22เลเวลอัพ
(ทำไมไม่ใช้คำนี้ไปเลยฟ่ะ?)
—
รุ่งเช้าในวันหยุดพักผ่อน ผมเดินทางไปที่ห้องสารานุกรมของกิลด์
ขอเพียงมีกิลด์การ์ดอยู่ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้ามาใช้ห้องนี้ได้
ที่นี่มีข้อมูลของมอนสเตอร์ และวัตถุดิบมากมายให้ทำการค้นคว้า
รวมถึงหนังสือที่บันทึกความรู้จำเป็นสำหรับนักผจญภัยก็ด้วย
“อ่า นี่ล่ะ”
ผมคว้าหนังสือเล่มหนา
ซึ่งเหตุที่วันหยุดของผมต้องมาลงเอยที่นี่ ก็เพราะรุ่นที่สอง
[ไรเอล ความรู้ของพวกเรามันล้าหลังเกินไป ไม่ใช่ว่าพวกเราสอนเจ้าไม่ได้นะ แต่ก่อนอื่นเจ้าควรไปหาอ่านหนังสือสารานุกรมสมัยใหม่สักเล่มก่อน
ไม่สิ ต้องไปหาอ่านทันทีเลย ไม่งั้นแย่แน่]
คำพูดของรุ่นที่สองทำให้ผมนึกถึงเรื่องน่าเศร้า
เพราะพอผมถามโนแวมเกี่ยวกับการเติบโตหลังตื่นขึ้นมา เธอก็ทำจานในมือทั้งหมดตกลงพื้นหมด
ยังดีที่จานพวกนั้นเป็นไม้ แต่ใบหน้าของโนแวมที่กำลังจะร้องไห้ทำให้ผมกลืนคำพูดพวกนั้นลงไปทันที
‘ทำไมเธอถึงร้องไห้กันนะ? ’
และที่ คลาสเซล วอลท์ รุ่นที่สอง มากับผมในวันนี้ เพราะเขาคือคนที่ใช้ข้อมูลจากตระกูลฟ็อกซ์เป็นหลัก
ในการตั้งขนบธรรมเนียมรากฐานทั้งหลายของตระกูลขุนนางวอลท์อันสูงศักดิ์ขึ้นมา
อย่างธรรมเนียมในการส่งลูกหลานเหลนโหลนออกไปล่ามอนสเตอร์ ก็เพื่อการันตีการเติบโตให้ง่ายขึ้น
น่าจะนะ เพราะผมไม่เคยทำน่ะ
แล้วก็การเติบโตจากวิธีนี้ ถือเป็นเรื่องของไสยศาสตร์
เพราะต่อให้ใช้ชีวิตประจำวันไปตามปกติก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน
ซึ่งความแตกต่างที่ว่าก็ไม่เหมือนกันเลยในแต่ละคน ทำให้ถูกสรุปไว้ว่าเป็นเรื่องของพรสวรรค์ที่แต่ละคนมีล่ะ
ในบรรพบุรุษตั้งแต่รุ่นที่สี่ขึ้นไป ก็จะได้เรียนรู้ในการนำผู้คน ขัดเกลาความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และความสารมารถของกองกำลังเพื่อทำสงครามจากธรรมเนียมนี้
แต่พอหลังรุ่นที่ห้าลงมา ธรรมเนียมนี้ก็จะกลับไปสู่อะไรที่เรียบง่ายอย่าง การอยู่เฉยๆ แล้วปล่อยให้ลูกน้องเป็นคนออกไปล่ามอนสเตอร์แทน
[ข้าไม่คิดเลยว่า สเลน รุ่นที่สาม จะพลาดในการส่งต่อใจความสำคัญของธรรมเนียมนี้ซะได้]
ภูมิปัญญาที่เกี่ยวกับการเติบโตถูกฝังไปกับรุ่นที่สามที่ตายในสนามรบ…ไม่สิ มันถูกส่งไปแค่เปลือกนอก แต่ไม่ได้เอาใจความสำคัญตามไปด้วยล่ะ
รุ่นที่สี่ที่ขึ้นมาเป็นผู้นำตั้งแต่ยังหนุ่มก็ถูกท้วงเรื่องนี้ จนทำให้เขายังรักษามันไว้ในฐานะประเพณีสืบต่อไป
ผมนั่งลงบนเก้าอี้ใกล้ๆ และเปิดหนังสือบนโต๊ะ
[‘ความสอดคล้องของการเติบโตจากการล่ามอนสเตอร์’….ดูเหมือนพวกเขาจะมีกรณีศึกษาให้ 2-3 แบบนะ]
