Sevens – ตอนที่ 15 งานง่ายๆ ที่ต้องทำก็แค่ยืน

งานง่ายๆ ที่ต้องทำก็แค่ยืน

 

 

พวกเราไปยื่นคำร้องถึงนักผจญภัยที่เคาเตอร์ของกิลด์

 

และเตรียมจ่ายค่าธรรมเนียมกับเงินรางวัลเพื่อรวมกำลังคน

 

พอรับแบบฟอร์มไปแล้ว คุณฮาวกิ้นก็มองแผ่นกระดาษสลับกับผมอยู่หลายครั้ง

 

“พ-พ่อหนุ่มไรเอล…จำนวนเงินนี่มันถูกแน่นะ? เวลางานคือสี่วัน ขอเพียงเข้าร่วมก็จะได้สองเหรียญเงิน

และในสัญญาบอกว่าพวกเขาแค่ต้องยืนในจุดกำหนดไว้เท่านั้น? ”

 

แหงล่ะที่เขาจะสงสัย

 

เพราะเงินรางวัลกับงานที่ต้องทำมันไม่สมดุลกันเลย

 

“ถูกแล้วครับ เรื่องจำนวนคนที่พวกเราจะจ้างก็ด้วย”

 

“เอ๋? โอเค…”

 

คุณฮาวกิ้นทวนจำนวนคนบนแบบฟอร์มปนตกใจ

 

“อย่างต่ำหนึ่งร้อยคน!? ”

 

“พวกเราเตรียมเงินรางวัลไว้เผื่อสำหรับสองร้อยคนไว้แล้วครับ …งานที่ทำก็คือคอยยืนเฝ้าประจำจุดรอบๆ ทางเข้าเหมืองร้าง

แล้วข้าก็เป็นคนจะจ่ายเงินรางวัล และคอยเรียกคนด้วยตัวเองด้วยครับ”

 

หลังจากนั้น คุณฮาวกิ้นก็ถามยืนยันรายละเอียดในสัญญาอีกหลายต่อหลายครั้ง

 

[ตามข้อมูลที่ได้มาพวกโจรมีกันมากกว่ายี่สิบคน ถึงจำนวนคนทางนี้จะดูเยอะ แต่ที่เคลื่อนไหวจริงๆ มีแค่ไรเอลเท่านั้น

ต่อให้เปรียบเทียบกับการเข้าร่วมสงครามจริงๆ ค่าตอบแทนนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลย]

 

พอรุ่นที่สามพูดมา ผมก็รู้สึกแปลกๆ

 

‘เราทำงานแทบตายทั้งวันยังได้แค่ 6-10 เหรียญทองแดงใหญ่ แต่นี่เราให้ตั้ง 2 เหรียญเงินสำหรับงาน 2 วัน

เอาเถอะ ถ้าไม่ให้ขนาดนี้ จำนวนคนที่สมัครเข้ามาก็จะไม่มากพอน่ะสิ’

 

[ทีนี้พวกที่หน้ามืดเพราะเงินก็จะแห่กันมาให้พรึบ ทำไมเราไม่มาทำให้มันเปรี้ยงปร้างไปเลยล่ะ? ]

 

ผมยังคงแสดงตัวเป็นบุตรขุนนางงี่เง่าอยู่

 

การปราบโจรไม่กี่สิบคนด้วยจำนวนคนนับร้อยจะต้องเป็นเรื่องตลกในหมู่ชาวเมืองเดลลีนไปอีกนาน

 

นี่จะเป็นการประกาศที่อยู่ปัจจุบันของผมกลับไปยังตระกูลวอลท์…ครอบครัวของผมต้องรู้ทันทีแน่

ถึงจะมีโอกาสค่อนข้างสูงที่พวกเขาจะรู้อยู่แล้วก็เถอะ

 

แต่ถ้าผมแสดงเป็นไอ้ง่าวแบบนี้ พวกเขาจะทำยังไงนะ?

 

ผมคงโดนเก็บเข้าสักวันนึงแหง

 

‘ถ้าเป็นเซเลส การจะส่งคนมาฆ่าเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก”

 

พอเรื่องตลกอย่าง…การต่อสู้กับโจรของเจ้าเด็กเหลือขอนี้จบลง ผมจะเป็นยังไงต่อกันนะ?

 

‘สุดท้ายแล้ว นี่มันก็คือการเดิมพันไม่ใช่เรอะ..’

 

ขณะที่คุณฮาวกิ้นเช็คเอกสารว่าไม่มีอะไรผิดพลาด ผมก็เสริมขึ้น

 

“อ่า ใช่สิ ขอถามคุณฮาวกิ้นได้ไหมครับ”

 

“ได้สิ ถ้าข้าตอบได้นะ”

 

ผมยืนยันบางอย่างกับเขา

 

ซึ่งโนแวมกับคุณเซลฟี่ก็ไม่ว่าอะไร

 

ไม่มีทางที่ทางกิลด์จะปฎิเสธคำขอนี้ได้

 

‘เพราะจะมันดีกว่าถ้ามีไพ่ในมือเพิ่มขึ้น’

.

.

.

ด้านหน้าอาคารกิลด์

 

ในพื้นที่ที่คนสัญจรไปมา ผมประกาศลั่น

 

“ข้ามาจากตระกูลวอลท์…อดีตทายาทของตระกูลเคานต์! ในเวลานี้ ข้าถือโอกาสจะกำจัดกองโจรที่มากบดานอยู่ข้างเมืองเดลลีน!

ถ้าใครเห็นด้วยกับข้าจงอาสามา! ”

 

[เฮ้ย เสียงเจ้าเบาไป เจ้าจะหัวเราะก็ได้นะ แล้วก็ใส่ดราม่าไปด้วยสิ]

 

รุ่นที่สี่กำกับผมโดยตรง

 

น่าขัน

 

ผมได้ยินเสียงหัวเราะกลับมา

 

“ขุนนางกำลังไปปราบโจร? ”

 

“เดี๋ยว ไม่ใช่เขาถูกไล่ออกมาเรอะ…”

 

“เพราะเขาไม่ได้เรื่องสินะ? ”

 

“ปล่อยเรื่องโจรให้เจ้าเมืองจัดการสิ”

 

“พอเรดเขาวงกตจบลง พวกทหารก็จะกลับมากันแล้ว พวกเราแค่ต้องรออีกหน่อยเอง”

 

นักผจญภัยบางคนเดินผ่านผมไปพร้อมกับหัวเราะ

 

บางคนก็พูดสวนมาตรงๆ

 

“นี่คือเวลาที่ต้องยืนหยัดเยี่ยงอัศวิน ภารกิจของพวกเรา…”

 

‘ส-สิ้นหวังชะมัด! ’

 

ผมทนความอับอายแล้วประกาศต่อไป

.

.

.

พอยืนยันคำร้องเสร็จแล้ว ผมก็ไปหาโนแวมและกลับบ้านด้วยกัน

 

ที่หน้าประตู มีเด็กสาวผมแดง…อาเรีย ล็อคเวิด กำลังยืนกอดอกขวางอยู่

 

แขนที่เธอกอดอกดันหน้าอกของเธอขึ้นมา

 

มันแทบไม่ต่างจากเดิม แต่เพราะความเหนื่อยล้า ผมเลยเผลอมองไปที่หน้าอกของเธอก่อนจะถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้

 

“อืม…เธอมีธุระอะไรที่บ้านของเราเหรอ? ”

 

“อย่างมาแกล้งทำเป็นไม่รู้นะ! เมื่อกี้นี้มันอะไรกันคะ!? ”

 

‘อะไร’ ที่ว่าน่าจะหมายถึงการประกาศอันยิ่งใหญ่ของผมเอง

 

“ก็ รางวัลสำหรับการปราบโจร…”

 

“ท่านไรเอลวิเศษมากเลยค่ะ”

 

คำชมของโนแวมทำให้ผมอายม้วน

 

คุณล็อคเวิดเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางที่ไม่คิดว่าจะมาจากขุนนางหญิง

 

“ฉันแค่ขอให้ส่งคุณเซลฟี่มาให้ไม่ใช่เหรอ! ฉันจะได้ใช้เส้นสายนิดหน่อย และรวมหัวกระทิไม่กี่คนไปชิงอัญมณีคืนมา…

ถ้าคุณประกาศไปซะขนาดนั้นพวกโจรมันจะไม่รู้กันหมดแล้วหรือคะ!? ”

 

โนแวมตอบกลับ

 

“คุณเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่าคะ? ”

 

“อ-อะไร? ที่จริงทุกคนก็หัวเราะเยาะสิ่งที่พวกคุณทำลงไปนี่นา”

 

ที่ผมทำไปก็เพราะมีเหตุผล

 

มันไม่ใช่ความผิดพลาด…แต่ผมก็เศร้าอยู่ดี

 

“ที่ทำไปแบบนั้นพวกเราก็มีเหตุผลของตัวเองค่ะ หรือคุณ…คิดว่าที่พวกเราทำไปก็เพื่อคุณงั้นหรือคะ? ”

 

พอโนแวมบอกตรงๆ คุณล็อคเวิดก็สะดุ้ง

 

ผมได้ยินเสียงของรุ่นที่หนึ่ง

 

[อ-อูย หนูโนแวม…ข้าคิดว่าถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้หนูให้อภัยเธอนะ มาเป็นเพื่อนกันเถอะ? ]

 

รุ่นที่สองพูด

 

[นี่เจ้าอยู่ข้างใครเนี่ย? มันไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องรักษาน้ำใจเธอสักหน่อย? พวกเราก็จะทำต่อไปอยู่ดี]

 

แน่นอนว่าจุดประสงค์ของผมก็คือการนำอัญมณีของตระกูลล็อคเวิดกลับมา

 

มันเป็นเงื่อนไขเพื่อให้รุ่นที่หนึ่งยอมช่วยเหลือผม

 

แต่ความรู้สึกที่ผมต้องการช่วยเธอก็ไม่น้อยหน้าคนอื่นหรอกนะ

 

ครั้งนี้ ที่เหล่าบรรพบุรุษต่างช่วยกันก็เพื่อให้รุ่นที่หนึ่งยอมรับผม และยืนยันเรื่องที่ตระกูลวอลท์จะตอบสนองกับผมเอง

 

“ต-แต่มันก็ไร้ค่าอยู่ดีถ้าพวกโจรหนีไปนะ! ”

 

“…แล้วคุณจะทำยังไงล่ะคะ? ”

 

“เอ๋? ”

 

โนแวมยังคนพูดกับเธออย่างเย็นชา แต่ก็ถูกของเธอนะ

 

“คุณเซลฟี่ตกลงเป็นที่ปรึกษาของพวกเรากับทางกิลด์ด้วยตัวเอง และพวกเราก็จ่ายค่าตอบแทนไปแล้ว

ส่วนตอนนี้พวกเราก็ขอให้เธอไปทำงานอื่นพร้อมกับจ่ายค่าจ้างแล้วนะคะ”

 

“ฉ-ฉันขอโทษจริงๆ แต่ฉันไม่มีเงินพอจะชดใช้…”

 

ตระกูลของคุณล็อคเวิดกำลังตกต่ำ ไม่สิ มันล่มสลายไปแล้วต่างหาก

 

ถ้าพวกเธอมีกำลังมากพอตั้งแต่แรก ก็คงไม่มาขอความช่วยเหลือจากเพื่อนเก่าอย่างคุณเซลฟี่หรอก

 

“คุณทำยังอะไรไม่สำเร็จสักอย่าง ทำไมถึงเอาแต่จับผิดท่านไรเอลล่ะคะ? หรือพอท่านไรเอลทำสำเร็จแล้ว

คุณก็จะมาขออัญมณีจากเขาหรือคะ? ทำไมถึงเห็นแก่ตัวขนาดนี้? ”

 

“ฉ-ฉันแค่…”

 

พอเห็นคุณอาเรียทำหน้าซึมกระทื่อ ผมจึงพยายามเข้าไปหยุดโนแวม แต่รุ่นที่สามก็ห้ามไว้ก่อน

 

[ไรเอล เจ้าปล่อยไปก่อนได้ไหม? แบบนี้มันจะดีกับเด็กสาวอาเรียมากกว่านะ]

 

เมื่อโนแวมเห็นว่าผมไม่ว่าอะไร เธอจึงว่าคุณอาเรียต่อ

 

“ถึงจะโดนหัวเราะเยาะ โดนถากถางมากแค่ไหน ข้าก็จะไม่มีวันหัวเราะใส่ใครสักคนที่พยายามอย่างเต็มที่แน่

คนที่เอาแต่มองอย่างเดียวไม่มีสิทธิ์มาวิจารณ์นะคะ”

 

คุณอาเรียพยายามโต้กลับ

 

“เพราะงั้นฉันถึงมาขอให้ช่วยดีๆ อยู่นี่ไง…คุณคาดหวังให้ฉันทำมันคนเดียวหรือคะ!?

บอกมาสิว่าเด็กผู้หญิงอย่างฉันจะไปทำอะไรได้!?”

 

ผมมองไปที่พวกเธอ

 

รุ่นที่สามแนะนำผม

 

[หนูโนแวมรับบทเป็นนางร้ายแทนเจ้าอยู่ เดิมนั่นเป็นสิ่งเจ้าต้องพูดนะรู้มั้ย ไรเอล]

 

รุ่นที่หนึ่งเสริม

 

[ถูกต้อง! สำเหนียกตัวเองไว้เลยนะไอ้สารเลว! ]

 

รุ่นที่สองจวกรุ่นที่หนึ่ง

 

[นี่ลืมไปแล้วหรือว่าที่พวกเราทำอยู่นี่ก็เพราะเจ้าน่ะ? แล้วก็ลองพูดประโยคเมื่อกี้ใส่กระจกดูนะ]

 

ตรงหน้าผมคุณอาเรียกำลังน้ำตาไหลอาบแก้ม ท่าทางเข้มแข็งของเธอเมื่อครู่หายไปจนสิ้น

 

เธออยากได้มรดกของครอบครัวคืนมา

 

แต่ด้วยตัวเธอคนเดียวมันเป็นไปไม่ได้

 

เธอรู้อยู่แล้ว และผมก็เข้าใจความรู้สึกร้อนรนของเธอ

 

“พวกเราจะไปกันพรุ่งนี้ ถ้าเจ้าเห็นกลุ่มคนที่มารวมกันที่หน้าประตูเมือง นั่นล่ะคือกองกำลังที่จะไปปราบโจร ทำสิ่งที่เธอยากทำเถอะ”

 

พอพูดจบ ผมก็ดึงมือโนแวมเข้าบ้านไป

.

.

.

ตอนเช้าของวันถัดมา

 

ผมพยักหน้าให้กับ เกวียน เสาไม้ และแผ่นกระดานที่รวบรวมมา

 

“แบบนี้ ต่อให้ไกลแค่ไหนก็ไม่มีทางมองผิดไปแน่”

 

[โอ้ ข้าประหลาดใจที่เจ้าหามาได้เยอะขนาดนี้ด้วยเวลาที่จำกัดนะ พวกพ่อค้าก็ดูระวังกันดี]

 

รุ่นที่เจ็ดมองดูของที่บรรจุอยู่ในเกวียน และยืนยันความเรียบร้อยของแผนที่พวกเราเตรียมไว้

 

ที่นี่ กลุ่มนักผจญภัยที่มารวมตัวกันกว่า…130 คน พอมองไกลๆ แล้วมันไม่ต่างจากกองทัพเลย

 

‘ตรงนี้ก็มีอีก 2-3 คน’

 

[….เด็กสาวอาเรียก็อยู่ด้วยนะ]

 

ผมมองไปทางคุณอาเรีย

 

ส่วนโนแวมที่เห็นเธอก็ไม่ได้พูดอะไร แต่เธอดูโล่งอกเล็กน้อย

 

“ไม่ใช่ว่าเธอไม่มาด้วยจะดีกว่าเหรอ? ”

 

โนแวมส่ายหัว

 

“เพราะเธอเป็นคนแบบนั้นน่ะค่ะ ข้าคิดว่าเธออาจจะหลงผิดไปเพราะความเสียใจก็ได้…แต่เหมือนข้าจะคิดมากไปเองนะคะ”

 

ไม่มีงานอะไรให้คนส่วนมากทำ พวกเราตั้งใจจะจ้างพวกเขาเพื่อไปยืนเฉยๆ แค่นั้น ส่วนคนที่ทำงานจริงๆ มีไม่ถึง 1 ใน 10 ด้วยซ้ำ

 

เพราะงานที่ต้องทำแค่ยืนอยู่กับที่ ทำให้มีคนมารวมกันมากมาย

 

แต่จำนวนก็น้อยกว่าที่ผมคิดไว้ด้วยเวลาที่จำกัด

 

[เจ้าเข้าใจใช่มั้ย ไรเอล? สงครามกำลังจะเริ่มแล้ว]

 

ผมพยักหน้าให้กับคำพูดของรุ่นที่เจ็ด

 

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ”

 

โนแวมพยักหน้าให้ผมเช่นกัน

.

.

.

ที่เหมืองร้างใกล้ๆ เมืองเดลลีน

 

มีชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนลังไม้พร้อมกับกองสมบัติด้านหลัง

 

ในมือของเขามีอัญมณีสีแดงอยู่

 

“ข้าได้ของดีมาซะแล้วสิ เพราะมันข้าถึงกำจัดมอนสเตอร์ทั้งหมดในนี้ได้”

 

เขาเป็นชายร่างสูงใหญ่กว่าสองเมตร และมีเคราหยิกเฟิ้ม

 

ลูกน้องทั้ง 23 คนตรงหน้ามองมาที่เขาพร้อมกับหัวเราะ

 

“ตามที่หัวหน้าคาดไว้เลย แต่ข้าไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าลูกคุณหนูอย่างมันจะเข้ามาหาเราตรงๆ ”

 

พอได้ยินแบบนั้น ชายร่างใหญ่ก็หัวเราะอย่างร่าเริงแล้วพูดกับลูกน้องเรื่องกองกำลังปราบปราม

 

“หลังไปประกาศที่กิลด์ซะขนาดนั้นพวกมันต้องมาแน่ แถมมันยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไส้ศึกของข้าอยู่  

ให้พวกมันมาสู้ตามที่ต้องการเลยด้วยกำลังที่เปราะบางแบบนั้นแหละ”

 

ข้อมูลกลุ่มของไรเอลหลุดมาหาพวกเขาแล้ว

 

ที่จริงพวกเขามีกันอยู่ 26 คน แต่อีก 3 คนที่เหลือตอนนี้กำลังปะปนอยู่ในกลุ่มนักผจญภัยของเดลลีน

 

มันมาจากตอนพี่พวกเขาไปซื้อเสบียงในเมืองแล้วรู้ข่าวเรื่องกลุ่มของไรเอล

 

สิ่งที่พวกเขารู้คือนักผจญภัยส่วนใหญ่ที่มาถือแค่ท่อนไม้และโล่ไม้เป็นอาวุธ…และในหมู่นักผจญภัยไม่มีใครที่ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญเลย

 

“พวกมันน่าจะวางแผนโดยใช้จำนวนที่มากกว่าบังคับให้พวกเรายอมจำนน…แต่พวกเราจะไม่ยอมมาจบสิ้นในที่แบบนี้หรอก”

 

ชายร่างใหญ่มีความทะเยอทะยานอยู่

 

เขาต้องการเปลี่ยนจากโจรเป็นผู้นำของทหารรับจ้าง

 

ในอดีต มันมีทหารรับจ้างมากมายที่ก้าวหน้าจนกลายเป็นเจ้าเมืองได้ เขาต้องการเป็นหนึ่งในนั้น

 

เขาออกท่องไปในเดลลีน และสร้างเส้นสายมากมายกับชาวเมือง

รวบรวมกำลังคนอย่างช้าๆ และขายสมบัติที่ปล้นมาได้ เพื่อเป็นเงินทุนในแผนต่อไป

 

เหตุที่พวกเขาไม่เคยปล้นที่เดลลีนเลย ก็เพราะพวกเขาตั้งใจจะใช้ชีวิตทหารรับจ้างที่นั่น

 

และสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อให้ไปถึงจุดหมายนั้น ตอนนี้พวกเขาก็ได้มันมาอยู่ในมือแล้ว

 

“ตราบใดที่พวกเรามีอัญมณีนี้อยู่ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว ถ้าไอ้เด็กหัวฟ้านั่นมันจะมา พวกเราก็แค่เด็ดหัวมันซะ”

 

“หัวหน้า! เด็กสาวที่อยู่กับมันใช้ได้เลยนะครับ! ”

 

เมื่อได้ยินที่ลูกสมุนพูด ชายร่างใหย่ก็ยิ้ม

 

“ข้ารู้! พอข้าลิ้มรสนางเสร็จ ข้าจะให้พวกเจ้าชิมด้วย”

 

“ฮี่ฮี่ ขอขอบคุณ ข้าสนนางตั้งแต่เห็นที่กิลด์แล้ว”

 

พวกสมุนที่แทรกซึมเข้าไปในกิลด์ก็คอยแจ้งสิ่งที่ไรเอลทำอยู่ด้วย

 

พวกเขาเลยจะถือโอกาสนี้สร้างชื่อตัวเองขึ้นมา

 

“พวกมันกำลังจะมาให้โอกาสพวกเราเฉิดฉายแล้ว พวกแกเอาหน่อยโว้ย! ”

 

““โอ้วว! ””

 

เหล่าโจรมีขวัญกำลังใจเต็มเปี่ยม

 

เหตุก็เพราะอัญมณีสีแดงที่ชายร่างใหญ่กำแน่น ในนั้นมีสกิลการต่อสู้ระยะประชิดบันทึกไว้อยู่มากมาย

 

แน่นอนว่ามันคือมรดกอันล้ำค่าที่ตกทอดกันมารุ่นสู่รุ่นในตระกูลล็อคเวิด

 

…และพวกโจรกำลังรอคอยการมาถึงของไรเอลอยู่

 

 

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset