ความสามารถของไรเอล
—-
พอเตรียมตัวออกผจญภัยนอกเมืองเสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่กิลด์
ปกติแล้ว เวลาออกไปข้างนอกจะต้องแจ้งกับทางกิลด์ก่อน ซึ่งเหตุผลนั้น
คือทางกิลด์มีหน้าที่สอดส่องว่านักผจญภัยออกไปทำอะไรที่ไหน และขณะเดียวกัน
ถ้าหากมีกรณีที่พวกเขาไม่กลับมาภายในเวลาที่กำหนด ทางกิลด์ก็จะสันนิษฐานว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนักผจญภัยคนนั้น
พวกเราพบกับคุณเซลฟี่ในชุดเกราะหนังที่ต่างจากชุดสบายๆ ตามปกติ
เธอพกดาบและโล่ท่าทางคุ้นมือ ทำให้รูปลักษณ์ของเธอคล้ายอัศวิน
“มาตรงเวลานะ หรืออาจจะเร็วไปหน่อย…ช่างมันเถอะ”
คุณเซลฟี่ชม และพาพวกเราไปที่ชั้นสองของกิลด์ พวกเรากรอกเอกสารแล้วไปยื่นที่เคาเตอร์ต้อนรับ
ซึ่งมีผู้ดูแลเป็นคุณฮาวกิ้น
“…รับทราบ โปรดกลับมาให้ตรงตามเวลานะครับ หากคุณมีการเปลี่ยนแผน…ซึ่งไม่น่าจะมี
ถ้าคุณกลับมาช้าทางกิลด์อาจจะต้องส่งทีมค้นหาไปนะครับ”
คุณฮาวกิ้นดูเป็นห่วง แต่พวกเราก็ไปพร้อมกับคุณเซลฟี่
ถึงจะประมาทเพราะความเลินเล่อ แต่พวกเราก็ยังมีที่ปรึกษาอยู่
จึงไม่น่าจะไปเจอเรื่องอันตรายอะไรหรอก
“วันนี้พวกเราแค่ออกไปหาประสบการณ์เองนะ การปกป้องสองคนนี้ก็อยู่ในสัญญาของข้าหรอกน่า”
“นักผจญภัยต้องรักษาสัญญาเสมอ ใช่มั้ยครับ? ”
เธอพยักหน้าให้คำพูดของผม
นักผจญภัยก็ส่วนหนึ่ง แต่แนวคิดเรื่องสัญญานั้นเคร่งครัดกว่ามากในหมู่ทหารรับจ้าง
การผิดสัญญาเพียงครั้งเดียวก็จะถูกดิสเครดิตไปมหาศาล
คุณเซลฟี่จึงสอนให้เรายืนยันเนื้อหาของสัญญาอย่างรอบคอบเสมอ
“มันคือสิ่งที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ด้วย อย่างผิดสัญญาล่ะเจ้าหนู”
เมื่อเธอพูด คุณฮาวกิ้นก็ถอนหายใจ
“เฮ้อ เรื่องนั้นก็น่าหนักใจเพราะมีคนมากมายที่ทำไม่ได้อยู่ ฉะนั้นโปรดทำให้ดีที่สุดนะครับ
ส่วนในฐานะนักผจญภัยที่มีชีวิตอยู่ด้วยการแลกเปลี่ยน ก็มีบ้างที่ต้องออกไปล่ามอนสเตอร์ใช่ไหมล่ะครับ? ”
“งั้นพวกข้าไปล่ะนะ”
.
.
.
