ผู้นำคนแรก บราซิล วอลท์
—-
คนเถื่อนในชุดหนังสัตว์
ผมยาวกระเซิงแหวกให้เห็นดวงตาสีม่วงอันป่าเถื่อนของผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์
เขาคือบุตรคนที่ 3 ของขุนนางผู้ทรงเกียรติในเมืองหลวงของอาณาจักร
แต่เมื่อเขาไม่ประสบความสำเร็จ และตัดขาดจากตระกูลแล้ว
เขาจึงออกบุกเบิกไปสร้างหมู่บ้านของตัวเองในเดินแดนอันห่างไกลที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน
ในขณะเดียวกัน เขาก็รับชนเผ่าคนเถื่อนจริงๆ ที่อยู่ใกล้อาณาบริเวณนั้นมาเป็นบริวาร และก่อตั้งตระกูลวอลท์ขึ้น
แน่นอนว่าเหตุผลที่เขาตัดขาดจากตระกูลก็คือ
[รักแรกของข้าคือตระกูลบารอน แล้วการแต่งงานมันต้องมีฐานะใกล้กันใช่มั้ยล่ะ?
ข้าก็เลยท้วงดินแดนที่นั่นมา และกลายเป็นบารอนเพื่อให้แต่งงานกับเธอได้…]
พอผมสลบไปก็ พบว่าตัวเองตื่นขึ้นมาในห้องประชุม
รุ่นที่หนึ่งกำลังเล่าเรื่องราวของเขา และทุกคนรอบๆ ก็แสดงออกอย่างซับซ้อนเมื่อรู้ว่าที่มาของตระกูลพวกเขามันเกิดจากรักแรกของรุ่นที่หนึ่ง
[จะมากไปหน่อยรึเปล่า? เพราะเห่อหญิงเจ้าก็เลยอาสาเป็นทีมบุกเบิกดินแดน แล้วก็ก่อตั้งตระกูลขุนวอลท์ขึ้นมาเนี่ยนะ?
…ไม่แปลกใจเลยที่หลังจากเจ้าแต่งงานแล้ว เรื่องต่างๆ ก็ยังไม่ดีขึ้นน่ะ! ]
รุ่นที่สองเริ่มพูดถึงภรรยาของรุ่นที่หนึ่ง
เหมือนว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาจะไม่ได้ดีมาตั้งแต่เริ่มนะ
[พอข้าระหกระเหินกลับไปที่เมืองหลวง รักแรกของข้ากลับแต่งงานไปซะแล้ว! ข้าตรอมใจแทบตาย! ]
รุ่นที่หนึ่งคว้าไหล่รุ่นที่สองเอาไว้ เมื่อพวกเขารู้ตัวจึงถอยแยกกันไป
[หรือว่าเกณฑ์ในการหาเจ้าสาว…มันจะมาจากคุณอลิสที่ว่าน่ะ? ]
พอได้ยินรุ่นที่สามพูด รุ่นที่หนึ่งก็เขินเล็กน้อย
[แหะๆ ก็ในเมื่อข้าแต่งงานกับเธอไม่ได้แล้ว ก็เลยตั้งสเปคแบบนั้นขึ้นมาเพื่อจะได้แต่งงานกับผู้หญิงที่คล้ายเธอยังไงล่ะ
ข้าเคยยกสเปคที่ว่าเป็นเกณฑ์การหาเจ้าสาวของตระกูลอยู่ครั้งนึงในงานปาร์ตี้ ทุกคนพอได้ฟังก็แหยงกันหมด
ไม่คิดว่ามันจะได้เป็นของที่ถูกใช้จริง ข้ายังแปลกใจด้วยซ้ำที่มีผู้หญิงที่ตรงสเปคพวกนั้นอยู่จริงๆ ]
รุ่นที่สองกรี๊ดอัดหน้ารุ่นที่หนึ่งที่กำลังยิ้ม
‘ข้าจะดีใจมากเลยถ้าท่านไม่ตะโกน เพราะมันดูดพลังเวทน่ะ แล้วความจริงพวกนั้นข้าก็ไม่ได้อยากรู้เลยด้วย’
[แก๊ ไอ้สารเลวว!! แกคิดว่าข้าต้องเดือดร้อนแค่ไหนเพราะเรื่องที่แกทำสั่วๆ นั่นน่ะห๊ะ!?
