และสวมชุดชาวบ้านที่มีน้ำหนักเบา

 

ถึงคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นสไลม์ แต่การเคลื่อนไหวที่ไม่เข้าขากันทำให้รู้ว่าพวกเขาไม่มีการประสางาน

 

“พวกเขาเป็นมือใหม่หรือคะ? ”

 

คุณเซลฟี่ตอบคำถามของโนแวม และแก้ไขนิดหน่อย

 

“ใช่ มือใหม่ เพราะอุปกรณ์ของพวกเขาแย่เลยทำให้มีปัญหากับสไลม์ และเป็นที่รู้กันว่าถ้ามีอาวุธใครๆ ก็ปราบมันได้น่ะ….”

 

พอเธอพูดแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็เข้ามาแทรกบทสนทนาด้วย

 

[ข้าเคยจัดการพวกมันได้ด้วยกิ่งไม้ตามพื้น และถ้าข้าเอาหินเวทในแกนกลางไปให้ตาแก่ที่กิลด์ก็จะได้ลูกอมกลับมา

เจ้ารู้รึเปล่า มันคือวิธีที่ข้าใช้หาขนมตอนยังตัวกระเปี๊ยกเลยนะ? แต่เด็กอ่อนแออย่างเจ้าคงเป็นไปไม่ได้]

 

ถึงจะเหมือนว่าเขากำลังยั่วยุผม แต่ที่ผมคิดก็แค่

 

‘รู้รึเปล่าว่าคุณถูกโกงน่ะ รุ่นที่หนึ่ง’

 

ผมสมเพชเล็กน้อย คงเพราะเขาเด็กเกินจะรู้ตัว เลยทำให้ถูกพวกเขาใช้ประโยชน์เอา

 

‘แล้วคุณต้องป่าเถื่อนแค่ไหนกัน ถึงออกไปล่อมอนสเตอร์ตั้งแต่ยังเด็กน่ะ? ’

 

รุ่นที่สองหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องที่เขาเล่า

 

ความหวังดีของผมที่เก็บเรื่องเงียบไว้ดูท่าจะเปล่าประโยชน์ซะแล้ว

 

[กร๊าก อุวะฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพูดว่าเอาชิ้นส่วนมอนสเตอร์ไปแลกลูกอมงั้นเรอะ? นี่เจ้าโดนพวกนั้นโกงไปมากแต่ไหนแล้วเนี่ย!? อ๊าก เจ็บท้องซะมัด~]

 

[ว-ว่าไงนะ!? ]

 

[ในยุคของข้ามันคือหลายเหรียญทองแดงเลยนะ เจ้าจะได้ลูกอมเป็นถุงเลยด้วยซ้ำ]

 

รุ่นที่สองดูสนุกมากที่ได้ล้อเลียนรุ่นที่หนึ่ง  

 

‘เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่นะ? ’

 

ในหมู่บรรพบุรุษของตระกูลวอลท์รุ่นที่สองถือว่าปกติที่สุดแล้ว แต่ระหว่างพวกเขาสองคนต้องมีเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน

 

ถึงผมจะพอเดาได้ก็เถอะ

 

[ไอ้เจ้าแก่บ้านั่น! เดี๋ยวเจอข้าแน่! ]

 

[ข้าว่าเขาตายไปแล้วล่ะ]

 

รุ่นที่สามบอกพวกเขาให้เงียบ และบทสนทนาก็จบลง แต่ไม่ใช่สำหรับผมนะ

 

“…เฮ้ ไรเอล เจ้าฟังอยู่รึเปล่า? ”

 

“ท่านไรเอลคะ? ”

 

“อ่า ไม่…ข้าขอโทษ”

 

ผมสนใจสิ่งที่บรรพบุรุษคุยกันมาเกินไปจนลืมคุณเซลฟี่เสียสนิท เธอถอนหายใจอย่างเอือมๆ

 

