4 สัตว์ประหลาด
ผมเหนื่อยมาก พอตื่นนอนผมก็กินอาหารเช้าทั้งๆ ที่สะลึมสะลือ
อาหารที่บริการโดยโรงเตี๊ยม ผมไม่อาจพูดได้เลยว่ามันอร่อยแม้จะตามมารยาทก็ตาม
แต่เพราะมันร้อน และร่างกายของที่หิวโหยทำให้รู้สึกว่ามันอร่อย
พอมองดูผม โนแวมก็สบายใจ
“ท่านดูดีขึ้นมากเลยถ้าเทียบกับเมื่อวาน ผิวก็ดูสดใสขึ้นด้วย”
โนแวมดูแลผมตั้งแต่ตอนตื่นขึ้นมา
เธอทั้งล้างหน้า แปรงฟัน หวีผมให้ ผมได้ยินเสียงของรุ่นที่หนึ่งกรีดร้องอยู่หลายหน
แต่ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าให้ผมเลิกเป็นปลิงเกาะเธอสักที
ด้วยเหตุบางอย่าง เขาค่อนข้างเอ็นดูเธอ
ไม่ใช่แค่รุ่นที่หนึ่ง
ตั้งแต่รุ่นที่หนึ่ง สอง สาม สี่ขึ้นไป พวกเขาล้วนอ่อนโยนต่อเธอ
ตั้งแต่รุ่นที่ห้าลงมาคิดว่าเธอคือบริวาร จึงไม่ได้พูดอะไรเมื่อเธอรับใช้ผม
“ถึงข้าจะยังไม่หายเหนื่อย แต่ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก พวกเราจะออกจากเมืองกันวันนี้นี่
งั้นพอหาซื้อเสบียงเสร็จแล้วก็ไปรอรถเกวียนที่ประตูเมืองกันเถอะ”
“โอเค พวกเรามีกระบอกน้ำอยู่แล้ว งั้นไปซื้อพวกอาหารที่ถนอมไว้แล้วกับของใช้สื้นเปลืองกันเถอะค่ะ”
โนแวมเธอเตรียมของใช้ส่วนตัวมาบ้างแล้ว แต่ผมแทบไม่มีสัมภาระเลย
พ่อค้าเร่ก็เคยบอกว่าผมของใช้น้อยจนดูไม่เหมือนคนเดินทาง
“เอาล่ะ ไปซื้อของจำเป็นกัน แล้วค่อยไปซื้ออาวุธที่เมืองหน้า”
ผมไม่มีอาวุธเลย
ที่กระท่อมแซลมีมีดพร้าอยู่บ้าง แต่การแหนบมันเดินไปเดินมาก็ดูยังไงๆ อยู่
ผมเลยตั้งใจจะหาซื้ออาวุธในระหว่างทาง
“เธอคิดว่าจะมีดาบคมเดียวขายไหม? “
โนแวมทำหน้าซับซ้อน เธอคงกำลังนึกถึงดาบที่ผมเคยใช้
“ตราบใดที่เป็นดาบ ข้าคิดว่าพวกพ่อค้าคงเก็บไว้บ้างอยู่แล้ว แต่ข้าไม่แน่ใจเรื่องคุณภาพของดาบ…”
เธอทำหน้าขอโทษ ในอดีตเธอเคยเรียนมาแต่เวทมนต์ศักสิทธิ์
ไม่เหมือนผม เธอมุ่งเรียนแต่เวทมนต์อย่างเดียวจนใช้คาถาที่ซับซ้อนได้
และเธอก็ใช้เวทมนต์อื่นๆ ได้เช่นกัน
“เธอไม่เอาคทาเวทมาด้วยเหรอ? ที่เธอเคยพกประจำมันคือเครื่องมือเวทใช่มั้ยล่ะ? “
อุปกรณ์เวทคืออาวุธที่บรรจุสกิลเอาไว้ จากที่แต่ละคนจะมีสกิลได้สกิลเดียว
อุปกรณ์พวกนี้เลยจำเป็นเพื่อที่จะใช้สกิลอื่นด้วย
สมัยนี้มันเป็นที่นิยมมากกว่าพวกอัญมณีเสียอีก
“ข้าขออภัย ข้าทิ้งมันไว้ที่ตระกูลฟอกซ์เพราะว่ามันเป็นมรดกของตระกูล ข้าเลยไม่อาจนำมาใช้ส่วนตัวได้
แต่ไม่ต้องเป็นห่วง ถึงจะไม่เท่าท่านไรเอล แต่ข้าก็เรียนเวทมนต์มาไม่น้อย ไม่เป็นตัวถ่วงแน่นอนค่ะ”