พวกมันแต่ละคนเอาแต่พูดเรื่องเกณฑ์บ้าเกณฑ์บอพวกนั้น! เพราะแกทำให้ข้ากว่าจะได้แต่งงาน
และเพราะจู่ๆ แกก็อยากออกไปเป็นบารอน และตั้งหมู่บ้านแบบมั่วซั่วนั่นอีก ผลที่ตามมามัน….อ๊ า ก ก ก ก ! ! ]
รุ่นที่สองกลายเป็นบ้าไปแล้ว ผมเลยหันมาถามรุ่นที่เจ็ดที่อยู่ข้างๆ
“เอิ่ม นี่คือสาเหตุที่ผมต้องมาอยู่ตรงนี้เหรอ? อ้ะ แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากผมสลบไปน่ะครับ? ”
[ช-ใช่…ที่จริงแล้ว…]
ตามนั้น คนที่ทำให้เกิดการประชุมฉุกเฉินนี้ขึ้นก็คือรุ่นที่หนึ่ง
เนื้อหาทั้งหมดก็คือ พอได้ยินวิกฤตของตระกูลล็อคเวิด รุ่นที่หนึ่งเลยต้องการให้ไปช่วยพวกเขาล่ะ
รุ่นที่หกพูดขึ้นมา
[ใช่ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นหรอก การให้ยืมที่ปรึกษาเซลฟี่มันเป็นไปไม่ได้
เจ้าอยากให้เงินที่โนแวมหามาจากการขายสินทอดของตัวเองจ่ายไปเสียเปล่างั้นรึ? ]
พอโดนบอกแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็กอดอกเคร่งเครียด
[นั่นก็จริง แต่แม่หนูคนนั้นคือตัวแทนรักแรกของข้าที่กำลังมาขอความช่วยเหลือนะ…พวกเจ้าไม่เข้าใจความรู้สึกของข้ารึไง? ]
รุ่นที่ห้าพูดอย่างสงบ
[ข้าไม่ พวกเราไม่เคยมีอิสระในความรัก แล้วก็แต่งงานเพื่อผลประโยชน์ของดินแดนมาตลอด]
[เย็นชาชะมัด! พวกเจ้ายังเรียกตัวเองว่ามนุษย์ได้อีกหรือไง!? คิดว่าใครที่มีบุญคุณ และให้กำเนิดพวกแกขึ้นมากันห๊ะ!? ]
รุ่นที่สองเปิดมาคนแรก…
[ท่านแม่]
[แม่]
[ใช่ แม่]
[หม่าม้า]
[แม่ข้า]
[ข้าติดหนี้ท่านแม่]
‘หวา…พวกเขาตอบเหมือนกันเด๊ะเลย’
[เฮ้ย พวกแก! ]
รุ่นที่หนึ่งยังคงงอแงต่อไป รุ่นที่สองเลยพูดใส่อย่างเย็นชา
[แล้วเจ้าคิดว่าข้ารู้สึกยังไงที่เห็นเจ้ากระตือรือร้นที่จะช่วยรักแรกทั้งๆ ที่มีแม่ของข้าอยู่แล้วน่ะ? ไหนจะทำให้หนูโนแวมโกรธอีก]
“เอ๋? เป็นงั้นหรือครับ? ”
รุ่นที่สองมองที่ผมอย่างงงๆ
[…เจ้าสลบไปตอนที่เด็กสาวอาเรียกำลังเขย่าเจ้าทั้งน้ำตาใช่มั้ยล่ะ? ]
‘อ่า เรานึกภาพออกอยู่’