ด้านนอกเมืองเดลลีน
พวกเราออกมาด้านนอกกำแพงสูงสี่เมตรแล้วเดินไปตามทางหลวง
พวกเราระวังไม่ให้ไปเดินทับเลนที่เป็นทางเกวียนสัญจร และทักทายคนที่เดินผ่านมาเป็นบางครั้ง
“พวกเจ้าทั้งคู่พกยามาพอใช่มั้ย? ”
“ใช่ครับ”
พอผมตอบ คุณเซลฟี่ก็หันไปเรียกนักเดินทางชุดเปื้อนบนถนน
“เกิดอะไรขึ้น? เจ้าดูสกปรกมากเลยนะนั่น”
เมื่อถาม นักเดินทางคนนั้นก็อธิบาย
“ข้าก็ไม่รู้สิพวก ตอนข้ากำลังเดินไปทำธุระ จู่ๆ สไลม์ก็กระโจนเข้ามา ดีนะที่ข้ายกเสื้อคลุมขึ้นมากันทัน แต่ก็พุพองนิดหน่อยน่ะ”
สไลม์คือมอนสเตอร์ชนิดหนึ่งที่มีของเหลวใสหุ้มแกนกลางเอาไว้ มันมักจะโดดเข้าหาสิ่งมีชีวิต และล่าเหยื่อด้วยการละลายจนเป็นของเหลว
แต่เพราะมันไม่มีสติปัญญา มันจะเข้ามาจู่โจมเมื่อเข้าไปใกล้เท่านั้น พออยู่ห่างๆ มันก็จะไม่ทำอะไรเลย
พวกมันชอบอยู่เป็นกลุ่ม และสร้างปัญหาให้กับเหล่าพ่อค้า ม้าลากเกวียนของนักเดินทาง และอย่างชายคนนี้นั่นเอง
“เข้าใจแล้ว งั้นใช้เจ้านี่สิ”
คุณเซลฟี่โยนยาไปให้นักเดินทางที่เอาเสื้อคลุม และแขนแดงๆ ให้ดู
ถึงมันจะเป็นยาราคาถูก แต่ผมก็สงสัยว่าให้ไปง่ายๆ จะดีเหรอ
“โทษทีนะ จากนี่ระยะทางประมาณสองกิโล มันอยู่ในพุ่มไม้ทางขวาของถนนน่ะ ข้าคิดว่าไม่ค่อยมีคนตรงนั้นหรอกมั้ง? ”
พอได้รับข้อมูลมา คุณเซลฟี่ก็โบกมือให้นักเดินทาง และจากมา
“เมื่อคืออะไรหรือครับ? ”
“นักเดินทางคนเมื่อกี้เขารู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรน่ะสิเจ้าหนู เขาจ่ายค่าตอบแทนเป็นข้อมูลไง
ถึงจะมีพวกที่โกหกอยู่ แต่มันก็เป็นวิธีหากินทางนึง ที่พวกเขาจะให้ข้อมูลนิดหน่อยกับนักผจญภัยที่ออกมาล่ามอนสเตอร์”
“แล้วทำไมเขาถึงไม่บอกคุณฟรีๆ ล่ะครับ? ”
เมื่อผมคิด คุณเซลฟี่ก็ยิ้มกว้าง
“ไรเอล จำไว้นะ มนุษย์จะทำงานตามค่าแรงนั่นแหละ ข้อมูลที่เจ้าจะได้ก็ด้วย”
“แบบ…นั้นมัน? พวกเขาเห็นแก่ตัวไม่ใช่หรือครับ? ”
จากมุมมองของผม คือไม่เข้าใจว่าพวกเขาจะงกข้อมูลเพื่อประโยชน์ของตัวเองไปทำไม
“แน่นอนว่าก็มีอยู่หลายคนที่คิดแบบนั้น แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนซะหน่อย เจ้าต้องค่อยๆ เรียนรู้มันไป”
จากนั้นพวกเราก็มุ่งหน้าไปสถานที่ดังกล่าว
ผมไม่ห่วงเรื่องอุปกรณ์มากนักเพราะซื้อดาบสำรองเตรียมมา แถมศัตรูก็ยังเป็นแค่สไลม์
หากรู้วิธี แม้แต่คนปกติก็สามารถจัดการมันได้
“โอ้ เหมาะเลย พวกเจ้าทั้งคู่เห็นนักผจญภัยสามคนตรงนั้นมั้ย? สังเกตให้ดีนะ”
ผมหันไปมองกลุ่มผู้ชายสามคนที่กำลังถือมีด และสวมชุดชาวบ้านที่มีน้ำหนักเบา
ถึงคู่ต่อสู้ของพวกเขาจะเป็นสไลม์ แต่การเคลื่อนไหวที่ไม่เข้าขากันทำให้รู้ว่าพวกเขาไม่มีการประสางาน
“พวกเขาเป็นมือใหม่หรือคะ? ”
คุณเซลฟี่ตอบคำถามของโนแวม และแก้ไขนิดหน่อย
“ใช่ มือใหม่ เพราะอุปกรณ์ของพวกเขาแย่เลยทำให้มีปัญหากับสไลม์ และเป็นที่รู้กันว่าถ้ามีอาวุธใครๆ ก็ปราบมันได้น่ะ….”
พอเธอพูดแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็เข้ามาแทรกบทสนทนาด้วย
[ข้าเคยจัดการพวกมันได้ด้วยกิ่งไม้ตามพื้น และถ้าข้าเอาหินเวทในแกนกลางไปให้ตาแก่ที่กิลด์ก็จะได้ลูกอมกลับมา
เจ้ารู้รึเปล่า มันคือวิธีที่ข้าใช้หาขนมตอนยังตัวกระเปี๊ยกเลยนะ? แต่เด็กอ่อนแออย่างเจ้าคงเป็นไปไม่ได้]
ถึงจะเหมือนว่าเขากำลังยั่วยุผม แต่ที่ผมคิดก็แค่
‘รู้รึเปล่าว่าคุณถูกโกงน่ะ รุ่นที่หนึ่ง’
ผมสมเพชเล็กน้อย คงเพราะเขาเด็กเกินจะรู้ตัว เลยทำให้ถูกพวกเขาใช้ประโยชน์เอา
‘แล้วคุณต้องป่าเถื่อนแค่ไหนกัน ถึงออกไปล่อมอนสเตอร์ตั้งแต่ยังเด็กน่ะ? ’
รุ่นที่สองหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ เมื่อได้ฟังเรื่องที่เขาเล่า
ความหวังดีของผมที่เก็บเรื่องเงียบไว้ดูท่าจะเปล่าประโยชน์ซะแล้ว
[กร๊าก อุวะฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าพูดว่าเอาชิ้นส่วนมอนสเตอร์ไปแลกลูกอมงั้นเรอะ? นี่เจ้าโดนพวกนั้นโกงไปมากแต่ไหนแล้วเนี่ย!? อ๊าก เจ็บท้องซะมัด~]
[ว-ว่าไงนะ!? ]
[ในยุคของข้ามันคือหลายเหรียญทองแดงเลยนะ เจ้าจะได้ลูกอมเป็นถุงเลยด้วยซ้ำ]
รุ่นที่สองดูสนุกมากที่ได้ล้อเลียนรุ่นที่หนึ่ง
‘เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเขากันแน่นะ? ’
ในหมู่บรรพบุรุษของตระกูลวอลท์รุ่นที่สองถือว่าปกติที่สุดแล้ว แต่ระหว่างพวกเขาสองคนต้องมีเบื้องหลังบางอย่างแน่นอน
ถึงผมจะพอเดาได้ก็เถอะ
[ไอ้เจ้าแก่บ้านั่น! เดี๋ยวเจอข้าแน่! ]
[ข้าว่าเขาตายไปแล้วล่ะ]
รุ่นที่สามบอกพวกเขาให้เงียบ และบทสนทนาก็จบลง แต่ไม่ใช่สำหรับผมนะ
“…เฮ้ ไรเอล เจ้าฟังอยู่รึเปล่า? ”
“ท่านไรเอลคะ? ”
“อ่า ไม่…ข้าขอโทษ”
ผมสนใจสิ่งที่บรรพบุรุษคุยกันมาเกินไปจนลืมคุณเซลฟี่เสียสนิท เธอถอนหายใจอย่างเอือมๆ
“เฮ้อ อีกแล้วนะ ไม่ว่ามันจะอ่อนแอแค่ไหนแต่ถ้าเจ้าโดนมันกระโจนใส่ก็เจ็บอยู่ดีนะ
ต่อนะ การที่พวกเขาใช้อาวุธสั้นๆ อย่างมีดทำให้พวกเขาระแวงเกินไป จนไม่สังเกตเห็นว่าถ้าล้อมกันโจมตีมันจะได้ผลกว่า”
โนแวมมองไปที่ 3 คนนั้นแล้วถาม
“คุณจะไม่บอกพวกเขาหรือคะ? ”