ในหนังสือนี้เป็นตัวอย่างที่กิลด์รวบรวมมา และตามด้วยการตีความจากผู้เขียน
การเปลี่ยนแปลงอย่างกระทันหันของความรู้สึกและร่างกายจะถูกเรียกว่าการเติบโต
ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกศึกษามายาวนานตั้งแต่อดีตแล้ว
ตอนที่ผมกำลังจะเปิดกระดาษไปที่หน้าถัดไปนั้นเอง
[หยุดก่อนไรเอล! ข้าแปลกใจจริงๆ ที่เจ้าอ่านได้เร็วขนาดนั้น]
ผมมองไปรอบๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครเห็นผมพูดตอบ
ดูแล้วห้องสมุดนี้ไม่ค่อยมีนักผจญภัยมาใช้เท่าไหร่
“อืม ก็ชีวิตของข้าส่วนใหญ่ใช้ไปกับการอ่าน ซ้อมเวทมนต์ แล้วก็แกว่งดาบล่ะ”
แน่นอนว่าผมหมายถึงหลังจากที่โดนครอบครัวเทนะ
พอลองนึกดู เหมือนผมถูกขังอยู่ในคฤหาสน์เลยแฮะ
[มันก็มีข้อมูลที่พอใช้ได้อยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับที่ข้ารู้แล้ว มันต่างกันอยู่หน่อย]
เมื่อเขาพูดแบบนั้น ผมจึงอธิบายเรื่องการเติบโตตามที่ผมรู้มา
ทฤษฎีที่มีอยู่ในปัจจุบันมาจากประสบการณ์อันหลากหลายที่มนุษย์ใช้ชีวิตพบเจอมา
และประสบการณ์เหล่านั้นเมื่อถึงจุดนึงก็ผลิดอกออกผลในปรากฎการณ์ที่เรียกว่า การเติบโต
เพราะแบบนั้น การออกไปต่อสู้กับมอนสเตอร์ด้วยตัวคนเดียว จึงได้แค่ประสบการณ์เพียงด้านเดียวและไม่ได้ช่วยให้การเติบโตง่ายขึ้นเลย
มันซับซ้อนนิดหน่อย แต่มันเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การเอาชนะมอนสเตอร์ แต่เป็นการเก็บประสบการณ์หลายๆ ด้านรวมกันต่างหากที่ทำให้การเติบโตขึ้น
“มันผิดงั้นหรือครับ? ”
[ไม่ ก็ไม่ผิดหรอก แต่…การล่ามอนสเตอร์มีส่วนช่วยเร่งการเติบโตขึ้นแน่ๆ เพราะอย่างน้อย ข้าก็จำได้ว่าเคยเติบโตมาแล้วถึงเก้าครั้งเชียวนะ]
9 ครั้ง ถ้าเทียบกับคนปกติที่เติบโตครั้งสองครั้งแล้ว ถือว่ามากผิดปกติ
แม้แต่นักผจญภัยชั้นยอดของกิลด์ส่วนใหญ่ก็ยังเคยเติบโตมา 4 ถึง 5 ครั้งเอง
“คุณปู่…อย่างรุ่นที่เจ็ดก็เคยผ่านสนามรบมาแล้วนี่? ”
รุ่นที่สองคาดการ
[แบบนั้นมันก็ได้แหละ แต่มันต่างกับการล่ามอนสเตอร์นะ ยิ่งเป็นตัวที่แข็งแกร่งกว่า ข้ายิ่งรู้สึกว่าเติบโตเร็วขึ้นน่ะ]
“ศัตรูที่แข็งแกร่งกว่างั้นหรือครับ? ”
ถ้าตามที่รุ่นที่สองกล่าว การต่อสู้กับศัตรูที่แข็งกว่าจะทำให้เกิดการเติบโตเร็วขึ้น
[แน่นอนว่าการล่ามอนสเตอร์อ่อนๆ จำนวนมากก็ได้ผลแบบคล้ายกัน ในยุคของข้า การที่ทหารแต่ละคนที่สู้ในศึกเดียวกัน
แต่กลับมีการเติบโตไม่เท่ากันมันเป็นปัญหาจนทำให้ข้าต้องจดบันทึกมันอย่างจริงจังเลยล่ะ]
การได้รับตำแหน่งผู้นำจากรุ่นที่หนึ่งอย่างกระทันหันโดยไม่มีความรู้อะไรเลย ทำให้รุ่นที่สองรู้สึกประหลาดใจกับสิ่งที่ค้นพบ
ยิ่งตระกูลวอลท์ในตอนนั้นที่ยังอยู่รวมกันได้ จากเสนห์ของรุ่นที่หนึ่งเพียงอย่างเดียวด้วยแล้ว
เพราะแม้เขาจะมีลุคคนเถื่อน แต่นั่นทำให้เขาถูกเคารพนับถือจากคนประเภทเดียวกันล่ะ
[ถึงจะได้ประสบการณ์เท่ากัน แต่อัตราความเร็วในการเติบโตก็เป็นเรื่องของแต่ละคนไป
บางคนถึงจะได้รับประสบการณ์ในเวลาเดียวกันแต่ก็มีแค่ไม่กี่คนที่เติบโต ยิ่งในกรณีที่แย่ที่สุด ข้าแทบไม่รู้สึกถึงการเติบโตจากพวกเขาด้วยซ้ำ]
มันไม่ใช่การพัฒนาอย่างรวดเร็ว
สรุปก็คือ…เหตุการณ์ที่เราก้าวข้ามกำแพงที่ไม่เคยผ่านมาก่อนได้
นั่นแหละ คือการเติบโตล่ะ
“แล้วข้าเป็นประเภทไหนล่ะครับ? ”
[มันแล้วแต่คนน่ะ ข้าเลยพูดได้ไม่เต็มปาก…แต่เจ้าจะรู้ได้ด้วยตัวเอง และการที่เจ้าไม่เคยเติบโตมาก่อนถือว่าน่าตกใจเลยล่ะ]
รุ่นที่สองฟังผมสิ่งที่ผมพูดอย่างประหลาดใจ
เพราะเรื่องนี้คือที่ทุกคนต้องเจอ
แม้แต่เด็กๆ ก็จะเติบโตอย่างน้อยครั้งนึงในช่วงที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น หรือถ้าเร็วหน่อยก็เจอตั้งแต่ก่อนอายุ 10 ขวบ
ผู้ใหญ่ที่เห็นเด็กที่ประหลาดใจก็จะคอยสอนเด็กให้รู้จักกับการเติบโต
เป็นสามัญสำนึก เป็นความรู้ทั่วไป…
‘ที่เราไม่รู้’
ผมเปิดหนังสือไปหน้าถัดไป
[มันมีเทรนด์ความเชื่อมากมาย ในยุคของข้ามีกระทั่งก้อนหินที่เร่งการเติบโตด้วยซ้ำ แน่นอนว่ามันไร้ผล…]
“คุณลองแล้วสินะครับ”
เสียงของรุ่นที่สองดูมืดมน ทำให้ผมเดาได้ว่าเขาน่าจะพยายามใช้ของพวกนี้มาไม่น้อย
และถ้ายึดตามที่บอกมา เพราะมันเป็นเรื่องของความเชื่อ ทำให้ยากที่จะหาหลักฐานว่ามันจริงหรือไม่จริงกันแน่
[สุดท้ายเรื่องก็จบด้วยการห้ามซื้อขายพวกมันในเขตตระกูลวอลท์ แต่ก่อนหน้านั้นข้าก็จ่ายให้มันไปเยอะเชียวล่ะ]
ผมอ่านหนังสือด้วยกันกับรุ่นที่สองไปจนจบเล่ม และเนื่องจากยังมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่ผมนัดกับโนแวมกับคุณเซลฟี่เอาไว้ ทำให้ผมหยิบหนังสืออีกเล่มขึ้นมา
รุ่นที่สองใหความสนใจกับหนังสือที่ผมหยิบมา
ผมส่งหนังสือเล่มที่อ่านจบขึ้นชั้นไป และนั่งลงหันมาสนใจหนังสือตรงหน้าแทน
“นี่มันหนังสืออะไรเนี่ย? ”
[ข้าสนใจเพราะความเก่าของมันนี่แหละ ไรเอลเจ้าอ่านมันได้ไหม? ]
ผมพยายามอ่าน แต่คงเพราะความต่างของยุคสมัยหรือไม่ก็สไตล์การเขียนของผู้แต่ง มันเลยต่างกับภาษาสมัยใหม่อยู่ไม่น้อย
“มันยากนิดหน่อย แต่ก็พอได้ครับ”
[จริงเหรอ? งั้นข้าคิดว่า…]
รุ่นที่สองเหมือนจะเข้าใจเนื้อหาในหนังสือ แต่เขาก็บอกให้ผมเก็บมันไปก่อน
[เอาล่ะ เจ้าไม่ควรให้ผู้หญิงเป็นฝ่ายรอนะ เราไปก่อนเวลาสักหน่อยเป็นไง? ]
“เข้าใจแล้วครับ”
‘ก่อนหน้านี้เขารู้อะไรกันนะ’
ถึงจะสงสัย แต่รุ่นที่สองดูท่าไม่น่าจะตอบผมล่ะ
.
.
.
จุดนับพบคือลานสาธารณะที่ดูสะอาดเรียบร้อย และอยู่ไม่ไกลจากกิลด์นัก
ยังไงแถวๆ กิลด์ก็น่าจะมีคนน่าสงสัยน้อยกว่าล่ะ
เพราะถ้ามีการทะเลาะวิวาทหรือพวกโจรมามันจะเป็นปัญหาเอาได้
เพื่อลดโอกาสเกิดเรื่องพวกนั้นให้น้อยที่สุด จุดนัดพบของพวกเราจึงอยู่ในพื้นที่ๆ มีทหารคอยลาดตระเวนเป็นประจำ
เวลาที่พวกเรานัดกันไว้คือเที่ยงวัน ผมที่มาถึงก่อนจึงถือว่าเร็วไปหน่อยนึง
รอบตัวผมเต็มไปด้วยกลิ่นจากอาหารบนรถเข็นมาคอยสะกิดจมูก
พอมองไปที่ต้นแหล่งก็เจออะไรสักอย่างทอดถูกยกออกมาจากระทะร้อนๆ
รุ่นที่หนึ่งส่งเสียงออกมา
[เฮ้ย ไรเอล นั่นคือของกินอะไรอ่ะ? ]
เนื่องจากมีคนเดินผ่านตัวผมเป็นระยะๆ ผมจึงเอามือปิดปากแล้วกล่าวเสียงค่อยกับรุ่นที่หนึ่งที่ลอยไปใกล้ๆ รถเข็นอย่างใคร่รู้
“มันคล้ายๆ มันฝรั่งแล้วทอดน่ะครับ”
รุ่นที่หนึ่งชื่นชม
[งั้นเหรอๆ ในยุคของข้าไม่มีอะไรแบบนี้เลย…]
เขาบอกว่าในยุคของเขานั้นเพิ่งจะผ่านความโกลาหลของสงครามมา และผู้คนก็ต้องตั้งตัวใหม่กันอย่างยากลำบาก
ดูเหมือนในยุคปัจจุบันจะมีกินมีใช้มากกว่า 200 ปีก่อนที่เขาอยู่อย่างเทียบไม่ติด
[เป็นยุคที่ดีจริงๆ ]
รุ่นสามชม และรุ่นที่ห้าก็เอ่ย
[มันฝรั่งเริ่มแพร่หลายในยุคของข้า เพราะมันปลูกขึ้นแม้ในที่กันดาน ข้าจำได้ว่าพวกเราเก็บเกี่ยวมันได้เยอะเชียวล่ะ]
รุ่นที่หกก็เช่นกัน
[เพราะพวกมันทำให้มีพื้นที่ๆ ปัญหาความอดอยากหายไปเยอะขึ้น เป็นพืชเกษตรที่ดีเลย]
รุ่นที่หนึ่งกระซิบ
[นั่นสินะ…งั้นข้า…]
แต่ก็มีเสียงอื่นดังขึ้นมาซะก่อน
“ท่านไรเอลคะ”
โนแวมล่ะ
เธอโอบถุงกระดาษด้วยแขนข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างก็จูงอาเรียที่ถือถุงกระดาษมาด้วยเช่นกัน
[งั้นก็ ไรเอล…ไปแย่งถุงกระดาษนั่นมาถือซะ ส่วนเรื่องคำพูดของเจ้า เอาเป็นทักเรื่องที่ชุดของพวกนางจากปกติเป็นไง? ]
รุ่นที่สี่แนะนำผม
ผมสังเกตชุดที่เปลี่ยนไปของพวกเธอทันที
“อ่า นั่นมันดูหนักนะ ให้ข้าเป็นคนถือเถอะ”
พอรับถุงกระดาษมาก็พบว่ามันหนักไม่เบาเลย
“ขอบคุณค่ะ ท่านไรเอล”
“เอ่อ…ฉันถือเองได้ ไม่เป็นหรอก”
โนแวมเข้าไปกระซิบที่หูของอาเรียที่ปฎิเสธ
และอาเรียก็ส่งถุงกระดาษมาให้ผม เธอดูลุกลี้ลุกลนแต่ก็ไม่เหมือนคนที่ถูกแกล้งหรืออะไรนะ
‘เธอพูดอะไรหว่า? ที่สำคัญ…’
พวกเธอสวมชุดที่สวยงามกว่าในช่วงเช้า
‘ร-เราต้องชมพวกเธอยังไงเนี่ย!? ‘
อาเรียพูดขึ้น เมื่อผมเอาแต่มองพวกเธอ
“อ-อะไร? ถ-ถ้ามันไม่เหมาะกับฉัน ก็พูดออกมาสิ…”
พอเธอพูดขนาดนั้น รุ่นที่หนึ่งก็เตือน
[ไรเอล! ชมโว้ย! เดี๋ยวนี้เลย! หนูอาเรีย…ไม่สิ ยอพวกเธอทั้งคู่ให้ลอยขึ้นสวรรค์ชั้น 7 ไปซะ! ]
รุ่นที่สองส่งเสียงเย็นชา
[แล้วเจ้าเคยชมแม่ของข้าด้วยหรือไง? ]
ก่อนที่เรื่องจะเกินเลยไปกว่านี้ รุ่นที่สี่ก็สั่งผม
[ก่อนอื่น บอกไปว่าชุดเหมาะกับพวกนาง และที่เงียบไปก็เพราะกำลังอึ้งที่พวกเธอแต่งสวย พูดซะสิ]
รุ่นที่ห้าหัวเราะหึให้กับคำแนะนำของรุ่นที่สี่
[สมแล้วที่เป็นพ่อบ้านใจกล้า]
“อะ…ชุดเหมาะกับเธอแล้วล่ะ ข้าอึ้งนิดหน่อยที่เธอเปลี่ยนไปน่ะ อืม แล้วเจ้าก็ดูน่ารักดี”
‘เพราะรุ่นที่สี่แนะนำ เราเลยฝากเงินทั้งหมดไว้ที่พวกเธอ แต่โนแวมก็คงบริหารได้แหละ’
พอผมชมพวกเธอพลางคิดเช่นนั้น ใบหน้าของอาเรียก็แดงขึ้น
“อ-อืม…ขอบคุณนะ ฉันไม่มีเงินเลย การที่มายืนพวกเธอมันก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย…”
พอเริ่มจะเดธแอร์ โนแวมก็เสริม
“คุณอาเรีย จากนี้พวกเราจะเป็นปาร์ตี้เดียวกันแล้วนะคะ ไว้คืนตอนที่มีก็ได้ ฉันจะรอค่ะ”
“อ-อื้ม”
พอเห็นอาเรียกำลังบังคับตัวเองอย่างดื้อดึง ผมก็เลื่อนลงไปมองกระโปรงที่พวกเธอใส่อยู่
ปกติพวกเธอมักจะใส่กางเกงขาสั้นเพื่อความคล่องตัว รู้สึกดีแฮะ
ยิ่งในอดีตที่พอเห็นโนแวมทีไรเธอก็จะอยู่ในชุดเดรสแล้ว การได้เห็นเธอใส่ชุดลำลองแบบนี้ดีกว่ากันเยอะ
‘เธอดื้อจริงๆ แต่ก็ดีแล้วที่เธอถูกบังคับให้ซื้อมาจนได้ เพราะการจะให้เธอยอมซื้อมัน โนแวมที่มักจะมัธยัสถ์ก็เลยต้องซื้อชุดให้ตัวเองด้วย ดีแล้วล่ะ ‘
ก่อนผมจะไปที่กิลด์ ผมได้บอกให้พวกเธอไปซื้อของตามคำแนะนำของรุ่นที่สี่ แต่ตอนนี้ผมก็รู้สึกสบายใจแล้ว
รุ่นที่สี่คือนคนที่ชอบหมกมุ่นกับเรื่องเอาใจสาวล่ะ
เพราะอาเรียแทบไม่มีของติดตัว กระทั่งชุดจะเปลี่ยนก็ไม่มี ผมเลยบอกให้เธอไปหาซื้อและให้โนแวมตามไปด้วย
ประกอบกับนิสัยของโนแวม ผมจึงย้ำเธอว่าจะซื้ออะไรก็ได้เผื่อไว้
‘ต้องขอบคุณรุ่นที่สี่เลย’
เพราะบรรพบุรุษคนอื่น…มีแต่พวกที่มีปัญหากับผู้หญิงล่ะ
ถึงพวกเขาจะดูถูกผมเอาไว้มาก แต่ใช่ว่าพวกเขาจะดีกว่าผมสักเท่าไหร่
และมีเพียงรุ่นที่สี่คนเดียวมักจะคอยให้คำแนะนำเรื่องผู้หญิงกับผมอย่างจริงจังเสมอ
‘แล้วไม่ใช่ว่าที่โนแวมดีกับผมเป็นพิเศษ เพราะว่าตระกูลฟ็อกซ์คอยดูแลตระกูลของเรามาตลอดหรอกนะ? ‘
ตระกูลวอลท์พึ่งพาตระกูลฟ็อกซ์มาตลอด
‘และไม่แปลกที่พวกบรรพบุรุษจะเอาแต่ตำหนิเรารึเปล่านะ? ‘
ขณะคิดเรื่องพวกนั้น พวกเราสามคนก็เดินทางไปกินอาหารกลางวันที่เลทมานิดหน่อย
.
.
.
กลางคืน
ผมถูกเรียกมาที่ห้องประชุมในอัญมณี และเจอใบหน้าที่คุ้นเคย
“กลางดึกแบบนี้ ผมควรจะทักทายว่ายังไงดีครับ ราตรีสวัสดิ์? “
พอผมพูดเรื่องนี้ รุ่นที่ห้าก็บอกว่าไม่เป็นไร และรุ่นที่สี่ก็เริ่มการประชุมขึ้น
[เอาล่ะ ในเมื่อไรเอลมาถึงแล้วก็มาเริ่มติดสินเป้าหมายต่อไปกันเลย ถึงข้าจะบอกแบบนั้น แต่มันก็ง่ายเกินกว่าที่จะต้องมาเปิดประชุมกันน่ะนะ]
“ง่ายหรือครับ? ”
[ใช่ เรื่องกล้วยๆ ]
รุ่นที่สี่พยักหน้า และรุ่นที่สองก็เริ่มอธิบาย
[ไรเอล ตอนนี้เจ้าก็แค่ออกไปสู้กับมอนฯ นอกเมืองซะ ถ้าเจ้าไม่เคยเติบโตเลยสักครั้งมันจะแย่เอา หรือไม่ก็เป็นตัวเจ้าที่มีปัญหาล่ะ]
ตัวผมที่ไม่เคยเติบโตเลย อาจจะมีข้อบกพร่องร้ายแรงอะไรบางอย่าง
พอคิดแบบนั้นผมก็กังวล
[มันก็มีบางคนที่ต้องการประสบการณ์จำนวนมากเพื่อเติบโต และถ้าเจ้าเป็นแบบนั้น การได้เติบโตสักครั้งก็จะแก้ปัญหาเรื่องพลังกายกับพลังเวทอันน้อยนิดของเจ้าได้]
พอได้ยินคำอธิบาย ผมก็โล่งใจ
แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ผมสงสัยอยู่
“อืม แล้วอย่างช้าที่สุด คนจะเติบโตตอนอายุเท่าไหร่หรือครับ? ขอแบบแน่นอนนะ”
ในหนังสือที่อ่านมีบอกแค่ว่ามันเป็นเรื่องของแต่ละคน
และในตัวอย่างที่มีก็ไม่ได้กล่าวถึงคนที่เติบโตได้ช้าเป็นพิเศษด้วย
ในนั้นมีแค่คนที่เติบโตช้าสุดในช่วงกลางวัยรุ่นเท่านั้นเอง
รุ่นที่สองแตะคางอย่างครุ่นคิด และเอ่ยตัวอย่างที่เขาคิดว่าแย่ที่สุดออกมา
[…ในยุคของข้า มีชายคนนึงที่เติบโตครั้งแรกตอนอายุ 20 ]
[จริงดิ!? ]
รุ่นที่หนึ่ง และบรรพบุรุษคนอื่นตกใจ
ผมก็เช่นกัน
“…ห๊ะ? หมายความว่าพวกคุณจะเอาแต่รังควาญพลังเวทของผมนานขนาดนั้นเลย? ”
รุ่นที่สองหยักหน้าให้…
[เดี๋ยวสิเฮ้ย ไหงเจ้าถึงพูดเหมือนพวกข้ากำลังรบกวนเจ้าล่ะ? นี่เจ้าคิดแบบนั้นมาตลอดเลยสินะ!? ]
รุ่นที่สี่มีความเห็นคล้ายกัน
[มันเป็นการฝึกไง เหมือนกับการออกกำลังกาย ถ้าเจ้าไม่ใช้พลังเวทบ่อยๆ มันก็จะไม่พัฒนาใช่มั้ย? มันก็แบบนั้นแหละ]
ผมทำหน้าแคลงกับคำแก้ตัวของรุ่นที่สี่
“มีพิรุธนะครับ”
[เลิกสงสัยข้าเถอะ ลองดูก่อนสิ พวกเราเหมือนคนที่ชอบโกหกหรือไง? ]
ผมมองเข้าไปในดวงตาของรุ่นที่สาม เป็นแก้วตาที่ใสจริงๆ
“ก-ก็จริงที่มันให้ผลแบบนั้น แต่ว่า…”
ขณะที่ผมกำลังยอมรับเหตุผล รุ่นที่หนึ่งก็พูดขึ้นมาซะก่อน
[หะ? มันเป็นแบบนั้นหรอกเหรอ? ]
รุ่นที่หนึ่งแฉออกมา
คนอื่นๆ ทำหน้าเฉยเมยราวกับคำแก้ตัวเมื่อครู่เป็นสิ่งที่เพิ่งคิดมาสดๆ
“พ-พวกคุณนี่มัน…!! ”
ท่ามกลางเสียงตะโกนของผมที่ก้อนกังวาลไปทั่วห้อง เหล่าบรรพบุรุษก็เดินเข้าห้องของตัวเองทั้งรอยยิ้ม
รุ่นที่สาม..
[อะฮ่าฮ่าฮ่า โทษที โทษที]
รุ่นที่สองยังคงแก้ตัวขณะที่เปิดประตูห้อง
[ขอโทษด้วยละกัน ก็ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะไม่เคยเติบโตเลยนี่ ข้านึกว่าเจ้าเป็นคนประเภทที่มีพลังเวทน้อยซะอีก]
รุ่นที่หกกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิดนิดหน่อย
[ข้าก็คิดว่าเจ้าเป็นสายเน้นเทคนิค และต้องการฝึกร่างกายแบบทำให้ถึงขีดจำกัดบ่อยๆ ข้าก็เลยทำแบบนั้น]
รุ่นที่เจ็ด…
[พวกเจ้าไปกันหมดเลย!? ข้าขอโทษนะไรเอล! ]
ส่วนใหญ่ก็ตามนั้น
ท้ายสุด รุ่นที่สี่ก็พูดขึ้น
[งั้น มาปิดการประชุมกันเถอะ]
พูดเสร็จเขาก็ขอตัวเดินเข้าประตูหายลับไป
“อ-อะไรกันเนี่ย!? ”
เมื่อมองคนที่เหลือ ก็พบรุ่นที่หนึ่งกำลังยิ้มอยู่
“อะไร? คุณยังจะพูดอะไรอีกหรือไง? ”
เมื่อโดนผมดูแคลน เขากลับดูยินดีแทนซะงั้น
เป็นปฎิกิริยาที่เกิดคาดล่ะ
[ดี ในที่สุดเจ้าก็เป็นผู้เป็นคนได้สักที ไอ้หนู! ทีแรกที่เห็นเจ้า ดวงตาของเจ้ายังกะปลาตาย ข้าก็เลยชอบเจ้าไม่ลงสักที แต่ตอนนี้เจ้าก็พอใช้ได้แล้วล่ะ]
พอได้ยินเช่นนั้น ผมก็เกาแก้ม
ดวงตาของผมคงไม่แย่ขนาดนั้นมั้ง อย่างน้อยก็นิดนึงล่ะ
หลังจากถูกไล่ออกจากตระกูล ผมก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแสดงให้เห็นถึงความกล้า เพื่อคนสวนแซลที่ช่วยผมไว้จะได้หมดห่วงลง
ส่วนตอนนี้ก็เพราะมีโนแวมอยู่ ผมถึงมาได้ไกลขนาดนี้
ถ้าไม่มีเธออยู่ ไม่ต้องคิดเลยว่าผมคงทำทุกอย่างที่ผ่านมาแบบไม่วางแผนอะไรเลยแหงๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย ตอนนั้นข้าก็แค่หดหู่นิดเดียวเอง”
รุ่นที่หนึ่งพยักหน้า
บางทีเขาคงอารมณ์ดีล่ะ
[งั้นเรอะ? ถ้างั้น…จากนี้เจ้าตั้งใจจะทำอะไรต่อไปล่ะ? ]
ครั้งก่อ่นที่คุยเรื่องเซเลส เขาได้บอกให้ผมคิดด้วยตัวเอง
ในเวลานั้น ผมไม่ได้สนใจเลย
ผมก็แค่อยากจะทุ่มสุดตัวให้โนแวมเห็นแค่นั้นเอง
จนตอนนี้ ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะเป็นนักผจญภัยชั้นยอดเลยสักนิด
“ข้าไม่รู้จริงๆ “
ผมคิดว่ารุ่นที่หนึ่งจะว่ากลับมา แต่เขากลับนิ่งอย่างน่าประหลาดใจ
เขากอดอก และถามคำถามต่อไป
[…แล้วเจ้าคิดยังไงกับหนูอาเรียงั้นรึ? ]
“ถึงข้าจะเรียกชื่อของเธอห้วนๆ ตามที่โนแวมบอก แต่เดิมทีเธอก็แค่คนที่มาอาศัยอยู่กับเราครับ”
พูดตามตรง สำหรับผมขอแค่มีโนแวมอยู่ก็พอแล้ว
เรื่องฮาเร็มที่ผมเคยพูดก็แค่พลั้งปากไป แต่ในใจผมไม่เคยคิดจริงจังเลยนะ
ผมเพียงต้องการคนที่ยอมรับตัวตน และคอยเฝ้ามองผมก็พอแล้ว
“คุณคงเป็นห่วงอาเรีย แต่ข้ามีโนแวมอยู่แล้ว และถ้าบอกตามตรงก็อยากให้มีแค่ข้ากับโนแวมก็พอแล้วล่ะครับ”
ผมกับโนแวมหาที่อยู่ดีๆ สักที่ เลิกเป็นนักผจญภัย และใช้ชีวิตด้วยกันอย่างสงบ
นั่นแหละเยี่ยมเลย
รุ่นที่หนึ่งคงไม่ให้อภัยกับคำพูดที่ไม่เอาไหนแบบนี้แน่ แต่เขาก็ยังคงตอบกลับมา
[ดีแล้ว ทำอย่างที่เจ้าอยากเถอะ ที่ข้าเกลียดเจ้าเมื่อก่อนก็เพราะสายตาไร้ชีวิตกับนิสัยน่อมแน้มของเจ้าต่างหากล่ะ
อา ส่วนตอนนี้ก็เกลียดที่หนูอาเรียสนใจเจ้ามากไปหน่อยน่ะ]
ผมเข้าใจเรื่องที่เขาจะสื่อ แต่ก็ไม่ได้ตอบเรื่องของตัวเองกลับไป
ผมมีโนแวมอยู่แล้ว
“ขอบคุณ บางทีคงเพราะข้าหน้าตาดี และป๊อปปูล่า? ไม่เหมือนคุณไงครับ รุ่นที่หนึ่ง”
ผมประชดกลับ
รุ่นที่หนึ่งจ้องมาที่ผม…
[ไอ้ตูดหมึก!…นี่แกกล้าพูดออกมาได้นะ! ]
เขาตะโกนและหัวเราะ
“วันนี้คุณเป็นอะไรเนี่ย? ปกติแล้วจะมีแต่คำด่าแท้ๆ “
‘ไม่เคยรู้เลยว่าการพูดชมหน้าตาตัวเองมันน่าอายชะมัด แล้วไหงวันนี้เขาอารมณ์ดีแบบนั้น? ‘
พอผมถามเรื่องนี้ไป รุ่นที่หนึ่งก็เกาแก้มและเลี่ยงคำถามด้วยคำพูดที่กำกวม
[ข้าก็แค่อารมณ์ดีไง อา แล้วข้าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าชอบหนูอาเรียหรอก แต่ช่วยดูแลเธอใด้วยก็พอ
เจ้าแว่นน่าจะรู้เรื่องพวกนั้นดี ลองไปถามเขาเอาละกันนะ]
เจ้าแว่น…คือรุ่นที่สี่สินะ
ผมตอบกลับพลางกลั้นยิ้ม
“…ถ้าแบบนั้น ข้าทำให้ได้ครับ”
[เฮ้ย เมื่อกี้เจ้ากำลังจะยิ้มนี่]
ผมสะดุ้งเมื่อรุ่นที่หนึ่งรู้ว่าผมกำลังจะยิ้ม
‘เซ้นส์คมชะมัด แต่จะว่าไงดี…เขาก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนี่นา ถึงภายนอกจะคนเถื่อนไปหน่อยก็เถอะ’
[ก็มันตรงไหมเล่า? ]
“…ก็ใช่นะครับ รุ่นที่สี่เขาเด่นที่แว่นจริงๆ ”
[ใช่มั้ยล่ะ! ]
วันนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมได้พูดคุยและหัวเราะไปพร้อมกับรุ่นที่หนึ่งล่ะ
—-
ตัวหายแน่นอน เดธแฟ็กแปะมาทรงนี้