ในระหว่างที่ผมถูกแบกกลับมาเช็คอาการที่บ้าน
บรรพบุรุษก็สามารถตรวจสอบรอบๆ ตัวผมได้ในระดับหนึ่งตลอดเวลา
ผมนึกภาพโนแวมที่กระวนกระวายออก นี่ขนาดเธอสงบขึ้นมากแล้วถ้าเทียบกับตอนเด็กนะ
“ถ้าคุณบอกให้ช่วยเธอขนาดนั้น แล้วผมต้องทำยังไงล่ะ? ”
รุ่นที่หนึ่งคงกำลังรอผมพูดอยู่
[พวกที่ขโมยมรดกไปคือกองโจรที่กบดานอยู่ในเหมืองร้างนอกเมืองเดลลีน
ที่เจ้าต้องทำก็คือแอบย่องเข้าไปในรังโจรแล้วก็ฉกอัญมณีกลับมา ทำได้มั้ย? ]
เขาเอาแต่จ้องเขม็งมาที่ผมราวกับจะบอกให้ทำมันซะ แต่รุ่นที่สองกับคนที่เหลือไม่ยอม
[ไม่ไหวหรอก กองโจรเลยนะ? ขนาดนักผจญภัยสาวที่ชื่อเซลฟี่ยังลังเล แถมข้อมูลที่แทบไม่มีนั่นอีก มันอันตรายเกินไป]
รุ่นที่สามก็มีความเห็นคล้ายกัน
[ข้าว่านางควรไปขอร้องอัศวินหรือทหารประจำเมืองแทน ขุนนางของที่นี่ก็ควรดูแลตัวเองได้สิ]
ส่วนบรรพบุรุษที่เหลือก็พูดเป็นเสียงเดียว
ส่วนรุ่นที่เจ็ดก็บอกว่าความปลอดภัยของผมนั้นสำคัญที่สุด
[เดิมที ตอนนี้ไรเอลก็ไม่มีทางเอาชนะพวกโจรได้อยู่แล้ว ทั้งขีดจำกัดพลังเวท และปาร์ตี้ของพวกเขาก็มีแค่ไรเอล กับเซลฟี่ไม่ใช่เรอะ?
ถึงจะพาโนแวมไปด้วย คิดว่าเด็กสาวอย่างเธอจะช่วยต่อสู้ได้แค่ไหนกัน? ]
ศัตรูถูกเรียกว่ากองโจร ดังนั้นพวกเขาต้องมีจำนวนมากอยู่แล้ว
ไม่ทราบจำนวนศัตรู ส่วนฝั่งเราก็ไม่รู้ว่าจะรวมคนได้แค่ไหน? ปัจจัยที่ไม่แน่นอนมีมากมาย และเหล่าบรรพบุรุษส่วนใหญ่ก็ต่อต้าน
กระนั้น
[ข้าต้องการช่วยเธอ! ข้ามองข้ามความรู้สึกนี้ไม่ได้หรอก! ยิ่งการที่เธอมาขอให้ไรเอลช่วย….นี่มันโชคชะตาชัดๆ! ]
[ไม่ใช่ เจ้าก็แค่คิดไปเองต่างหาก]
พอรุ่นที่สี่พูดแบบนั้น รุ่นที่หนึ่งก็หงายตกเก้าอี้ไป
ผมรู้สึกเสียใจกับรุ่นที่หนึ่งนะ แต่ถ้าคุณบอกให้ผมบุกรังโจรมันก็เกินไปหน่อย
ครั้งเดียวที่ผมเคยสู้กับคนก็คือตอนที่ดวลกับเซเลส
แต่ก็ไม่รู้ว่าจะนำไปเทียบกันได้ไหมนะ
รุ่นที่หนึ่งเริ่มพึมพำกับตัวเอง
[นั่นสินะ สายเลือดข้าเองนี่หว่า ต่อให้พวกเจ้าขึ้นเป็นเคานต์แล้วยังไงฟ่ะ สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมนั่นแหละ]
เปรี๊ยะ…เหมือนมีเสียงอะไรสักอย่างดังก้องกังวาลไปทั่วห้อง
[เออ ข้าขอโทษ ข้ามันโง่เองที่คาดหวังกับพวกเจ้า และหวังเล็กๆ กับเจ้าไรเอลที่มีสายเลือดราชวงศ์ ว่าจะทำอะไรได้สักอย่าง
แต่ก็นั่นแหละ…สุดท้ายยังไงพวกเจ้ามันก็ แ ค่ ลู ก ห ล า น ข อ ง ข้ า พวกเจ้าย่อมเจียมตัวเองเป็นธรรมดาล่ะนะ]
ต่อหน้ารุ่นที่หนึ่งบอกแบบนั้น บรรพบุรุษทุกคนดูหงุดหงิดสุดๆ
“เอ๋ เอ่อ…ท-ทุกคนครับ? ”
[…พ-พวกข้าทำได้อยู่แล้ว แค่ไม่มีโอกาสเท่านั้นเอง ]
พอรุ่นที่สี่พูดแบบนั้น รุ่นที่สองก็เห็นด้วย
[อย่าเอาพวกข้าไปรวมกับเจ้า หากเอาจริงกะอีกแค่โจรกองสองกอง พวกมันจะถูกกวาดล้างไปก่อนเจ้าจะรู้ตัวด้วยซ้ำ]
รุ่นที่สามพูดอย่างมีน้ำโห
[เจ้านี่มันดูถูกพวกเราชัดๆ เห็นแบบนี้ข้าก็เคยนำทัพบดขยี้กองโจรมานับไม่ถ้วนแล้วนะ? มันไม่เหมือนยุคของเจ้าสักหน่อย ผู้ก่อตั้ง]
รุ่นที่หนึ่งชงต่อ
[ไม่ ไม่ อย่าร้อนตัวไปสิ สุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ได้ทำอะไรนี่? พวกเจ้าทั้งหมดบอกว่าเคยร่วมสงคราม
แต่ที่จริงก็เอาแต่มองจากด้านหลังแล้วก็ปล่อยให้ลูกไล่จัดการทั้งหมดไม่ใช่เรอะ?
มันก็ไม่เลว เพราะพวกเจ้าเป็นขุนนางนี่นะ ถ้าเอาตัวเองไปนำทัพจริงๆ จะไปถ่วงแข้งขาคนอื่นเสียเปล่า]
พอฟังจบ รุ่นที่ห้าก็จ้องไปที่เขา
[อะไรของเจ้า? พวกเรานำทัพข้างหน้าต่างหาก แค่เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้มัน
อีกอย่าง ไม่ใช่พวกเราแต่เป็นไรเอลต่างหากที่ต้องไปสู้กองโจรไม่ใช่รึ? ข้ายังไม่ได้พูดด้วยซ้ำว่าเขาทำมันไม่ได้น่ะ]
รุ่นที่หกก็เช่นกัน
[การถูกเรียกว่าขี้ขลาดเป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่จริงๆ แต่ครั้งนี้ไรเอลคือคนที่ลงมือ
และข้าคิดว่ามันยากสำหรับเขาตอนนี้ โอ๊ะ ข้าไม่เคยพูดว่าเขาจะทำไม่ได้นะ]
รุ่นที่หนึ่งเสริมต่อ
[ข้าไม่ได้จะมีเรื่องสักหน่อย อย่าจ้องเขม็งกันแบบนั้นสิ