“ทำไมล่ะ? ข้าเป็นที่ปรึกษาของพวกเจ้านะ ข้ามีทั้งภาระ ความรับผิดชอบ และรับเงินของพวกเจ้ามาแล้ว
แต่ข้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาตรงนั้นเลย โนแวม เจ้าจะไปบอกพวกเขาไหมล่ะ? ข้าจะไม่หยุดเจ้าหรอกนะ ก็แค่…”
“ก็แค่? ”
ผมสงสัยว่าเธอกำลังจะพูดอะไร
“ทั้งสามคนนั้นควรได้โอกาสในการเรียนรู้ด้วยตัวเองด้วยความเจ็บปวด ไม่เหมือนพวกเจ้า
พวกเขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าต้องการใครสักคนมาสอนให้ และไม่มีทุนพอที่จะหาอุปกรณ์ที่ดี ก็เลยเป็นแบบนี้”
“…จริงด้วยค่ะ”
โนแวมพอใจกับคำตอบ
โนแวมหันไปทางพวกเขาอยู่หลายครั้ง พวกเขาได้รับบาดเจ็บ แต่ก็จัดการสไลม์ลงได้อย่าปลอดภัย
พวกเขาเก็บชิ้นส่วนสไลม์ไปพลาง บ่นว่าเจ็บไปพลาง
ผมก็มองไปทางพวกเขาด้วย
“เจ้าคิดว่าพวกเราเลือดเย็นมั้ย? ”
“ไม่…ที่จริง…ก็นิดหน่อย”
ผมตอบไปตามตรง คุณเซลฟี่ยิ้ม ‘จริงใจดี’ เธอพูดก่อนจะอธิบาย
“ถึงนักผจญภัยจะเข้าท้าทายมอนสเตอร์ และตายไป มันก็ถือเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง
ยิ่งพวกที่งี่เง่าประเมินกำลังตัวเองสูงเกินไป และไปเจอสิ่งที่แข็งแกร่งกว่า
หากเจ้าเข้าไปช่วย คนโง่พวกนั้นก็จะทำซ้ำซากแบบเดิมต่อ
ถ้าเข้าไปหยุดระหว่างการต่อสู้กับมอนสเตอร์ พวกเขาก็จะโง่อย่างนั้นต่อไป”
คนโง่ประเภทนั้นมันน่ากลัวนะ เธอพูด
“แล้วก็ ถ้าพวกเจ้ายังหวังดีกับพวกเขาอยู่ ที่จริงมันมีพวกที่หยิ่งผยองอยู่มากมาย
ยิ่งในงานชั้นต่ำอย่างนักผจญภัยยิ่งหาไม่ยากเลยล่ะ”
‘อย่างที่โบราณเขาว่า อย่าไปสาระแนเรื่องคนอื่นสินะ? ‘
“ถึงพวกเขาจะไม่ใช่แบบนั้นทั้งหมด พวกเราก็ไม่มีทางยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาทุกคนได้อยู่ดี คุณอยากจะพูดแบบนี้ใช่ไหมคะ? “
เมื่อโนแวมพูดสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ คุณเซลฟี่ก็บอกเธอว่ามันถูกแค่ครึ่งเดียว
“การช่วยน่ะมันง่าย แต่เจ้าจะดูแลคนที่ช่วยเอาไว้ไปได้ตลอดมั้ยล่ะ? ถึงครั้งนี้พวกเราจะช่วยได้ แต่พวกเขาก็อาจทำซ้ำรอยเดิมทีหลังอยู่ดี
ยิ่งถ้าพวกเขานิสัยเสียแล้วหลอกตัวเองว่าจะมีใครสักคนมาคอยช่วยเวลาตกอยู่ในอันตรายล่ะก็…
ดังนั้นถ้าพวกเขายังไม่ถึงกับตาย การไม่เข้าไปช่วยนั่นแหละจะดีที่สุด”
พอเธอพูดแบบนั้น รุ่นที่สองก็ถูกใจ
[แทนที่จะให้ขนมปัง สู้สอนวิธีปลูกข้าวให้พวกเขาดีกว่า อันที่จริง มีผู้คนมากมายที่ทำให้ตัวเองกลายเป็นขยะสังคมเพราะรู้ว่าจะได้ขนมปังล่ะนะ]
“ถ้าจะให้ข้าพูดแบบสั้นๆ พวกเจ้ามันมือสมัครเล่น ไม่ใช่คนช่วย แต่เป็นคนที่ถูกช่วย… ไม่สิ ตอนนี้พวกเจ้ายังเป็นคนช่วยได้อยู่
ถ้าอยากจะช่วยคนพวกนั้น งั้นพวกเจ้าก็จงขึ้นเป็นมือาชีพให้เร็วที่สุดซะ”
คุณเซลฟี่พูดเช่นนั้น ขณะเดินต่อไปยังจุดหมายของเรา
.
.
.
เมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ตามข้อมูลจากนักเดินทางก็เจอสไลม์
ตามที่ผมเห็นเอง น่าจะมีอยู่ 5 ตัว
พวกมันเป็นโคลนสีถั่วเขียว และคลานโยกเยกไปมาบนพื้นด้วยร่างกายเหลวๆ ของมัน
ภายในตัวมัน มีแกนกลางทรงกลมสีแดงที่เห็นได้รางๆ อยู่
“อืม นี่มันใกล้ป่ามาก ตามที่เขาบอกมามันควรจะอยู่ตรงพุ่มไม้สิ พวกเราจะไม่ไล่ตามมันลึกเกินไปนะ..อ่า แล้วก็”
ขณะพูด คุณเซลฟี่ก็หยิบก้อนหินบนพื้นขึ้นมา
หลังโยนอยู่ 2-3 ครั้ง เธอจึงขว้างมันไปที่สไลม์
สไลม์ที่โดนเคลื่อนไหวอย่างลุกลน
และเริ่มเข้ามาทางพวกเรา
“ข้าประหลาดใจจัง ที่พวกมันรู้ว่าเราอยู่ไหนโดยที่ไม่มีทั้งตาและหูน่ะ”
ผมชักดาบขึ้นมา คุณเซลฟี่ก็ตั้งท่าพร้อมดาบและโล่ ส่วนโนแวมก็ยกคทาขึ้น
“พวกเจ้าดูประหม่านะ เกร็งๆ ไปหน่อยรึเปล่า? ข้าจะแสดงพื้นฐานให้ดู คอยมองให้ดีล่ะ”
ตามที่พูด คุณเซลฟี่มองไปทางสไลม์ที่กำลังมุ่งหน้ามาหา…ไม่สิ มันถูกทำให้มาหาเธอต่างหาก
เธอขยับเพียงเล็กน้อยจากจุดที่ขว้างก้อนหิน สไลม์ก็กระโจนเข้ามาจุดที่เธอเคยอยู่ก่อนหน้า
เมื่อเป็นไปตามนั้น เธอก็ฟันมันที่พุ่งเข้ามาอย่างสบายๆ
“ถึงเจ้าจะเข้าไปใกล้ มันก็ไม่รู้ถึงฝีเท้าหรือการสั่นสะเทือนหรอก แต่มันก็ยังรู้สึกถึงเจ้าได้อยู่ดี ฉะนั้นทำให้จบในการโจมตีเดียวซะ”
พอดาบแทงโดนตัวสไลม์ ของเหลวก็พุ่งออกมา
พอมันหยุดเคลื่อนไหวแล้ว เธอก็เรียกโนแวม
“โนแวม มานี่สิ”
“ค-ค่ะ! ”
“ใจเย็นน่า เอาถังออกมา”
โนแวมเอาถังใบเล็กที่ขายอยู่ในชั้นแรกของกิลด์ออกมา
คุณเซลฟี่ใช้มีดปาดเมือกเหลวทิ้ง และลอกหนังมันออก
จากนั้นแกนกลาง และหินเวทมนต์ก็ตกลงมา เธอเก็บมันไว้ในกระเป๋าแยกต่างหาก
แล้วเธอก็ใส่ของเหลวที่เคลือบบนหนัง และตัวหนังลงไปในถัง
“วิธีก็ตามนี้เลย ปกติแล้วเจ้าต้องระวังรอบข้างให้ดีตอนเก็บวัตถุดิบ หรือไม่ก็ให้คนอื่นคอยระวังให้ ล่ะนะ? ”
พอเธอมองมาทางนี้ ผมจึงรีบขอโทษออกไป แต่เธอก็ยิ้มแล้วบอกว่าอย่าคิดมาก
“ครั้งหน้าระวังให้ดีก็พอ เจ้าเห็นแล้วใช่มั้ยว่าต้องเก็บส่วนไหนบ้าง? เจ้าจะได้ทำมันทีหลัง และจำไว้ว่าอย่าใส่ถุงมือที่ใช้สู้เวลาชำแหละล่ะ”
พอโดนเตือน พวกเราก็หยิบหินขึ้นมาตามคุณเซลฟี่
“โนแวม เจ้าควรใช้มีดหรือไม่ก็ยืมดาบจากไรเอลมาดีกว่านะ ถ้าเจ้าทุบมันจะทำให้สไลม์ระเบิด และได้แผลเอา”
“ค่ะ ท่านไรเอล ขอยืมดาบได้ไหมคะ? ”
พอโนแวมพูดจบ จู่ๆ คุณเซลฟี่ก็ตะโกนขึ้นมา
“พวกเจ้า ถอยออกมาก่อน! ”
นอกจากเธอแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงจากอัญมณีเช่นกัน
[ไปหลบหลังนักผจญภัยสาวเร็ว! ไม่สิ ปกป้องหนูโนมแวมให้ดีด้วย! พวกมันคือก็อบลิน! ]
ก็อบลิน
มอนสเตอร์ที่มีใบหน้าใหญ่ และผิวสีเขียว มันสูงราว 2 ใน 3 ของผู้ใหญ่ ร่างกายแข็งแรงไม่สมกับหุ่นเพรียวบางของพวกมัน
ในบรรดามอนสเตอร์พวกมันจัดว่าอ่อนแอ แต่ก็ถูกนับเป็นประเภทที่สู้ได้ยาก
เพราะมันจะอ่อนแอแค่ตอนอยู่คนเดียว แต่พอเป็นกลุ่ม…เป็นกองทัพ…แล้วยิ่งตอนพวกมันถืออาวุธด้วยแล้ว
นักวิชาการคนหนึ่งเคยบันทึกไว้ว่าถ้าก็อบลินมีสติปัญญาอีกสักนิด โลกคงล่มสลายเพราะกองทัพของพวกมันไปนานแล้ว
จากพุ่มไม้…
ก็อบลินตัวหนึ่งออกมาพร้อมกับธนู และอีกตัวกระโจนออกมาพร้อมกับท่อนไม้ที่มีหินตรงปลาย
คุณเซลฟี่พุ่งไปบังตัวธนูก่อนมันจะยิงออกมา และตะโกนบอกให้เราถอย
รุ่นที่หนึ่งก็พูดออกมาคล้ายๆ กัน
“พวกเจ้าถอยมารอคำสั่งก่อน! ข้าจะเคลียร์พวกมันเอง”
[เจ้าเอาชนะไม่ได้หรอก เงียบแล้วฟังนางซะ ถึงก็อบลินจะไม่เก่งมาก แต่พวกมันก็ชดเชยด้วยจำนวน]
พอรุ่นที่หนึ่งว่าแบบนั้น
ก็อบลินอีก 7 ตัวก็โผล่ออกมาจากพุ้มไม้ทันที
แต่
[เจ้าพูดเรื่องอะไรน่ะ? โชว์ให้พวกมันเห็นหน่อยสิ ไรเอล]
ตามที่รุ่นที่เจ็ดบอก ผมชี้ปลายดาบไปทางพวกก็อบลิน และเตือนคุณเซลฟี่ที่อยู่ตรงนั้นด้วย
“คุณเซลฟี่ อย่าเพิ่งขยับนะครับ”
“อะไรของเจ้า…”
ขณะที่คุณเซลฟี่กำลังสู้กับพวกมัน ผมก็เตรียมร่ายเวทมนต์
และอัญมณีก็ดูดพลังเวทของผมไป
เมื่อคำนวนถึงพลังเวท และจำนวนมอนสเตอร์ ผมคงร่ายได้แค่เพียง 1 คาถา
ไม่แปลกเลยที่พวกเขาจะบอกว่ามันใช้สู้จริงไม่ได้น่ะ
[เฮ้ย เจ้าโง่! มันเป็นไปไม่ได้ที่…]
ผมยังคงร่ายเวทต่อโดยไม่สนใจรุ่นที่หนึ่ง
‘ถ้าเราต้องการจัดการพวกมันทั้งหมดในทีเดียว งั้น…’
“สายฟ้าฟาด”
เวทมนต์สายฟ้าผ่าลงมาทางก็อบลินที่กำลังโถมเข้าใส่คุณเซลฟี่
เวลาที่ใช้ร่าย กำหนดเป้าหมาย และปล่อยออกไป
ผมคิดว่าเมื่อพิจารณาปัจจัยทั้งหมดแล้ว มันเลยไม่สามารถเอาไปใช้จริงได้ล่ะ
เหล่าก็อบลินถูกไฟฟ้าช็อต และมีประกายสายไฟรอบๆ พวกมัน เพราะผมคำนวนระยะห่างไว้แล้ว คุณเซลฟี่จึงไม่โดนลูกหลงไปด้วย
แต่ก็แค่นั้น
“ข้าพลาดไปตัวนึง”
ก็อบลินที่อยู่ตรงหน้าคุณเซลฟี่วิ่งหนีทันทีเมื่อมองมาทางผม
เวทมนต์เฉี่ยวแค่แขนมันจนไหม้เกรียม และลงไปโดนหญ้าแทน
มันคงคิดว่าผมเป็นภัยคุมคาม และวิ่งหนีด้วยความสิ้นหวัง
คุณเซลฟี่ที่กำลังอึ้งอยู่ พอเห็นการเคลื่อนไหวนั้น เธอก็รู้สึกตัวทันที
เธอจบมันด้วยการเคลื่อนไหวเดียว
ตามคาด ความสามารถของเธอสมกับเป็นที่ปรึกษาของกิลด์จริงๆ
“…เฮ้ย เฮ้ย นั่นมันเวทสายฟ้านี่? เจ้าเป็นจอมเวทหรือไงกัน? ”
“ข้าก็บอกไปแล้วนี่ครับ? ”
“ไม่ใช่สิ แม้เจ้าจะบอกมาแล้ว แต่เวทมนต์เมื่อกี้มันเกิดคาดน่ะ
ถึงข้าจะใช้เวทมนต์ได้บ้างเหมือนกัน แต่ถ้ามีคนถามว่า ‘ยิงออกไปแบบนั้นได้มั้ย’ ข้าก็จะตอบว่า ‘ไม่’ ทันทีเลยนะ”
พอดูว่ารอบๆ ปลอดภัยแล้ว คุณเซลฟี่ก็เข้ามาถามปนประหลาดใจที่เห็นเวทมนต์ของผม
“เยี่ยมมากค่ะ ท่านไรเอล”
โนแวมวางการ์ดลง และชื่นชมผม
พวกก็อบลินที่นอนกองอยู่บนพื้นพร้อมปล่อยประกายไฟเปรี๊ยะๆ ออกมาเป็นภาพที่ไม่น่าดูเท่าไหร่
‘พอมาคิดแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เราสู้กับมอนสเตอร์เลยนี่นา’
กลิ่นของพวกมันช่าง…ผมแหยงออกมา
ด้วยภาพตรงหน้า มีคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังใช้พลังเวทของผมในการพูดอยู่
[เป็นไปไม่ได้! นี่มัน?…หุ ฮุฮุ อุวะฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าเห็นรึเปล่า!? นั่นคือพลังของไรเอลยังไงล่ะ! อย่ามาดูถูกเด็กอัจฉริยะของตระกูลวอลท์นะ! ]
‘ท่านปู่ หยุดเถอะ มันน่าอายจะตาย’
[พวกเจ้าดูถูกไรเอลไว้ซะเยอะ อย่าลืมสิว่าเขาก็เป็นจอมเวทที่สืบสายเลือดราชวงศ์มาน่ะ]
รุ่นที่เจ็ดพูดข่มใส่รุ่นที่หนึ่ง และรุ่นที่หกก็พูดเสียงเนือยๆ กับเหล่าบรรพบุรุษที่เหลือ
[ม-ไม่…นักเวทมันไม่ใช่แบบนี้สักหน่อย? ข้าจำได้ว่าในตอนนั้นพวกเขามีประโยชน์น้อยกว่านี้เยอะ]
รุ่นที่สองช็อกนิดหน่อย ส่วนรุ่นที่สามชื่นชมอย่างจริงใจ
[น่าทึ่งมาก ถึงจะยังใช้งานจริงไม่ได้ แต่ถ้าเจ้าทำตามเงื่อนไขสักหน่อย ก็จะใช้เวทมนต์เบื้องต้นในการต่อสู้ได้แล้วล่ะ ข้าประทับใจเจ้าขึ้นมานิดนึงนะ ไรเอล]
รุ่นที่สี่ก็ประหลาดใจเช่นกัน และเขาก็ยินดีมากที่ตะกูลของเขาให้กำเนิดจอมเวทขึ้นมาได้
ส่วนรุ่นที่ห้าก็เซ็งคนอื่นมากขึ้น
[จะโอเวอร์ไปหน่อยมั้ย? เอาล่ะ สำหรับวัยของเจ้าแล้วถือว่ามีความชำนาญไม่เบา ข้าจะรวมมันไปด้วยในการประเมินเจ้าก็แล้วกัน]
[…]
รุ่นที่หนึ่งเงียบกริบ
เขาเงียบไป…หลังจากเห็นเวทมนต์ของผม
“ท-ท่านไรเอลคะ! “
“เดี๋ยว! เป็นอะไรไป!? “
เมื่อผมได้ยินเสียงที่โนแวมกับคุณเซลฟี่เรียกตัวเอง ผมก็เข่าทรุดลงไปแล้ว ผมจุกอก และกรีดร้องในหัว
‘พวกคุณมีสติสักหน่อยได้ไหมเนี่ยยย! ก็รู้อยู่ ผมเพิ่งใช้เวทมนต์ไปก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว! ขอร้องล่ะ ได้โปรดหยุดเถอะ! ’
ถ้าเวทมนต์เบื้องต้น 3 ครั้ง
ส่วนเวทมนต์ที่ขั้นสูงมาหน่อย 1 ครั้ง คือขีดจำกัดของผม
มันเป็นความสามารถทางเวทมนต์ของผมในตอนนี้ ถ้าเวทมนต์ระดับสูงกว่านี้อีกนิด ผมคิดว่ายังคงใช้มันไม่ได้
‘เป็นเพราะตัวเราเอง หรือเป็นเพราะอัญมณีที่ฉุดเราลงไปกันแน่นะ? ’
—-
ต่างโลกโหมดยากล่ะ จอมเวทมานาน้อยจัด