(น้ำเยอะ เพราะทวนเนื้อเรื่องนะครับ)
—
หลังจากผ่านเรื่องทั้งหมดมา ผมก็นั่นทานข้าวเย็นที่ค่อนข้างเลทกับเด็กผู้หญิงสองคนตรงหน้า
‘ม-ไม่รู้รสชาติเลย’
ผมเริ่มกังวลกับสถานการณ์นี้แล้วสิ
จากที่เป็นทายาทตระกูลเคานต์อยู่ดีๆ ก็โดนไล่ออกมา
พอเสียทุกอย่างไป และคิดว่าจะออกจากบ้านเกิดมาเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการเป็นนักผจญภัย
{โนแวม ฟ็อกซ์} อดีตคู่หมั้นของผม บุตรีคนที่สองของตระกูลบารอน และเพื่อนสมัยเด็ก ก็ติดตามผมมาด้วย
เธอเป็นคนที่ไม่เหมาะกับผมเอาซะเลย
ไม่ใช่ว่าเธอน่ากลัวหรืออะไรนะ
แต่เพราะเธอทั้งขายสินสอดทองหมั้นที่เตรียมไว้แต่งงานกับผมไปเสียหมด และเอาเงินที่ได้มาใช้เพื่อให้ผมตั้งตัวเป็นนักผจญภัยอีก
ทั้งดูแลผมที่อ่อนต่อโลก
ทั้งใจดี และสวยสง่า
ทั้งเส้นผมสีน้ำตาลสดใสโพนี่เทลมัดข้างของเธอ และริมฝีปากอมชมพูที่กำลังสัมผัสช้อนที่กินข้าวอยู่ตอนนี้
ขณะรับประทานอาหารอย่างเงียบๆ ดวงตาสีฟ้าของเธอกำลังจดจ่ออยู่กับมื้ออาหารที่เป็นขนมปัง ซุป และเนื้อย่างราคาประหยัดบนโต๊ะ
“ท่านไรเอล ไม่ถูกปากหรือคะ? ”
เมื่อเธอรู้ตัวว่าผมมองอยู่ โนแวมก็แสดงความเป็นห่วงออกมา
“ม-ไม่ใช่หรอก!”
ผมรีบหันกลับมากินอาหารตรงหน้าตัวเอง และมองไปยังเด็กสาวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับโนแวมไปด้วย
ผมสีแดงยาวประหลังปลายม้วน ดวงตาสีม่วงที่กำลังลุกลี้ลุกลนอยู่ไม่สุข
{อาเรีย ล็อคเวิด} เด็กสาวไร้บ้าน
แน่นอนว่ามาจากคนละกรณีกับผม
เพราะพ่อของเธอดันไปติดต่อกับกองโจรที่เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในเหมืองร้างใกล้ๆ เมืองเดลลีน
และคอยสนับสนุนพวกมันอีกต่างหาก
ทั้งๆ ที่เดิมทีเป็นถึงตระกูลเคานต์ และขุนางชั้นผู้บริหารของรัฐบาลแท้ๆ
พ่อเด็กคนนี้…พ่อของอาเรียกลับพังประวัติศาตร์อันยาวนานของตระกูลลงไปได้ในชั่วอายุคนเดียว
แถมยังเอามรดกของตระกูลไปขายแดกอีก
และผมที่แสดงบทบาทเป็นขุนนางผู้ตกต่ำงี่เง่า ก็คือคนที่ไปทวงมรดกนั้นคืนมาจากพวกโจรด้วยเงินทุนจากเจ้าเมืองนั่นเอง
“ฮ่า ดีจังเลย”
เมื่ออาเรียบอกแบบนั้น โนแวมก็ดูมีความสุข และอธิบายจานอาหารตรงหน้า
“ฉันใช้สาเกหมักให้เนื้อนุ่มขึ้น ดีใจที่คุณชอบนะคะ”
แต่ผมไม่ได้ช่วยอาเรียเพราะผมชอบเธอนะ
ไม่ใช่แน่ๆ
แต่นั่นกลับเป็นเหตุผลที่เธอมาอยู่ในบ้านของผมกับโนแวมล่ะ
พ่อของอาเรียตอนนี้กำลังถูกลงโทษจากเจ้าเมืองอยู่ และเธอก็ถูกไล่ออกจากที่อยู่ปัจจุบัน
ตามปกติเธอคงไม่พ้นต้องเป็นโสเภณีแน่ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุผลที่ว่าล่ะก็นะ….
“นี่มันอร่อยกว่าที่ฉันเคยทำเองซะอีก..”
โนแวมปลอบอาเรียที่กำลังเศร้า
“ถ้าคุณชอบ จะให้ฉันสอนวิธีทำก็ได้นะคะ”
“ฉ-ฉันขอรบกวนหน่อยนะ”
…เพราะเจ้าเมือง ท่านเวนตราไม่อยากลงโทษเธอแบบนั้น จึงโยนมาให้ผมรับผิดชอบแทน
‘แบบนี้ ผมก็ดูเหมือนคนเจ้าชู้น่ะสิ!? ‘
ทั้งๆ ที่โนแวมเธอดีกับผมขนาดนี้ ผมกลับพาผู้หญิงที่ถูกใจใช่เลยเข้าบ้านมาเพิ่ม
แต่ที่ผมยอมให้เธอมาอยู่ด้วย ไม่ใช่เพราะชอบเธอหรือรู้สึกผิดถ้าทิ้งเธอไปอะไรหรอกนะ
มันมีเหตุผลที่ลงตัวอยู่
พอเรื่องมันลงล็อคดังว่า ผมจึงชิงสารภาพรักกับโนแวมก่อน แต่เธอกลับยินดีรับอาเรียเข้ามาซะงั้น
เธอตอบกลับคำสารภาพรักของผมว่า…
{ข้ารู้สึกปลิ้มปิติกับความรู้สึกของท่านจริงๆ ค่ะ แต่ถ้าข้าแต่งงานกับท่านไรเอล มันจะไม่ดีต่อคุณอาเรียที่มาอยู่ด้วยเอานะคะ
เอาไว้ถึงเวลาที่ท่านไรเอลกลายเป็นนักผจญภัยชั้นนยอดแล้วรับพวกเราทั้งสองคนไว้..}
…เธอผู้มาประมาณนั้นล่ะ
‘ไหงพอเราสารภาพความรู้สึกออกไปแล้ว เรื่องมันกลับวนมาที่จุดเริ่มต้นกัน?
และเราไม่เคยคิดเลยว่าโนแวมจะเป็นคนบอกเองว่าอยากให้เรามีฮาเร็มน่ะ! ’
และเรื่องนั้นก็มาจากคำที่ผมเคยพูดเอาไว้เพื่อเธอไล่เธอกลับไป เมื่อตอนเริ่มออกเดินทางซะด้วย
{ข้าจะเป็นนักผจญภัย สร้างฮาเร็ม และใช้ชีวิตให้เต็มที่ไปเลย}
ผมเคยพูดไว้ราวๆ นั้น
และโนแวมก็ไปศึกษาต่อเอง จนกลายเป็น
{นักผจญภัยที่จะมีฮาเร็มได้ต้องขึ้นเป็นชั้นหนึ่งก่อน และถ้าจะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างสบายๆ ก็ต้องเป็นหัวกระทิในหมู่หัวกระทิ}
และประมวลผลออกมาเป็นสิ่งที่เธอเข้าใจว่า
{เป้าหมายของท่านไรเอลคือ การเป็นนักผจญภัยที่ยอดเยี่ยมมที่สุดให้ได้เล้ย}
มันไม่ใช่ละ
ปกติแล้วเธอเป็นคนที่ไหวพริบดี ผมจึงไม่เข้าใจเลยว่าเธอเข้าใจแบบนั้นไปได้ไงกัน
‘คิดว่าถ้าทำให้เธอเห็นว่าเราเป็นคนที่ไร้ค่าแล้วเธอจะยอมกลับไปเสียอีก
แต่เธอกลับติดตามมา…คอยรับใช้ และยึดถือคำพูดของเราอย่างสุดหัวใจ’
แม้กระทั่งตัวผมเองที่ลืมไปแล้ว เธอก็ยังจำคำพูดพวกนั้นได้อยู่
แต่ผมอยากบอกเธอจริงๆ นะ…
ว่าผมไม่ได้ตั้งใจพูดน่ะ
‘อ่า แล้วเราก็มีพวกเขาอยู่ด้วย…ในอัญมณีนี้ ‘
อัญมณีล้ำค่านี้คืออัญมณีที่สมบูรณณ์แล้ว
จากอัญมณีที่สามารถบันทึกทักษะได้เพียงทีละทักษะ
ถึงความรู้นี้จะไม่แพร่หลายในปัจจุบัน แต่พอบันทึกทักษะไปเรื่อยๆ จนครบแปดสกิล อัญมณีก็จะสมบูรณ์ในที่สุด
และเรียกว่าอัญมณีล้ำค่า ( Gem กลายเป็น Jewel )
ซึ่งอัญมณีสีน้ำเงินที่ผมมีอยู่นี้ ก็บันทึกสกิลของผมเองที่ยังไม่รู้เอฟเฟค
และสกิลของเหล่าผู้นำทั้งเจ็ดคนของตระกูลวอลท์ผ่านยุคสมัยที่ผ่านมาเอาไว้
แต่ปัญหาก็คือ…
[หนูอาเรียน่ารักจริงๆ…ช่างน่าสงสารที่เธอถูกไอ้แก่บ้านั่นทรมาน และถูกไล่ออกมาจากบ้านน่ะ]
เสียงห้าวๆ ของ {บราซิล วอทล์} ผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์ ดังออกมาจากในอัญมณี
[เจ้าก็ไปส่งกระจกเอาสิ! จะได้เห็นไอ้แก่บ้าๆ อีกคนสะท้อนกลับมาน่ะ! ]
เสียงท้าไผว้กับรุ่นที่หนึ่งดังสวนขึ้นมา
มันเป็นของ {คลาสเซล วอลท์} ผู้นำตระกูลรุ่นที่สอง
ชายในลุคนักล่า รุ่นที่สองถือว่าค่อนข้างธรรมดาในประวัติศาสตร์ของตระกูล
เริ่มต้นมาจากรุ่นที่หนึ่งที่ออกบุกเบิกดินแดน ก่อตั้งหมู่บ้าน และขึ้นเป็นเจ้าเมือง คือการเริ่มต้นของตระกูลวอลท์
ต่อด้วยรุ่นที่สามผู้ประกาศชื่อของตัวเองด้วยการพาทัพของกษัตริย์ถอยทัพ ในสงครามกับมหาอำนาจของดินแดนอื่นจนประสบความสำเร็จ
และเรื่องราวการเสียสละในสนามรบครั้งนั้นของผู้นำรุ่นที่สาม {สเลน วอทล์} ก็ยังคงถูกกล่าวสรรเสริญมาจนถึงทุกวันนี้
เมื่อเทียบกับเรื่องราวพวกนั้น รุ่นที่สองจึงไม่ค่อยโดดเด่นเป็นธรรมดา
…ซึ่งต่างกับความจริงโดยสิ้นเชิง
เพราะวิธีขยายดินแดนสั่วๆ และการชักชวนคนป่ามาเป็นประชากรด้วยกำลังจนศิโรราบของรุ่นที่หนึ่ง
รุ่นที่สองที่ดูธรรมดานี้แหละ ที่คอยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นภายหลังจนสร้างรากฐานที่มั่นคงให้แก่ตระกูล และผลิดอกในผู้นำรุ่นต่อๆ มา
ซึ่งน่าเสียดายที่คุณงามความดีของเขาไม่ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์เลย
‘…วันนี้รุ่นที่สองเกรี้ยวกราดกว่าปกติแฮะ’
สกิลที่ถูกบันทึกเอาไว้ในอัญมณีจะมีอัตตาเป็นของตัวเอง โดยยึดตามความทรงจำของบรรพบุรุษที่เคยใช้มัน
แล้วอัตตาที่ว่าก็ดันตื่นขึ้นมาในตอนที่สกิลของผมตื่นขึ้น และอัญมณีพัฒนาเป็นอัญมณีล้ำค่านั่นเอง
ซึ่งอัญมณีล้ำค่านี้มัน…
[วันนี้พวกเขากระปี้กระเปร่ากันดีนะ]
รุ่นที่สามมองรุ่นที่หนึ่งกับสองทะเลาะกันอย่างมีความสุข
ถูกนับว่าใช้งานทุกครั้งที่ผมได้ยินเสียงของพวกเขา
…และเสียพลังเวท แม้แต่ตอนที่ผมยังไม่ได้ใช้สกิลด้วยซ้ำ!
‘พวกคุณใจเย็นลงหน่อยเถอะ…’
คงเพราะการวิวัฒนาการที่ว่าทำให้อัตตาของสกิลสามารถควบคุมการใช้งานของตัวเองได้
ทำให้ผมต้องยอมช่วยเหลืออาเรียเพื่อให้ได้รับอนุญาตในการใช้สกิลของเขาคนนั้น
แล้วทำไมถึงต้องช่วยอาเรียงั้นหรือ?
เพราะอาเรียคือคนที่คล้ายรักแรกของรุ่นที่หนึ่งไงล่ะ
ผมใช้สกิลที่ได้รับอนุญาตมาในการปราบกองโจรเพื่อเติมเต็มข้อตกลง
และสกิลของเขายังทำให้ผมใช้สกิลของบรรพบุรุษคนอื่นได้อีกด้วย
ยกเว้นสกิลของรุ่นที่สามและเจ็ดที่ยังเกิดความสามารถของผมไป และอาจรับภาระของสกิลไม่ไหวจึงถูกห้ามไว้
‘พวกเขาไม่ใช่มรดกของตระกูลวอท์หรอก น่าจะเป็นของต้องสาปอะไรเทือกนั้นซะมากกว่า’
ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ผมก็ทำอะไรกับพวกเขาไม่ได้อยู่ดี นอกจากจะมองค่าอัญมณีเม็ดนี้ต่ำลงไปทุกวันๆ ล่ะ
.
.
.
สุดท้ายเรื่องก็จบลงด้วยการที่ผมยอมให้อาเรียมาอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่พวกเราต้องการคนมาช่วยต่อสู้
จึงลงเอยด้วยการพาเธอไปสมัครเป็นนักผจญภัย
และอาเรียเองก็รู้สึกไม่ดีที่เอาแต่ได้รับความช่วยเหลือจากพวกเราอย่างเดียว เธอจึงยอมตกลง
“เอาล่ะ ปาร์ตี้ของคุณลงทะเบียนเสร็จแล้วครับ โปรดจำไว้ว่าถึงคุณจะเพิ่มคุณอาเรียเข้ามาด้วย
แต่ก็ต่อระยะเวลาสัญญากับคุณเซลฟี่เพิ่มไม่ได้นะครับ”
ชายกล้ามผมแดงผิวเข้ม…พนักงานกิลด์ฮาวกิ้นบอกกับพวกเรา และอาเรียที่กำลังประหม่า
ถึงรูปลักษณ์จะดูน่ากลัว แต่เขาทำงานด้วยความปราณีตเรียบร้อย และถือว่าค่อนข้างเชี่ยวชาญคนนึงในกิลด์นักผจญภัยเดลลีน
“ค-ค่ะ! “
พออาเรียได้รับกิลด์การ์ด คุณเซลฟี่ก็ทักเธอ
“อย่าประหม่าเกินไปสิ ท่านมีเรื่องอื่นให้กังวลอีกเยอะ แล้วถ้าข้าจะเลิกยกย่องท่านในเวลางานจะว่าอะไรไหมคุณหญิงอาเรีย? “
คุณเซลฟี่ที่ปรึกษาจากกิลด์ของเราในตอนนี้ เคยทำงานรับใช้ตระกูลล็อคเวิดมาก่อน
เธอเป็นคนที่สอนพื้นฐานการเป็นนักผจญภัยให้พวกเราที่ทั้งสับสนไร้ที่พึ่ง และออกจากบ้านเกิดมา
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการแต่งงาน เธอจึงออกจากปาร์ตี้ที่เคยอยู่ และมารับสอนนักผจญภัยหน้าใหม่แทน
…นั่นคือหน้าฉาก
ถึงการแต่งงานจะเป็นเรื่องจริง แต่เบื้องลึกของเธออีกอย่างคือการเป็นนักผจญภัยที่ขึ้นตรงกับเจ้าเมือง ท่านเวนตรา
ในเดลลีนเมืองที่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นนี้ เธอถือว่าเป็นคนที่มีความสามารถสูงคนนึง
“เอาล่ะ ในเมื่อเจ้าได้สมาชิกคนที่สามมาแล้ว ข้าจะเริ่มสอนเธอจากพื้นฐานก่อน
คุณหญิ…ไม่สิ อาเรีย ข้าจะสอนเธอที่ห้องรับรองของกิลด์ แล้วสำหรับพวกเจ้าทั้งสองคน ข้าจะให้ไปรับคำร้องทั่วไปเหมือนเดิม”
ผมทำหน้าเซ็ง
“พ-พวกเรายังต้องทำอยู่อีกเหรอ? ”
โนแวมมองผมด้วยสีหน้าลำบากใจ และเธอให้กำลังใจผม
“ท่านไรเอล มาพยายามด้วยกันเถอะค่ะ”
คุณเซลฟี่ยิ้มตอบผมกลับมา
คงเพราะพวกเราแอบหลอกเอาเงินจากนายจ้างของเธอมานิดหน่อย ทำให้คุณเซลฟี่ถูกเจ้าเมืองใช้งานหนักขึ้น เลยจะมาแก้แค้นกระมัง
“ไรเอลน่าจะเสร็จคำร้องพวกนั้นไม่เกินช่วงเช้านะ แล้วค่อยไปหาซื้ออุปกรณ์ต่อ เพราะดาบสำรองเจ้าพังไปแล้วนี่? ”
“…ใช่ครับ”
ดาบของผมพังไปเมื่อตอนที่สู้กับหัวหน้าโจร ผู้ถืออัญมณีสีแดงที่บรรจุสกิลสำหรับสู้ระยะประชิดไว้มากมาย
ตอนแรกผมคิดว่ามันจะซ่อมได้ แต่ช่างตีเหล็กกลับบอกให้ผมซื้อใหม่จะดีกว่า
“ตอนนี้เจ้ามีเงินแล้วน่าจะหาอันดีๆ ได้บ้างแหละ อาเรียไปชั้นบนกันเถอะ บอส ฝากอธิบายคำร้องกับพวกเขาด้วยนะ”
คุณเซลฟี่พาอาเรียจากไป
ส่วนคุณฮาวกิ้นก็นำเอกสารคำร้องขึ้นมา
“…งานพวกนั้นอีกแล้วเหรอ? ”
คุณฮาวกิ้นให้กำลังใจผมที่ไหล่ตก
“พ่อหนุ่มไรเอลอย่าเศร้าไปสิ งานพวกนี้ก็สำคัญนะ เวลาที่เธอย้ายสาขากิลด์พวกเขาจะดูพฤติกรรมของเธอจากบันทึกคำร้องพวกนี้ล่ะครับ”
พวกเราจะอยู่ที่เดลลีนไม่นานนัก
เพราะเมื่อความสามารถของพวกเราเพิ่มขึ้น…ผมคิดว่าเมืองที่พวกเราอยู่ก็คงจะเปลี่ยนตามไปด้วย
“ใช่แล้วค่ะ ท่านไรเอล งานสุจริตพวกนี้ก็สำคัญนะคะ มาพยายามด้วยกันเถอะค่ะ”
โนแวมยิ้มให้ผม
คุณฮาวกิ้นพูดขัด
“อ่า งานของคุณโนแวมคืองานเลขาจนถึงถึงเที่ยง ส่วนพ่อหนุ่มไรเอลก็เป็นงานใช้กรรมกรนอก พวกคุณต้องแยกกันนะครับ”
“ม-ไม่นะ! ได้โปรดให้ฉํนไปทำงานกรรมกรด้วยเถอะค่ะ! “
พอเธอพูดแบบนั้น เสียงจากอัญมณีก็ดังขึ้น
เหล่าผู้แคร์ตระกูลฟ็อกซ์ของโนแวมอย่างยิ่งยวด แสดงตวามเลือกที่มักรักที่ชังกับโนแวมทันที
[หนูโนแวมเนี่ยนะไปใช้แรงงาน!? เอ็งต้องล้อข้าเล่นแน่ๆ ! ]
เมื่อรุ่นที่หนึ่งเปิด รุ่นที่สองก็ตาม
[ไรรเอลถึงเวลาที่เจ้าจะแสดงความเป็นลูกผู้ชายออกมาแล้ว]
รุ่นที่สามก็เช่นกัน…
[หนูโนแวมเป็นเด็กดีจริงๆ เอาล่ะ ไรเอลพูดอะไรสักอย่างสิ]
รุ่นที่สี่…
[เจ้าจะไม่ปล่อยหนูโนแวมไปทำงานแบบนั้นอยู่แล้วใช่มั้ย ไรเอล? ]
พวกเขาขู่ผม
‘…พวกคุณ…ผมก็ทำเหมือนกันนะ…’
ส่วนรุ่นที่ห้าลงไปไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับเธอเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นแค่ตระกูลสาขาล่ะ
รุ่นที่ห้ากล่าว
[การให้เด็กผู้หญิงไปทำงานประเภทนั้นมันไร้ประสิทธิภาพ]
รุ่นที่หกก็มีความเห็นคล้ายกัน
[ใช่ เธออาจะไปเกะกะเจ้าก็ได้]
ส่วนรุ่นที่เจ็ด ปู่ของผม…
[ให้ไรเอลไปทำงานกรรมกรมัน…ไม่เหมาะสมกับสายเลือดราชวงศ์ของเขาเลยนะ]
เศร้ากับผม เขาคือท่านปู่ที่ใจดีกับหลานล่ะ
ผมมองไปที่โนแวม
“ข-ข้าไม่เป็นไรหรอก ไว้ตอนเที่ยงค่อยไปช้อปปิ้งด้วยกันนะ”
เธอยังคงกังวลเล็กน้อย
“ท่านไรเอล อย่าหักโหมเกินไปนะคะ ข้าขอตัวไปทำงานเอกสารก่อน”
เพราะอัญมณีดูพลังเวทของผมจะเป็นจะตาย จนทำให้คนรอบข้างคิดว่าผมร่างกายอ่อนแอซะงั้น
ทำให้โนแวมกังวลกับผมทีเคยสลบไปแล้วหลายครั้งเสมอมา
‘…บางทีก็รู้สึกว่าอัญมณีนี่ มันไม่เหมาะกับเราเอาซะเลย’
ผมอยากจะตะโกนออกไปให้โลกรู้ ว่าข้าไม่ผิดโว้ย เสียจริงๆ
—