และก็จริงที่พวกเขาบอกว่าเจ้ามันอ่อนแอ อ้อ ข้าไม่ได้พูดถึงพวกเจ้านะ อย่าเข้าใจผิดล่ะ]
ขณะที่พูด เขาก็ยิ้มกริ่ม กวาดตามองทุกคน
รุ่นที่เจ็ดลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้ารุ่นที่หนึ่ง
[แล้วไง ต่อให้เราทำเจ้าก็จะไม่เข้ามาช่วยนี่! ไหนจะไม่ยอมร่วมมือกับไรเอลแล้วเจ้ายังมีหน้าสั่งเขาไปช่วยคนอื่นอีกเนี่ยนะ!? ]
รุ่นที่หนึ่งทุบโต๊ะ
เมื่อเสียงป้างดังขึ้นก็ทำให้ทุกคนเงียบลง
[ถ้าเขายอมช่วยแม่หนูอาเรีย ข้าทุ่มสุดตัวอยู่แล้วโว้ย! สกิลที่ข้ามีและวิธีการใช้มัน ข้าจะยกให้ไรเอลมันทั้งหมดนั่นแหละ! ]
พอได้ยินแบบนั้น ใบหน้าหงุดหงิดของทุกคนก็กลับมาเป็นปกติ
เมื่อได้เห็นความแน่วแน่ของเขา ผมขนลุกเลยล่ะ
รุ่นที่หนึ่งเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ รุ่นที่สี่จึงพูดต่อ
[เอาล่ะ ในเมื่อรุ่นที่หนึ่งจะยอมยื่นมือเข้าช่วยไรเอลแล้ว พวกเราก็สามารถแก้ไขปัญหาสำคัญอันนี้ได้เสียที]
[…เอ๋? ]
รุ่นที่หนึ่งถูกเมินทิ้ง และรุ่นที่สามก็ส่งยิ้มมาให้ผม
[วิเศษไปเลยเนอะไรเอล? ในที่สุดเจ้าก็จะได้ใช้สกิลแล้ว]
“ค-ครับ…อ-เอ่อ…อะไรกันครับเนี่ย? “
พอผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น รุ่นที่ห้าก็ตอบด้วยเสียงเบื่อๆ
[ก็แค่มีคนพยายามยั่วยุพวกเรา เราก็เลยใช้เรื่องที่ว่าย้อนกลับไปต้อนตัวเขาเอง
ทีนี้ข้าก็สงสัยว่าเขาจะกลับทำพูดรึเปล่า คุณคงไม่ใช่พวกงี่เง่าแบบนั้นสินะ รุ่นที่หนึ่ง? ]
[ล-ลูกผู้ชายพูดไม่คืนคำหรอก! ]
ได้ยินดังนั้น ทุกคนก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินกลับไปยังห้องส่วนตัวของแต่ละคน
รุ่นที่หกเตือนผมถึงสิ่งที่จะต้องทำ
[ไรเอล พอเจ้าตื่นแล้วก็อย่าลืมถามข้อมูลเพิ่มจากอาเรีย และทวงสกิลกับรุ่นที่หนึ่งล่ะ มันคงจะยุ่งไม่น้อย]
เหล่าบรรพบุรรุษกลับห้องไปอย่างยิ้มแย้ม
“..ค-ครับ? ”
[พ-พวกมันหลอกข้า…]
รุ่นที่หนึ่งทำหน้าเศร้า ส่วนผมก็เริ่มคิดถึงสถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจริง
.
.
.
[งั้นข้าจะเริ่มอธิบายสกิลแล้วนะ? ]
พอทุกคนไปหมดแล้ว ผมก็ถูกลากมาที่ห้องของรุ่นที่หนึ่ง
ห้องนี้ถูกนำมาจากที่ที่เขาเคยอยู่ แต่สำหรับผมมันคือกระท่อมล่ะ
“ครับ เดิมทีสกิลจะเป็นของเฉพาะคนใช่มั้ยครับ? แล้วข้าจะใช้มันได้ยังไง…”
เขาอธิบาย
[มันเป็นสกิลออริจินอลที่ถูกเก็บในอัญมณี พอคนอื่นมาใช้มันก็จะใช้ได้แค่ระดับผิวเผิน
หรือถ้ามีพรสวรรค์ก็อาจจะดีกว่านั้นหน่อย ส่วนเจ้าข้ากำลังจะสอนนี่ล่ะ]
ถ้าเป็นสกิลที่ถูกเก็บไว้ในอัญมณี มันไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะใช้มันให้มีประสิทธิภาพในระดับเดียวกับเจ้าของสกิล
แต่สำหรับกรณีอัญมณีล้ำค่าดูจะต่างออกไป
[เจ้ารู้จักสกิลของข้าแล้วใช่มั้ย? ]
“ข้าได้ยินมาว่ามันคือ เต็มพิกัด”
สกิลของรุ่นที่หนึ่งนั้นเรียบง่าย และมีประสิทธิภาพ
[คุณสมบัติของสกิลคือการยกระดับความสามารถพื้นฐานของเจ้า แค่จำไว้ว่ามันทำให้แข็งแกร่งขึ้นราว 10-20 % ก็พอแล้ว]
“ครับ”
รุ่นที่หนึ่งคงเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมที่จะบุกรังโจร เขาจึงยอมบอกเกี่ยวกับสกิลของตัวเอง
ถึงเขาจะแปลกๆ แต่ก็ยังเป็นขุนนาง และเขาคงรู้สึกว่าเรื่องนี้อาจจบไม่สวย
กระนั้นเขาก็ยังพยายามส่งผมไปช่วยคนที่คล้ายรักแรกของเขาเอง
[คำเรียกใช้ คือ [ทะลายขีดจำกัด] มันจะลบขีดจำกัดร่างกาย และทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น อืม…รวมถึงการฟื้นฟูในตอนต่อสู้ด้วยนะ]
“ฟื้นฟูหรือ? ”
[ใช่ ข้าก็ไม่รู้รายละเอียดมาก แต่ปกติแล้วเมื่อเจ้าใช้ร่างกายเกินขีดจำกัด มันจะเป็นการพังตัวเจ้าเองใช่มั้ยล่ะ]
การที่เขาพูดเรื่องแบบนี้เป็นปกติ หมายความว่าเขาต่างหากที่ไม่ปกติน่ะ
‘ที่จริง…เราก็ไม่เคยมองเขาเป็นคนปกติอยู่แล้วนี่หว่า’
รุ่นที่หนึ่งจ้องเขม็งมาที่ผม
[เจ้าคิดอะไรแปลกๆ อยู่รึเปล่า? ]
“ม-ไม่มีหรอกครับ! “
[งั้นต่อนะ ข้าจะให้เจ้าใช้สกิลเสริมพลังนี้ในการข้ามขีดจำกัดของตัวเอง แต่สำหรับเจ้าตอนนี้น่าจะอยู่ได้ราว…สามนาทีเรอะ? ]
“เอ๋? นั่นมันจุดสำคัญเลยไม่ใช่เหรอ!? อย่าเดาสุ่มๆ เอาว่าสามนาทีสิครับ! ”
ข้อจำกัดในการใช้สกิล ดูท่าจะมาจากความสามารถร่างกายของผมเองที่ทนมันไม่ไหว
[ฟังซะ ถ้าเจ้าใช้มันกับตัวเองก็จะได้ความแข็งแกร่ง แต่ถ้าใช้กับคนที่บาดเจ็บมันจะทำให้แผลหายเร็วขึ้น
เพราะสกิลนี้ไปเร่งการฟื้นฟูยังไงล่ะ! ]
มันเป็นสกิลที่เจ๋งมาก
ถึงจะดูธรรมดา แต่ถ้าคิดอย่างรอบคอบแล้วมันเป็นสกิลที่มองข้ามไม่ได้เลย
[ทำไมเจ้าไม่ลองใช้มันสักหน่อยล่ะ? ]
“…ลองหรือครับ? “
ดังนั้น การฝึกของผมกับรุ่นที่หนึ่งจึงเริ่มขึ้น
.
.
.
เมื่อผมลืมตาขึ้นมาก็พบกับเพดานของบ้านเช่า
ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียงด้วยร่างกายที่เฉื่อยชา
ข้างๆ โนแวมคอยพยาบาลผมอยู่
“ท่านไรเอลคะ!? “
“โนแวม…ข้าสลบไปกี่วันหรือ? ”
ผมต้องการเวลาสักหน่อย
“ใกล้จะเช้าแล้วค่ะ ถึงจะไม่เต็มวันแต่ท่านก็สลบไปนานมาก ข้าเป็นห่วงจริงๆ นะคะ”
“เรื่องนั้นขอโทษทีนะ แต่เธอช่วยเรียก…อาเรีย ล็อคเวิดมาที่นี่ได้ไหม คุณเซลฟี่ก็ด้วย พวกเธอยังไม่ได้ออกไปปราบกองโจรใช่รึเปล่า? ”
ผมคิดว่าคุณอาเรียกับคุณเซลฟี่น่าจะยังอยู่ในเมือง
จากที่คุณเซลฟี่ปฎิเสธเธอในคาเฟ่
และถึงจะเหมือนทอมบอยแค่ไหน ขุนนางหญิงอย่างอาเรียก็ไม่น่าจะไปบุกรังโจรคนเดียว
“…ท่านไรเอล การปราบปรามโจรเป็นหน้าที่ของเจ้าเมืองหรือกองทหารนะคะ”
ผมเข้าใจสิ่งที่เธอจะพูด และท่าทางอันจริงจังของเธอที่ต้องการหยุดผม
แต่ผมก็มีเหตุผลของตัวเองอยู่
‘นี่เป็นโอกาสในการทำให้รุ่นที่หนึ่งยอมรับเรา แล้วก็…’
[หนูโนแวมเป็นเด็กสาวที่ดีจริงๆ เธอเข้าใจงานของขุนนางเป็นอย่างดี เอาล่ะ ไรเอล…ถึงเวลาใช้ความเชี่ยวชาญของพวกข้าแล้ว]
รุ่นที่สามพูดกับผม
ใช่แล้ว การจัดการกับศัตรูถือเป็นหนึ่งในเรื่องที่ปวดหัวมากสำหรับเจ้าเมือง
ในประวัติศาสตร์ของผู้นำตระกูล…ตั้งแต่รุ่นที่สามลงมามักจะถูกรังควาญด้วยปัญหาพวกนี้เป็นประจำ
“โนแวม นี่เป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าขอโทษ แต่ข้าจะไปช่วยพวกเขาเอาอัญมณีกลับมาจากกองโจรเอง เจ้าช่วยรออยู่ที่บ้านได้ไหม? ”
“ทำไม่ได้หรอกค่ะ ถ้าท่านจะเข้าช่วยเหลือ ข้าก็จะไปกับท่านด้วย ถึงแบบนั้นเราก็ยังไม่รู้แม้แต่ขนาดของกองโจรเลยนะคะ”
ใช่ เราไม่รู้
ทั้งขนาด อุปกรณ์ และความสามารถของพวกโจร
งั้นเราก็แค่ต้องออกไปหามัน
[ก่อนอื่นหาข้อมูลเรื่องขนาดกองโจรก่อนเถอะ ที่ตั้งฐานของพวกมันถูกรู้อยู่แล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
และเจ้าต้องรู้เหตุผลที่เจ้าเมืองไม่ยอมส่งกำลังไปปราบพวกมันด้วย มีเรื่องที่ต้องทำมากมายเลยล่ะ]
ผมพูดกับโนแวม
“โนแวม ได้โปรดให้ข้ายืมกำลังด้วยเถอะ…นี่คือสงครามที่เราเอาชนะได้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เธอก็พยักหน้าอย่างเงียบๆ
—