“เฮ้อ อีกแล้วนะ ไม่ว่ามันจะอ่อนแอแค่ไหนแต่ถ้าเจ้าโดนมันกระโจนใส่ก็เจ็บอยู่ดีนะ

ต่อนะ การที่พวกเขาใช้อาวุธสั้นๆ อย่างมีดทำให้พวกเขาระแวงเกินไป จนไม่สังเกตเห็นว่าถ้าล้อมกันโจมตีมันจะได้ผลกว่า”

 

โนแวมมองไปที่ 3 คนนั้นแล้วถาม

 

“คุณจะไม่บอกพวกเขาหรือคะ? ”

 

“ทำไมล่ะ? ข้าเป็นที่ปรึกษาของพวกเจ้านะ ข้ามีทั้งภาระ ความรับผิดชอบ และรับเงินของพวกเจ้ามาแล้ว  

แต่ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาตรงนั้นเลย โนแวม เจ้าจะไปบอกพวกเขาไหมล่ะ? ข้าจะไม่หยุดเจ้าหรอกนะ ก็แค่…”

 

“ก็แค่? ”

 

ผมสงสัยว่าเธอกำลังจะพูดอะไร

 

“ทั้งสามคนนั้นควรได้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยความเจ็บปวด ไม่เหมือนพวกเจ้า  

พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้องการใครสักคนมาสอนให้ และไม่มีทุนพอที่จะหาอุปกรณ์ที่ดี ก็เลยเป็นแบบนี้”

 

“…จริงด้วยค่ะ”

 

โนแวมพอใจกับคำตอบ

 

โนแวมหันไปทางพวกเขาอยู่หลายครั้ง พวกเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ก็จัดการสไลม์ลงได้อย่าปลอดภัย

 

พวกเขาเก็บชิ้นส่วนสไลม์ไปพลาง บ่นว่าเจ็บไปพลาง

 

ผมก็มองไปทางพวกเขาด้วย

 

“เจ้าคิดว่าพวกเราเลือดเย็นมั้ย? ”

 

“ไม่…ที่จริง…ก็นิดหน่อย”

 

ผมตอบไปตามตรง คุณเซลฟี่ยิ้ม ‘จริงใจดี’ เธอพูดก่อนจะอธิบาย

 

“ถึงนักผจญภัยจะเข้าท้าทายมอนสเตอร์ และตายไป มันก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง

ยิ่งพวกที่งี่เง่าประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป และไปเจอสิ่งที่แข็งแกร่งกว่า  

หากเจ้าเข้าไปช่วย คนโง่พวกนั้นก็จะทำซ้ำซากแบบเดิมต่อ  

ถ้าเข้าไปหยุดระหว่างการต่อสู้กับมอนสเตอร์ พวกเขาก็จะโง่อย่างนั้นต่อไป”

 

คนโง่ประเภทนั้นมันน่ากลัวนะ เธอพูด

 

“แล้วก็ ถ้าพวกเจ้ายังหวังดีกับพวกเขาอยู่ ที่จริงมันมีพวกที่หยิ่งผยองอยู่มากมาย

ยิ่งในงานชั้นต่ำอย่างนักผจญภัยยิ่งหาไม่ยากเลยล่ะ”

 

‘อย่างที่โบราณเขาว่า อย่าไปสาระแนเรื่องคนอื่นสินะ? ‘

 

“ถึงพวกเขาจะไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด พวกเราก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาทุกคนได้อยู่ดี คุณอยากจะพูดแบบนี้ใช่ไหมคะ? “

 

เมื่อโนแวมพูดสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ คุณเซลฟี่ก็บอกเธอว่ามันถูกแค่ครึ่งเดียว

 

“การช่วยน่ะมันง่าย แต่เจ้าจะดูแลคนที่ช่วยเอาไว้ไปได้ตลอดมั้ยล่ะ? ถึงครั้งนี้พวกเราจะช่วยได้ แต่พวกเขาก็อาจทำซ้ำรอยเดิมทีหลังอยู่ดี

ยิ่งถ้าพวกเขานิสัยเสียแล้วหลอกตัวเองว่าจะมีใครสักคนมาคอยช่วยเวลาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็…

ดังนั้นถ้าพวกเขายังไม่ถึงกับตาย การไม่เข้าไปช่วยนั่นแหละจะดีที่สุด”

 

พอเธอพูดแบบนั้น รุ่นที่สองก็ถูกใจ

 

[แทนที่จะให้ขนมปัง สู้สอนวิธีปลูกข้าวให้พวกเขาดีกว่า อันที่จริง มีผู้คนมากมายที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นขยะสังคมเพราะรู้ว่าจะได้ขนมปังล่ะนะ]

 

“ถ้าจะให้ข้าพูดแบบสั้นๆ พวกเจ้ามันมือสมัครเล่น ไม่ใช่คนช่วย แต่เป็นคนที่ถูกช่วย… ไม่สิ ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นคนช่วยได้อยู่

ถ้าอยากจะช่วยคนพวกนั้น งั้นพวกเจ้าก็จงขึ้นเป็นมือาชีพให้เร็วที่สุดซะ”

 

คุณเซลฟี่พูดเช่นนั้น ขณะเดินต่อไปยังจุดหมายของเรา

.

.

.

เมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ตามข้อมูลจากนักเดินทางก็เจอสไลม์

 

ตามที่ผมเห็นเอง น่าจะมีอยู่ 5 ตัว

 

พวกมันเป็นโคลนสีถั่วเขียว และคลานโยกเยกไปมาบนพื้นด้วยร่างกายเหลวๆ ของมัน

ภายในตัวมัน มีแกนกลางทรงกลมสีแดงที่เห็นได้รางๆ อยู่

 

“อืม นี่มันใกล้ป่ามาก ตามที่เขาบอกมามันควรจะอยู่ตรงพุ่มไม้สิ พวกเราจะไม่ไล่ตามมันลึกเกินไปนะ..อ่า แล้วก็”

 

ขณะพูด คุณเซลฟี่ก็หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมา

 

หลังโยนอยู่ 2-3 ครั้ง เธอจึงขว้างมันไปที่สไลม์

 

สไลม์ที่โดนเคลื่อนไหวอย่างลุกลน

 

และเริ่มเข้ามาทางพวกเรา

 

“ข้าประหลาดใจจัง ที่พวกมันรู้ว่าเราอยู่ไหนโดยที่ไม่มีทั้งตาและหูน่ะ”

 

ผมชักดาบขึ้นมา คุณเซลฟี่ก็ตั้งท่าพร้อมดาบและโล่ ส่วนโนแวมก็ยกคทาขึ้น

 

“พวกเจ้าดูประหม่านะ เกร็งๆ ไปหน่อยรึเปล่า? ข้าจะแสดงพื้นฐานให้ดู คอยมองให้ดีล่ะ”

 

ตามที่พูด คุณเซลฟี่มองไปทางสไลม์ที่กำลังมุ่งหน้ามาหา…ไม่สิ มันถูกทำให้มาหาเธอต่างหาก

 

เธอขยับเพียงเล็กน้อยจากจุดที่ขว้างก้อนหิน สไลม์ก็กระโจนเข้ามาจุดที่เธอเคยอยู่ก่อนหน้า

 

เมื่อเป็นไปตามนั้น เธอก็ฟันมันที่พุ่งเข้ามาอย่างสบายๆ

 

“ถึงเจ้าจะเข้าไปใกล้ มันก็ไม่รู้ถึงฝีเท้าหรือการสั่นสะเทือนหรอก แต่มันก็ยังรู้สึกถึงเจ้าได้อยู่ดี ฉะนั้นทำให้จบในการโจมตีเดียวซะ”

 

พอดาบแทงโดนตัวสไลม์ ของเหลวก็พุ่งออกมา

 

พอมันหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เธอก็เรียกโนแวม

 

“โนแวม มานี่สิ”

 

“ค-ค่ะ! ”

 

“ใจเย็นน่า เอาถังออกมา”

 

โนแวมเอาถังใบเล็กที่ขายอยู่ในชั้นแรกของกิลด์ออกมา

 

คุณเซลฟี่ใช้มีดปาดเมือกเหลวทิ้ง และลอกหนังมันออก

 

จากนั้นแกนกลาง และหินเวทมนต์ก็ตกลงมา เธอเก็บมันไว้ในกระเป๋าแยกต่างหาก

 

แล้วเธอก็ใส่ของเหลวที่เคลือบบนหนัง และตัวหนังลงไปในถัง

 

“วิธีก็ตามนี้เลย ปกติแล้วเจ้าต้องระวังรอบข้างให้ดีตอนเก็บวัตถุดิบ หรือไม่ก็ให้คนอื่นคอยระวังให้ ล่ะนะ? ”

 

พอเธอมองมาทางนี้ ผมจึงรีบขอโทษออกไป แต่เธอก็ยิ้มแล้วบอกว่าอย่าคิดมาก

 

“ครั้งหน้าระวังให้ดีก็พอ เจ้าเห็นแล้วใช่มั้ยว่าต้องเก็บส่วนไหนบ้าง? เจ้าจะได้ทำมันทีหลัง และจำไว้ว่าอย่าใส่ถุงมือที่ใช้สู้เวลาชำแหละล่ะ”

 

พอโดนเตือน พวกเราก็หยิบหินขึ้นมาตามคุณเซลฟี่

 

“โนแวม เจ้าควรใช้มีดหรือไม่ก็ยืมดาบจากไรเอลมาดีกว่านะ ถ้าเจ้าทุบมันจะทำให้สไลม์ระเบิด และได้แผลเอา”

 

“ค่ะ ท่านไรเอล ขอยืมดาบได้ไหมคะ? ”

 

พอโนแวมพูดจบ จู่ๆ คุณเซลฟี่ก็ตะโกนขึ้นมา

 

“พวกเจ้า ถอยออกมาก่อน! ”

 

นอกจากเธอแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงจากอัญมณีเช่นกัน

 

[ไปหลบหลังนักผจญภัยสาวเร็ว! ไม่สิ ปกป้องหนูโนมแวมให้ดีด้วย! พวกมันคือก็อบลิน! ]

 

ก็อบลิน

 

มอนสเตอร์ที่มีใบหน้าใหญ่ และผิวสีเขียว มันสูงราว 2 ใน 3 ของผู้ใหญ่ ร่างกายแข็งแรงไม่สมกับหุ่นเพรียวบางของพวกมัน

 

ในบรรดามอนสเตอร์พวกมันจัดว่าอ่อนแอ แต่ก็ถูกนับเป็นประเภทที่สู้ได้ยาก

 

เพราะมันจะอ่อนแอแค่ตอนอยู่คนเดียว แต่พอเป็นกลุ่ม…เป็นกองทัพ…แล้วยิ่งตอนพวกมันถืออาวุธด้วยแล้ว

 

นักวิชาการคนหนึ่งเคยบันทึกไว้ว่าถ้าก็อบลินมีสติปัญญาอีกสักนิด โลกคงล่มสลายเพราะกองทัพของพวกมันไปนานแล้ว

 

จากพุ่มไม้…

 

ก็อบลินตัวหนึ่งออกมาพร้อมกับธนู และอีกตัวกระโจนออกมาพร้อมกับท่อนไม้ที่มีหินตรงปลาย

 

คุณเซลฟี่พุ่งไปบังตัวธนูก่อนมันจะยิงออกมา และตะโกนบอกให้เราถอย

 

รุ่นที่หนึ่งก็พูดออกมาคล้ายๆ  กัน

 

“พวกเจ้าถอยมารอคำสั่งก่อน! ข้าจะเคลียร์พวกมันเอง”

 

[เจ้าเอาชนะไม่ได้หรอก เงียบแล้วฟังนางซะ ถึงก็อบลินจะไม่เก่งมาก แต่พวกมันก็ชดเชยด้วยจำนวน]

 

พอรุ่นที่หนึ่งว่าแบบนั้น

 

ก็อบลินอีก 7 ตัวก็โผล่ออกมาจากพุ้มไม้ทันที

 

 

แต่

 

[เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ? โชว์ให้พวกมันเห็นหน่อยสิ ไรเอล]

 

ตามที่รุ่นที่เจ็ดบอก ผมชี้ปลายดาบไปทางพวกก็อบลิน และเตือนคุณเซลฟี่ที่อยู่ตรงนั้นด้วย

 

“คุณเซลฟี่ อย่าเพิ่งขยับนะครับ”

 

“อะไรของเจ้า…”

 

ขณะที่คุณเซลฟี่กำลังสู้กับพวกมัน ผมก็เตรียมร่ายเวทมนต์

 

และอัญมณีก็ดูดพลังเวทของผมไป

 

เมื่อคำนวนถึงพลังเวท และจำนวนมอนสเตอร์ ผมคงร่ายได้แค่เพียง 1 คาถา

ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะบอกว่ามันใช้สู้จริงไม่ได้น่ะ

 

[เฮ้ย เจ้าโง่! มันเป็นไปไม่ได้ที่…]

 

ผมยังคงร่ายเวทต่อโดยไม่สนใจรุ่นที่หนึ่ง

 

‘ถ้าเราต้องการจัดการพวกมันทั้งหมดในทีเดียว งั้น…’

 

“สายฟ้าฟาด”

 

เวทมนต์สายฟ้าผ่าลงมาทางก็อบลินที่กำลังโถมเข้าใส่คุณเซลฟี่

 

เวลาที่ใช้ร่าย กำหนดเป้าหมาย และปล่อยออกไป

 

ผมคิดว่าเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดแล้ว มันเลยไม่สามารถเอาไปใช้จริงได้ล่ะ

 

เหล่าก็อบลินถูกไฟฟ้าช็อต และมีประกายสายไฟรอบๆ พวกมัน เพราะผมคำนวนระยะห่างไว้แล้ว คุณเซลฟี่จึงไม่โดนลูกหลงไปด้วย

 

แต่ก็แค่นั้น

 

“ข้าพลาดไปตัวนึง”

 

ก็อบลินที่อยู่ตรงหน้าคุณเซลฟี่วิ่งหนีทันทีเมื่อมองมาทางผม

 

เวทมนต์เฉี่ยวแค่แขนมันจนไหม้เกรียม และลงไปโดนหญ้าแทน

 

มันคงคิดว่าผมเป็นภัยคุมคาม และวิ่งหนีด้วยความสิ้นหวัง

 

คุณเซลฟี่ที่กำลังอึ้งอยู่ พอเห็นการเคลื่อนไหวนั้น เธอก็รู้สึกตัวทันที

 

เธอจบมันด้วยการเคลื่อนไหวเดียว

 

ตามคาด ความสามารถของเธอสมกับเป็นที่ปรึกษาของกิลด์จริงๆ

 

“…เฮ้ย เฮ้ย นั่นมันเวทสายฟ้านี่? เจ้าเป็นจอมเวทหรือไงกัน? ”

 

“ข้าก็บอกไปแล้วนี่ครับ? ”

 

“ไม่ใช่สิ แม้เจ้าจะบอกมาแล้ว แต่เวทมนต์เมื่อกี้มันเกิดคาดน่ะ  

ถึงข้าจะใช้เวทมนต์ได้บ้างเหมือนกัน แต่ถ้ามีคนถามว่า ‘ยิงออกไปแบบนั้นได้มั้ย’ ข้าก็จะตอบว่า ‘ไม่’ ทันทีเลยนะ”

 

พอดูว่ารอบๆ ปลอดภัยแล้ว คุณเซลฟี่ก็เข้ามาถามปนประหลาดใจที่เห็นเวทมนต์ของผม

 

“เยี่ยมมากค่ะ ท่านไรเอล”

 

โนแวมวางการ์ดลง และชื่นชมผม

 

พวกก็อบลินที่นอนกองอยู่บนพื้นพร้อมปล่อยประกายไฟเปรี๊ยะๆ ออกมาเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่

 

‘พอมาคิดแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราสู้กับมอนสเตอร์เลยนี่นา’

 

กลิ่นของพวกมันช่าง…ผมแหยงออกมา

 

ด้วยภาพตรงหน้า มีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังใช้พลังเวทของผมในการพูดอยู่

 

[เป็นไปไม่ได้! นี่มัน?…หุ ฮุฮุ อุวะฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าเห็นรึเปล่า!? นั่นคือพลังของไรเอลยังไงล่ะ! อย่ามาดูถูกเด็กอัจฉริยะของตระกูลวอลท์นะ! ]

 

‘ท่านปู่ หยุดเถอะ มันน่าอายจะตาย’

 

[พวกเจ้าดูถูกไรเอลไว้ซะเยอะ อย่าลืมสิว่าเขาก็เป็นจอมเวทที่สืบสายเลือดราชวงศ์มาน่ะ]

 

รุ่นที่เจ็ดพูดข่มใส่รุ่นที่หนึ่ง และรุ่นที่หกก็พูดเสียงเนือยๆ กับเหล่าบรรพบุรุษที่เหลือ

 

[ม-ไม่…นักเวทมันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย? ข้าจำได้ว่าในตอนนั้นพวกเขามีประโยชน์น้อยกว่านี้เยอะ]

 

รุ่นที่สองช็อกนิดหน่อย ส่วนรุ่นที่สามชื่นชมอย่างจริงใจ

 

[น่าทึ่งมาก ถึงจะยังใช้งานจริงไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าทำตามเงื่อนไขสักหน่อย ก็จะใช้เวทมนต์เบื้องต้นในการต่อสู้ได้แล้วล่ะ ข้าประทับใจเจ้าขึ้นมานิดนึงนะ ไรเอล]

 

รุ่นที่สี่ก็ประหลาดใจเช่นกัน และเขาก็ยินดีมากที่ตะกูลของเขาให้กำเนิดจอมเวทขึ้นมาได้

 

ส่วนรุ่นที่ห้าก็เซ็งคนอื่นมากขึ้น

 

[จะโอเวอร์ไปหน่อยมั้ย? เอาล่ะ สำหรับวัยของเจ้าแล้วถือว่ามีความชำนาญไม่เบา ข้าจะรวมมันไปด้วยในการประเมินเจ้าก็แล้วกัน]

 

[…]

 

รุ่นที่หนึ่งเงียบกริบ

 

เขาเงียบไป…หลังจากเห็นเวทมนต์ของผม

 

“ท-ท่านไรเอลคะ! “

 

“เดี๋ยว! เป็นอะไรไป!? “

 

เมื่อผมได้ยินเสียงที่โนแวมกับคุณเซลฟี่เรียกตัวเอง ผมก็เข่าทรุดลงไปแล้ว ผมจุกอก และกรีดร้องในหัว

 

‘พวกคุณมีสติสักหน่อยได้ไหมเนี่ยยย! ก็รู้อยู่ ผมเพิ่งใช้เวทมนต์ไปก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว! ขอร้องล่ะ ได้โปรดหยุดเถอะ! ’

 

ถ้าเวทมนต์เบื้องต้น 3 ครั้ง

 

ส่วนเวทมนต์ที่ขั้นสูงมาหน่อย 1 ครั้ง คือขีดจำกัดของผม

 

มันเป็นความสามารถทางเวทมนต์ของผมในตอนนี้ ถ้าเวทมนต์ระดับสูงกว่านี้อีกนิด ผมคิดว่ายังคงใช้มันไม่ได้

 

‘เป็นเพราะตัวเราเอง หรือเป็นเพราะอัญมณีที่ฉุดเราลงไปกันแน่นะ? ’

 

 

 

—-

 

ต่างโลกโหมดยากล่ะ จอมเวทมานาน้อยจัด

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset