Sevens – ตอนที่ 3 เจ็ดบรรพบุรุษ

7 บรรพบุรุษ

 

หลังจากเผลอหลับคาเก้าอี้กลางทางเดิน  

รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่ในห้องที่ไม่รู้จักพร้อมกับบรรพบุรุษของตัวเองซะงั้น

 

มันเป็นแบบนี้ได้ไง? ผมไม่เข้าใจอะไรเลย

 

“เดี๋ยว…”

 

ห้องนี้มันกว้างทั้งขนาดห้อง โต๊ะ เก้าอี้ที่นั่ง ส่วนผนักพิงก็สูงเหนือหัวไปอีก

 

บุคคลที่นั่งอยู่รอบๆ ก็เข้ากับบรรยากาศอันสูงส่ง แต่เพราะบางอย่างผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความจริง

 

มีอัญมณีทรงกลมสีน้ำเงินฝังอยู่ทั่วผนังห้อง ตรงกลางโต๊ะก็มีจอกที่เรืองแสงอยู่

 

[มันเป็นความผิดของเจ้าในการเลี้ยงดูเจ้าเด็กนั่น! ]

 

[ไม่ใช่ข้า! ตระกูลวอลท์แต่แรกก็สืบทอดด้วยผู้ชาย  

แถมไรเอลก็ถูกยอมรับเป็นผู้สืบทอดอย่างชอบธรรมแล้วด้วย! ไม่ใช่เพราะข้าซะหน่อย!

ถ้าข้าอยู่ด้วยตอนเรื่องมันเกิด ข้าจะโบกกระโหลกลูกตัวเองซักสามรอบด้วยซ้ำ! ]

 

ชายลุคคนเถื่อนกับปู่ของผมกำลังคว้าคอเสื้อของกันและกันพร้อมบวก แล้วเถียงกันฉอดๆ  

 

ผมหันไปหาชายในชุดนักล่าเพื่อขอคำอธิบาย

 

[ปล่อยเจ้าพวกนั้นไป ไรเอลเดิมถูกนับเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่เก้า

แต่ก็เสียมันให้น้องสาวของตัวเอง พร้อมกับถูกเธอเนรเทศออกจากตระกูล

เรื่องนี้เป็นปัญหาก็จริง แต่ก็ช่างมันไปก่อนเถอะ]

 

เขาพยายามเข้าเรื่อง แต่ชายลุคคนเถื่อน…เอ่อ ขุนนางที่ดิน ผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์

และผู้นำในการบุกเบิกดินแดน  [รุ่นที่หนึง] บราซิล วอลท์ ก็พูดขึ้นมา

 

[ช่างมันกันผีสิ! ไอ้คนที่มันเสียตำแหน่งให้น้องตัวเองเนี่ยนะจะเป็นผู้นำคนได้? อย่ามาล้อข้าเล่นนะโว้ย! ]

 

[ไอ้คนเถื่อน! แกว่าอะไรหลานข้านะ!? ]

 

ปู่ผมต่อยเขากระเด็น  

 

จู่ๆ อากาศก็เย็นขึ้น ชายในชุดนักล่า… [รุ่นที่สอง] คลาสเซล ยังคงเมินพวกเขา

 

[ปัญหาไม่ใช่ตรงนั้น พวกเจ้านั่งลงก่อน…เอาล่ะ เป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่ยอมรับผู้สืบทอดหญิง

อย่างน้อยก็ข้าคนนึงที่ไม่เอาด้วยแน่ๆ  ต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน  

แต่ข้าสงสัยต้องเปลี่ยนความคิดซะแล้ว]

 

[รุ่นที่สาม] สเลน วอลท์ เห็นด้วยกับรุ่นที่สอง

 

เขาสวมชุดขุนนางระดับล่าง และมีบุคลิกชิวๆ

 

[ใช่ ข้าหมายถึง ข้าก็ขึ้นเป็นผู้นำได้ด้วยตัวเอง และลูกชายของข้า แม็กซ์ ก็ทำได้

แม้ว่าข้าจะมีลูกสาวเช่นกัน]

 

ผู้สิบทอดรุ่นที่ 3 สเลน เขาเป็นผู้นำคนแรกที่ถูกฆ่าในสนามรบ

แต่ในรูปภาพของเขาที่เหลืออยู่คือ แม่ทัพผู้เที่ยงธรรมที่คอยระวังหลังให้ในขณะที่พระราชาถอยทัพ

 

เขาถูกพูดถึงเป็นวันแมนอามี่ที่ต้านกองทัพศัตรูนับหมื่นไว้

 

ผู้ชายตรงหน้าของผมไม่ให้ความรู้สึกแบบนั้นสักนิด

 

[เดี๋ยว แกตายก่อนขึ้นรับตำแหน่งไม่ใช่เรอะ? รู้รึเปล่าว่าข้าต้องเจอปัญหามากมายแค่ไหนน่ะ!? ]

 

ชายอีกคนที่อยู่ในเครื่องแบบขุนนาง แต่มีออร่าทรงภูมิปัญญาคล้ายรุ่นที่สอง

 

[รุ่นที่สี่] แม๊กซ์ วอลท์ คือผู้สืบทอดคนแรกหลังจากตระกูลวอลท์ได้ยศบารอนแล้ว

 

รุ่นที่ห้าถอนหายใจ

 

[รุ่นที่ห้า] เฟรดริกส์ วอลท์ เป็นผู้นำที่เจ้าชู้ที่สุด แม้แต่ภรรยาของเขาก็ยังมีถึง 4 คน

 

ไม่เหมือนภาพที่ผมจินตนาการไว้ เขาค่อนข้างเคร่งขรึม

 

[เฮ้อ จบสักทีเถอะ ทุกคนก็มีปัญหาของตัวเองกันทั้งนั้นแหละ รวมถึงข้าด้วย]

 

ชายผมแดงที่ดูน่ากลัวอีกคน [รุ่นที่หก] ไฟนส์ วอลท์ พยักหน้า

เขาคือคนที่ใช้วิธีใต้โต๊ะในการยกระดับตระกูลวอลท์ขึ้นสู่การเป็นเคานต์

 

ท่านพ่อของผมมักจะแขวนรูปของรุ่นที่หกไว้รอบๆ และเมื่อมีปัญหาอะไรมาถึงตระกูลวอลท์

ท่านพ่อจะเก็บรูปพวกนั้นลง และบ่น

 

[ใช่ แต่การที่ผู้หญิงขึ้นมาเป้นผู้สืบทอดจากการดวล…บล็อด เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้สอนลูกตัวเองผิดๆ น่ะ? ]

 

[รุ่นที่เจ็ด] บล็อด วอลท์ ปู่ของผม

 

[ลูกของข้าจากที่สังเกต เขาใช้ได้อยู่นะ และเท่าที่ข้าจำได้ไรเอลควรจะเป็นผู้สืบทอดแล้ว

ส่วนเซเลสก็ได้เริ่มฝึกฝนมารยาทในฐานะขุนนางหญิงด้วยสิ…]

 

ผมกำลังเห็นบรรพบุรุษของตัวเองกำลังเถียงกันอยู่ตรงหน้า นี่มันเกินความเข้าใจของผมไปไกลสุดๆ แล้ว

 

หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมด รุ่นที่สองก็ได้ข้อสรุป

 

[เอาล่ะ …เรื่องนี้มันต้องไม่เกิดขึ้น ใช่มั้ย? ]

 

คำพูดสบายๆ ของเขาถูกเห็นด้วยในทันที

 

[ใช่]

[ใช่แล้ว]

[ไอ้เจ้าลูกไม่รักดี…มันต้องโดนโบก]

 

แล้วบทสนทนาก็วนกลับมาที่ผม ครั้งนี้รุ่นที่ 4 ผู้ทรงภูมิคล้ายรุ่นที่ 2 เป็นคนถามผม

 

[ข้ามีเรื่องสงสัย จริงอยู่ที่ไรเอลแพ้ให้เธอ จึงพักเรื่องความสามารถของเธอไปก่อน

แต่เป็นเรื่องตัวคุณหนูเซเลสเหมาะสมจริงไหม? ]

 

เมื่อถามถึงเซเลส ผมก็ก้มหน้าเพราะไม่อยากนึกถึงเธออีกแล้ว แต่ผมคงต้องอธิบายเรื่องนี้

 

‘ถ้ายังไงก็ต้องพูด งั้นก็พูดให้มันจบไปเลย’

 

ผมเริ่มพูดเรื่องเกี่ยวกับเซเลส

 

น้องสาวผู้อ่อนกว่าผม 2 ปี เด็กสาวที่ทำอะไรก็สำเร็จไปหมด  

สิ่งที่ผมใช้เวลาเป็นร้อยๆ ชั่วโมงเพื่อให้ได้มันมา แต่เธอกลับทำได้ในเวลาชั่วครู่…

 

และที่สำคัญที่สุด

 

“น้องสาวของผมสมบูรณ์แบบ ทั้งบู๊ทั้งบุ๋นก็ล้ำเลิศ หรือผมควรจะเรียกว่าบรรยากาศรอบๆ ตัวเธอชั่งอุดมคติ…”

 

[บรรยากาศ? แล้วไอ้สมบูรณ์แบบนั่นมันอะไร? การที่ผู้หญิงจะเป็นผู้นำตระกูล

มันจะทำให้เสียเปรียบทางการเมืองไม่ใช่รึไง? เธอต้องมีอะไรที่ดีพอจะชดเชยเรื่องนี้ได้สิ]

 

รุ่นที่หนึ่งที่กำลังนั่งไขว่ห้างบนโต๊ะถามผม

 

“…เธอมีเสน่ห์ต่อทุกคน เดิมพ่อแม่ก็สนใจผมอยู่ แต่หลังผมอายุได้ 10 ปี  

บรรยากาศในคฤหาสน์ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปโดยมีเซเลสเป็นศูนย์กลาง”

 

จากที่ฟังผม รุ่นที่ 1 ก็เริ่มมึน

 

รุ่นที่ 4 เข้ามาเป็นผู้นำการสนทนาอีกครั้ง

 

[หมายความว่าเธอมีพรสวรรค์มากกว่าไรเอล และคนรอบข้างก็รู้สึกถึงมันได้สินะ

ใช่รึเปล่า เจ้าหนูรุ่นที่เจ็ด? ]

 

ท่านปู่ของผมเอียงคอ

 

[ไม่นะ ข้ายังมองเธอเป็นหลานที่น่ารักอยู่เลย การที่เธอจะยิ่งใหญ่…ข้าว่าเป็นไปไม่ได้หรอก]

 

ท่านปู่บอกปฎิเสธ ผมก็คิดเหมือนกัน ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่บรรยากาศในคฤหาสน์ก็ยังปกติดี

 

และผมก็ไม่ได้รู้สึกยกย่องเธอเหมือนคนอื่นด้วยสิ

 

[งั้นช่วงที่บรรยากาศเปลี่ยนไป คือตอนที่เธออายุราวๆ 7-8 ปีสินะ เป็นช่วงเวลาที่สกิลปรากฎออกมาบ่อย

นั่นอาจเป็นสกิลของเธอที่ตื่นขึ้นก็ได้นะ]

 

ความคิดนั้นถูกปัดตกโดยรุ่นที่สาม

 

[ข้าว่าไม่ใช่ แม้สกิลจะตื่นขึ้แล้วก็จริง แต่ใช่ว่าจะรู้กันได้เลยทันที ถึงจะมีโอกาสเป็นไปได้  

กว่าจะฝึกจนใช้งานได้จริงก็อายุประมาณ 10 ปีพอดี แต่เวลามันจะไม่โป๊ะเช๊ะกันเกินไปเหรอ?

ขนาดตัวไรเอลเองอายุ 15 แแล้วยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสกิลของตัวเองคืออะไรน่ะ]

 

[สกิล] …สำหรับมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ ถือเป็นคำอวยพรอันศักสิทธิ์จากเวทมนต์ของพระเจ้า

 

โดยมีกฎเกณฑ์ว่าหนึ่งสกิลต่อหนึ่งบุคคล และสกิลสามารถพัฒนาได้จากการใช้งานจริงหรือจากการต่อสู้

 

แน่นอนว่าในอดีตก็มีเทคโนโลยีที่ทำให้สร้างสกิลขึ้นมาได้ อย่างอัญมณีที่ผมได้รับสืบทอดมานี้

 

‘จะว่าไป เราเริ่มได้ยินเสียงพวกเขาตั้งแต่ตอนที่อยู่ในกระท่อมของแซลนี่?

และก็เริ่มได้ยินชัดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากได้อัญมณีมา’

 

เมื่อรู้ตัวผมก็เงยหน้าขึ้น ผมคงเหม่อนานไปหน่อย รุ่นที่สามเริ่มพูดเกี่ยวกับสกิลที่ผมได้รับ

 

[ถึงจะไม่รู้กฎตายตัว แต่อัญมณีนี้จะมีปฎิกิริยากับสกิลและพยายามเก็บมันไว้ พวกเราทั้งหมดถึงถูกบันทึกไว้แบบนี้ล่ะนะ]

 

ผมประหลาดใจกับความรู้ของรุ่นที่สาม และยืนยันสกิลของตัวเอง

 

“อืม สรุปแล้วสกิลที่ข้ามีคืออะไรครับ? “

 

[ข้าไม่รู้ละเอียดนัก แต่การที่อัญมณีเปลี่ยนเป็นสีฟ้ามาจากการสัมผัสถึงสกิลของ [ฝ่ายสนับสนุน] ]

 

สกิลโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น สามประเภทใหญ่ๆ

 

หมวดแรกคือการต่อสู้ระยะประชิด [แนวหน้า] จะถูกเรียกว่าอัญมณีสีแดง

 

อัญมณีสีเหลืองคือสกิลของ [แนวหลัง]

 

และสีฟ้าคือฝ่ายสนับสนุน

 

การจำแนกสกิลทั้งสามประภทนี้ ในอดีตก็มีการกล่าวถึงไว้ว่าสามารถเลือกสายสกิลเองได้ด้วยอัญมณี

 

เหตุผลที่ตระกูลวอลท์มีแต่สกิลสนับสนุนซะเยอะ เพราะพวกเขาพกอัญมณีสีน้ำเงินไว้นั่นเอง

 

“…นั่นทำให้ข้ากลายเป็นซัพพอตงั้นเหรอ? “

 

[เจ้าดูผิดหวังนะ แต่ในสมัยของข้า ซัพพอตคือที่สุดล่ะ]

 

รุ่นที่สามเริ่มพูดต่อเมื่อเห็นใบหน้าของผม

 

ในยุคปัจจุบัน ไฟพลังทำลายล้างสูงของแนวหลังเป้นที่ต้องการมากกว่า

 

[ในยุคของข้า มันคือแนวหน้าและซัพพอต การได้แนวหลังถือเป็นโชคร้ายนะ]

 

เมื่อปู่ของผมพูด รุ่นที่สองก็สงสัย

 

[ยุคของข้าซัพพอตถือว่าอาภัพเลยนะ มันเปลี่ยนตามเวลารึเปล่า? ]

 

รุ่นที่สี่พาการสนทนาที่เริ่มออกทะเลกลับเข้าฝั่ง

 

[ในเมื่อเจ้าบอกว่าคุณหนูเซเลสอาจมีสกิลบางอย่างตื่นขึ้น และใช้มันทำให้คนพวกนั้นเปลี่ยนใจได้

นั่นหมายความว่าตัวไรเอลเองไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นผู้สืบทอดสินะ]

 

เมื่อได้ยินแบบนั้น ผมก็พูดอะไรไม่ออก ผมพยายามถึงที่สุดแล้ว

แต่ความทุ่มเทนั้นมันก็ไม่พอที่จะทำให้ทุกคนยอมรับผมเป็นผู้สืบทอดได้

 

ในตระกูลวอลท์ที่ถือเป็นขุนนางยศเคานต์ การที่โดยบอกว่าขาดคุณสมบัติเป็นผู้สืบทอด มันถือเป็นจุดจบ

 

แต่

 

[แต่มันก็แปลกเกินไป ดูจากสิ่งที่พวกเขาทำกับเจ้าหนู คือเจ้านี่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น เขามีทั้งผู้ติดตามที่ดี  

แม้ตัวไรเอลจะไม่น่าพึ่งพาแค่ไหน แต่เด็กผู้ชายก็ควรถูกเลือกเป็นผู้สืบทอดสิ แม้เซเลสจะมีพรสวรรค์มาก

แต่ความเสี่ยงที่เกิดจากการแต่งตั้งเธอขึ้นเป็นผู้สืบทอดมันสูงเกินไป]

 

รุ่นที่ห้าพูดถึงการเหยียดผู้นำหญิงออกมาอย่างหน้าตาเฉย แต่ในความเป็นจริงก็มีบางตระกูลที่มีผู้นำหญิงเช่นกัน

 

แต่สาเหตุหลักคือเป็นตัวแทนผู้นำ หรือเป็นประเพณีเฉพาะตระกูลนั้นๆ ในตระกูลที่มีแต่เชื้อสายฝ่ายหญิงเอง

ก็พูดถึงการรับผู้ชายแต่งเข้าบ้านมาเป็นผู้นำอยู่ แต่ไม่บ่อยนัก

 

ผมหมายถึง เพราะผู้นำในเวลานั้นของตระกูลอยู่ระหว่างการออกรบน่ะ

 

จะมีน้อยตระกูลที่จะส่งหญิงไปแต่งเข้าบ้านอื่นในช่วงสงคราม แม้จะมีอยู่แต่ก็น้อยมากจริงๆ

 

[บล็อดแล้วพวกตระกูลบริวารล่ะ? มีพวกไหนที่มาใกล้เธอในแผนการเข้าควบคุมตระกูลบ้าง? ]

 

ปู่ของผมคิดตามคำพูดของรุ่นที่หก

 

[ข้าจะไม่พูดว่าไม่มีคนพวกนั้นเลย แต่สถานะทางสังคมของตระกุลพวกนั้นต่ำเกินไป

มันไม่มีทางที่แผนแต่งเข้าบ้านจะสำเร็จ ตระกูลที่ฐานะใกล้เคียงเรามากที่สุดก็คงเป็นตระกูลเก่าแก่อย่างฟอกซ์

แต่พวกเขาไม่เคยทำอะไรแบบนี้มานานมากแล้วนะ..]

 

รุ่นที่สองตกใจ

 

[ห๊ะ? เจ้าบอกว่าฟอกซ์คือบริวารของเจ้างั้นเหรอ? อะไรกัน!? ]

 

รุ่นที่หนึ่งที่ตอนแรกสติหลุดไปก็ลุกขึ้นยืนอย่างสับสน

 

[เจ้าหมายถึงฟอกซ์นั้นเรอะ!? จากดินแดนข้างๆ น่ะนะ!? ตระกูลของตาแก่นั่นใช่มั้ย!? ]

 

ตาแก่? ผมไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร

 

นานมาแล้ว ตระกูลฟอกซ์ยอมจำนนต่อตระกูลวอลท์ พวกเขาคล้ายผู้ติดตามของตระกูลเรา

และเป็นขุนนางชั้นบารอนที่ได้รับดินแดนจากบรรพบุรุษของตระกูลวอลท์

 

รุ่นที่สี่ก็สับสนเช่นกัน

 

แต่รุ่นที่ห้า…

 

[แล้วไง? พวกเราได้รับการครอบครองดินแดนรอบๆ จากยศที่สูงขึ้น สำหรับตระกูลฟอกซ์ที่ลังเลจะย้ายออก

พวกเราก็กรุณาอนุญาตให้อยู่อาศัยได้ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะรับใช้เราไม่ใช่รึไง? ]

 

ตอนนั้นรุ่นที่สองก็ตะโกนขึ้น

 

[อย่ามาล้อข้าเล่นนะ!? เจ้ารู้มั้ยว่าพวกเราเป็นหนี้พวกเขามากแค่ไหน!?  

พวกเจ้ารู้ไว้เลยนะ ถ้าตระฟอกซ์ไม่อยู่ข้างเรา ตระกูลของพวกเราจะล่มสลายไปนานแล้ว! ]

 

รุ่นที่สองเน้นย้ำว่าพวกเขามีคุณกับพวกเราขนาดไหน และรุ่นที่สี่ก็ถามรุ่นที่ห้าด้วยใบหน้าประหลาดใจ

 

[นี่หมายความว่าไง? ข้าบอกเจ้าไปแล้ว? ว่าพวกเขาช่วยเหลือเราไว้มากแค่ไหน

เจ้าจะต้องรักษาความสัมพันธ์กับพวกเขาไว้ให้ดี ใช่มั้ย!? ]

 

รุ่นที่ห้าตอบอย่างไม่สนใจ

 

[ครับ ครับ ข้าถึงเดินเรื่องให้ตระกูลฟอกซ์ได้รับยศขุนนางมาแล้วนี่ไง ข้าทำให้แล้วหนิ? ]

 

รุ่นที่ห้าขอคำยืนยันจากรุ่นที่หก ซึ่งเขาก็พยักหน้า

 

[เยี่ยม เจ้าทำไปแล้ว]

 

ขณะที่ฟังพวกเขาคุยกัน ผมก็คิด

 

‘มันซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆเลย แต่เดี๋ยว ทำไมเสียงมันเริ่มห่างไปเรื่อยล่ะ.. ‘

 

และผมก็ได้ยินเสียงของคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้

 

“ท่านไรเอล? “

.

.

.

“ท่านไรเอล ข้าเช็ดตัวเสร็จแล้วนะ”

 

“อ่าห์…ใช่”

 

เมื่อผมลืมตาขึ้น ผมยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวเดิม อาจจะเพราะผมเหนื่อยเลยหลับค่อนข้างลึก

 

หลังจากเช็ดตัว และทำความสะอาดผมเสร็จ โนแวมก็อยู่ตรงหน้าผม

 

“ข้าเห็นท่านเหนื่อย เลยล้างชุดชั้นในในน้ำร้อนให้และตากอยู่ พรุ่งนี้น่าจะแห้งทันนะ”

 

“อ่า ขอโทษทีนะ”

 

ผมยืนขึ้นเซๆ โนแวมเข้ามาพยุง และพาผมไปที่ห้อง

 

‘ฝันเหรอ? ‘

 

พอคิดแบบนั้น เสียงของรุ่นที่ห้าก็ดังขึ้นมาทันที

 

[เดี๋ยวนะ…สกุลของเด็กคนนั้นคือ? ข้าอยากรู้เพราะบรรยากาศของเธอดูคุ้นๆ… ]

 

เสียงปู่ของผมเป็นคนตอบ

 

[เธอโตขึ้นมาก เธอคือลูกสาวคนที่สองของตระกูลฟอกซ์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะมาเป็นคู่หมั้นของไรเอลได้

เพราะสถานะของพวกเขาต่างกันเกินไป]

[ว๊ากกกกก! ]

 

รุ่นที่หนึ่งกรีดร้อง มันหนวกหูจริงๆ แต่เหมือนโนแวมจะไม่ได้ยินเหมือนเคย

 

“…ไม่ใช่ฝันสินะ”

 

ผมพึมพำ โนแวมหันมาถาม

 

“มีอะไรหรือคะ ท่านไรเอล? “

 

ผมรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ผมเพลียมากกว่าก่อนหลับบนเก้าอี้ซะอีก  

แค่เดินยังเหนื่อย ผมไม่เคยรู้สึกอ่อนเพลียขนาดนี้มาก่อน

พอโนแวมพามาถึงเตียง ผมผล็อยหลับทันที และได้ยินเสียงอันอ่อนโยนของเธอ

 

เมื่อผมเอนตัวลงนอน เธอก็ห่มผ้าให้

 

“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ ท่านไรเอล”

 

ยัง ยังปูเรื่องอยู่  แปลไปจะหลับ

 

 

 

Sevens

Sevens

อ่านนิยาย เรื่องSevens เดิมไรเอลเป็นลูกชายคนโตที่ต้องรับช่วงต่อของตระกูล แต่พอเขาอายุได้ 10 ปี พ่อแม่ก็เริ่มไม่สนใจเขา แล้วหันไปเห่อน้องสาวของเขาแทน จนวันนึงในตอนที่เขาอายุครบ 15 ปี น้องสาวของเขาก็ท้าประลองเพื่อชิงตำแหน่งผู้สืบทอด และเขาก็ได้พ่ายแพ้ หลังจากที่ฟื้นตัว เขาก็ได้รับสืบทอด พลังone for all- เอ้ย อัญมณีที่มีความทรงจำของบรรพบุรุษทั้ง 7 คน และเริ่มออกผจญภัยไปกับเพื่อนสมัยเด็ก

Comment

Options

not work with dark mode
Reset