“น-นั่นสินะ”
ห้าธาตุและสองมนต์ขลัง คือพื้นฐานของเวทมนต์
ห้าธาตุคือธาตุจากธรรมชาติ [ไฟ] [น้ำ] [ดิน] [ลม] [สายฟ้า]
และสองมนต์ขลังคือสองคุณสมบัติ [ศักสิทธิ์] และ [ความมืด]
ถ้าเป็นขุนนาง ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะเป็นนักเวทที่ใช้หนึ่งในคุณสมบัติเหล่านั้น
ในหมู่ตระกูลอัศวินซึ่งเป็นขุนนางที่ใช้เวทมนต์ไม่ได้
ก็มีแม้กระทั่งคนที่เปลี่ยนสถานะทางสังคมจากกการเป็นนักเวทด้วย
ถึงพรสวรรค์ในการใช้แต่ละธาตุในแต่ละคนจะไม่เท่ากัน
แต่โดยทั่วไปแล้วนักเวทจะใช้เวทมนต์ทุกธาตุได้ในระดับนึง
ในกรณีของโนแวม เธอมุ่งเรียนเฉพาะทางไปที่จุดเดียว
[ช่างขยันหมั่นเพียร…เป็นเด็กดีอะไรเช่นนี้]
ผมได้ยินเสียงของรุ่นที่หนึ่ง พอรู้ว่าโนแวมมาจากตระกูลฟอกซ์ เขาก็เริ่มชมเธออย่างออกหน้าออกตา
จากเรื่องที่เหล่าบรรพบุรุษคุยกัน ดูเหมือนตระกูลวอลท์จะเป็นหนี้บุญคุณตระกูลฟอกซ์ชนิดใช้ยังไงก็ไม่หมด
แต่คงเป็นเพราะเวลาผ่านมานานมาก ทำให้ตระกูลวอลท์ทำเหมือนกับตระกูลฟอกซ์เป็นข้ารับใช้
ดูจากที่ตั้งแต่รุ่นที่ห้าลงมาไม่พูดแก้ตัวอะไรเลย
โดยเฉพาะรุ่นที่สองและรุ่นที่สี่ ที่คอยย้ำผมว่าให้ดูแลโนแวมดีๆ พวกเขาค่อนข้างน่ารำคาญนิดๆ
[ไรเอล พยายามด้วยตัวเองหน่อย ทำไมเจ้าถึงพึ่งพาหนูโนแวมมากขนาดนี้]
รุ่นที่สองพูด แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงนี่
‘เดี๋ยวนะ ถ้าพวกเขาดูแลพวกบรรพบุรุษอย่างดี แสดงว่าไม่ใช่ผมคนเดียวที่พึ่งพาพวกเขาสินะ..’
ผมคุยกับพวกเขาต่อหน้าโนแวมไม่ได้ ผมจึงเมินพวกเขาและคุยกับเธอต่อ
“วันนี้พวกเราจะพักที่หมู้บ้านใกล้ๆ แล้วพอถึงเมืองปลายทาง ข้าก็คิดว่าจะเดินเท้าออกจากเขตแดนน่ะ”
โนแวมปฎิเสธ
“มันก็ดูดีนะคะ แต่ข้าว่ามันจะดีกว่าถ้าเราเดินทางไปกับกลุ่มพ่อค้านะ
ถ้าเราเดินทางเดี่ยวๆ จะโดดเด่นมากเกินไป ทำให้เป็นเป้าหมายได้ง่ายค่ะ”
ความเห็นของผมคงแย่มาก รุ่นที่หนึ่งถึงพูดขึ้นมา
[ทำไมเจ้าถึงไม่รู้เรื่องธรรมดาๆ กัน!? เจ้านี่มันถูกเลี้ยงอยู่ในกระดองมากไปแล้ว
ผู้ชายตระกูลวอลท์ต้องดุร้ายกว่านี้สิวะ! ]
รุ่นที่สองเถียงกลับ
[เลิกบ่นซักที! เจ้าเองก็ไม่ได้ดูดุร้ายอะไรเลย เจ้ามันก็แค่ไอ้ง่าว! ]
[ไอ้สารเลว! แกพูดอะไรกับผู้อาวุโสกว่าฟ่ะ! ไปเจอกันข้างนอกหน่อย! ]
[มันออกไปได้ที่ไหนล่ะ ไอ้งี่เง่า! ]
‘พ-พวกเขาหนวกหูชะมัด’
หลังจากนั้นพวกผมก็เดินไปรอบๆ เมื่องเพื่อซื้อเสบียงที่จำเป็น และออกเดินทาง
.
.
.
พวกเราหยุดพักที่เมืองระหว่างทางหนึ่งคืน และถึงจุดหมายในวันถัดมา
เมืองนี้เป็นเมืองปลายเขตแดนของตระกูวอลท์ และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่เชื่อมต่อกับดินแดนอื่นๆ
เพราะแบบนั้นที่นี่จึงมีโครงสร้างคล้ายป้องปราการ
จำนวนทหารที่ประจำการอยู่ก็มากกว่าเมืองอื่นๆ เช่นกัน
เรามาถึงกันตอนเย็น โดยพ่อค้าเร่ก็กล่าวขอบคุณเรา
เป็นเพราะระหว่างทางพวกเราคอยช่วยงานเขา ส่วนใหญ่ก็เป็นโนแวมที่ช่วยเหลือเขาอย่างคล่องแคล่ว
ส่วนผมแค่…แค่รออยู่เฉยๆ และดูเธอทำงาน
“ขอบคุณที่เดินทางมากับข้านะ ถึงเราจะไม่เจอมอนสเตอร์เลย แต่นี่คือค่าจ้างของพวกเจ้า”
เขาพูดและส่งเหรียญทองแดงให้
“ขอบคุณนะ”
ผมเป็นคนรับเงิน แต่คนที่ได้รับคำขอบคุณจากเขาคือโนแวม
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าปล่อยผู้หญิงดีๆ แบบนี้ไปเชียวนะ ข้าอิจฉาเจ้าชะมัดเลย “
“ค-ครับ…”
ผมตอบอย่างคลุมเครือ รุ่นที่สี่ก็พูดขึ้นมา
[เฮ้ย พวก เจ้าต้องพูดอะไรสักอย่างเพื่อให้หนูโนแวมหลงเจ้านะ! ‘เธอเป็นผู้หญิงที่ดีเกินไปสำหรับข้า’ หรืออะไรก็ได้! ]
รุ่นที่ห้ากระซิบ
[เจ้าหนู เจ้ามีเวลาอีกมากในการหาคู่ครอง
ส่วนเจ้าจะสงบใจไม่ได้หรือไง ถ้าเจ้าหนูไม่พูดอะไรแบบนั้นน่ะ ให้ตายเถอะ…]
‘อะไรของพวกเขาเนี่ย พวกเขาใช่บรรพบุรุษของเราจริงเหรอ? ‘
ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากยอมรับนะ แค่อยากเถียงสักคำสองคำน่ะ
“ถ้าจะไปเมืองเดลลีน พวกเจ้าควรจะนั่งรถม้าจากเมืองใหญ่ไปที่เมืองหลวงของจักรวรรดิก่อน ถ้าไปได้ไกลขนาดนั้นแล้วก็สบายใจได้
แต่ก็ระวังตัวด้วย ถึงตระกูลวอลท์จะปราบปรามมอนสเตอร์อย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีหัวเมืองหลายแห่งที่ยังอันตรายอยู่”
พวกเราขอบคุณพ่อค้าเร่สำหรับคำแนะนำ และออกเดินหาที่พัก
เพราะไม่มีเวลาว่างเหลือให้ซื้อของวันนี้ ผมเลยวางแผนที่จะพักที่โรมเตี๊ยมสัก 2-3 คืน
เพื่อที่พวกเราจะได้มีเวลาเตรียมตัว
และดูเหมือนว่าพออัญมณีดูซับสกิลของผม พื้นที่ในอัญมณีก็เต็ม
จากที่รุ่นที่สามบอกไว้ พออัญมณีได้รับสกิลทั้งแปดของพวกเรา ก็พัฒนาเป็น [อัญมณีล้ำค่า]
จนตอนนี้ผมคิดว่ามันคืออุปกรณ์สำหรับใช้สกิล แต่มันกลับปรากฎความสามารถในการพูดคุย
กับผู้ใช้อัญมณีในอดีต บรรพบุรุษของผม ขึ้นมาซะงั้น
‘สำหรับผม ความสามารถนี้มันก็แค่ความน่ารำคาญ…’
แต่อัญมณีนี้ยังไม่สมบูรณ์ ตามที่เหล่าบรรพบุรุษบอก การใช้สกิลจำเป็นต้องมีเชื้อเพลิง
นั่นคือพลังเวทของผม
‘ความเหนื่อยล้าของเราจะไม่หายไปเร็วๆ นี้ เพราะการเดินทางที่ไม่คุ้นเคย และอัญมณีสินะ’
สรุปเหตุผลที่ผมเหนื่อยง่ายก็เพราะ เหล่าบรรพบุรุษเอาแต่ขยับปากและดูดพลังงานของผม
ถึงจะไม่มาก แต่ยิ่งพวกเขาพูดเยอะพลังเวทโดยรวมที่ถูกดูดออกไปก็มากตาม
“ท่านไรเอล ที่นี่เป็นยังไงคะ? ทั้งราคาแล้วก็สิ่งอำนวยความสะดวกค่อนข้างดีเลย”
โนแวมเลือกโรงเตี๊ยมได้แล้ว ผมตัดสินใจเชื่อฟังเธอ แต่เดียวนะ
ผมไม่เห็นความต่างระหว่างโรงเตี๊ยมนี้กับที่เมืองก่อนเลย มันดูเหมือนกันไปหมด
“คงจะดีถ้ามีห้องอาบน้ำนะ”
“ข้าเสียใจด้วยค่ะ ที่นี่ก็เป็นแบบยืมถังน้ำ”
พอโนแวมทำหน้าขอโทษ รุ่นที่สี่ก็ตะคอกออกมา
[เจ้าคิดจะฟุ่มเฟือยอีกแล้วนะ! ]
‘ได้โปรดหยุดเถอะ ยิ่งท่านตะโกน ผมยิ่งรู้สึกได้ว่าพลังเวทถูกดูดออกไปน่ะ’
ความรู้สึกของการที่พลังเวทของตัวเองถูกคนอื่นใช้ได้ตามใจ มันโคตรแย่ต่อทั้งร่างกายและจิตใจของผมเลย
.
.
.
หลังจากที่ผมนอนหลับในที่พัก ผมก็ตื่นขึ้นมาที่ห้องบรรพบุรุษอีกครั้ง
ห้องที่ผมเห็นภายในอัญมณีนี้ เหมือนจะเป็นภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้น
มันคือห้องที่ผมได้คุยกับคนอื่น แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังมองดูความฝันอยู่
ปกติพวกเขามักจะโต้เถียงกันเสียงดัง แต่วันนี้พวกเขาคงมีอะไรสำคัญจะบอกผม
[ข้าลองคิดด้วยตัวเองแล้ว บางอย่างก็ผุดขึ้นมาในใจข้า แต่…]
เมื่อรุ่นที่หนึ่งพูดยืดเยื้อ รุ่นที่สองก็ตัดบท
พอคำพูดของเขาโดนขัด รุ่นที่หนึ่งสุดเถื่อนก็ไม่พอใจ
[ที่สำคัญกว่านั้น ข้าว่าพวกเราควรมีกฎในการสนทนากันก่อนนะ? ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ไรเอลคงใกล้จะตาย? ]
รุ่นที่สองอาจจะกังวลเรื่องพลังเวทของผม
ปู่ของผมเห็นด้วย
[พวกเจ้ามันดี๊ด๊าเกินไป! ถ้าเกิดหลานข้าล้มพับไปจะทำยังไงห้ะ!? ]
เป็นที่ชัดเจนว่าเหล่าบรรพบุรุษตรงหน้าคือความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในอัญมณี
ซึ่งเป็นตัวแทนของสกิลที่อยู่ข้างในนี้ มันไม่ใช่ชิ้นส่วนของวิญญาณหรืออะไรที่พวกเขาทิ้งไว้เลย
พวกเขาตายไปนานแล้ว
แต่ความทรงจำและสกิลของพวกเขายังคงอยู่ในอัญมณี
ซึ่งทั้งบุคลิกภาพและรูปร่างก็ถูกทอดแบบมาจากช่วงยุคทองของพวกเขาเอง
ดังนั้นพวกเขาจึงแทบไม่ต่างจากตอนที่มีชีวิตอยู่เลย
รุ่นที่สามพูด
[งั้นก็ต้องมีคนกลางระหว่างเจ้าหนูกับพวกเราสินะ แม็กซ์ เจ้าเป็น]
เพราะไม่มีใครอยากทำ คนที่เหลือจึงเเห็นชอบด้วย
[ไม่มีปัญหา เอาเลย]
[ข้าว่าแบบนั้นก็ดี]
[ใช่]
[ท-ทำไมพวกเจ้าถึงโยนทุกอย่างมาให้ข้าเนี่ย!? ]
รุ่นที่สี่โมโห แต่เขาก็เปลี่ยนกระแสของเรื่องนี้ไม่ได้ และอาจเป็นเพราะเขาชอบมองโลกในแง่ร้ายตั้งแต่แรก เขาจึงยอมรับมัน
จากนั้นการตั้งกฎก็ดำเนินต่อ
[การพูดถึงชื่อบุคคล พ่อ หรือปู่ อาจทำให้ไรเอลสับสนได้ งั้นถ้าเรากำหนดให้เรียกชื่อรุ่นแทนล่ะ? ]
ไม่มีใครค้านความเห็นของรุ่นที่สามเป็นพิเศษ
[แล้วถ้าพิจารณาเรื่องพลังเวทมันน้อยนิดของไรเอลแล้ว เราจะคุยกันให้น้อยยังไงดีล่ะ? ]
“…ข้ากำลังโดนดูถูกอยู่นี่? “
รุ่นที่ห้าพูดออกมาอย่างชัดเจน จนผมคิดว่าเขาคือคนที่มีความเมตตาน้อยที่สุดในนี้
[ข้าหมายถึง ลองคิดดูสิถ้าเจ้าพลังเวทหมดหลังจากใช้เวทมนต์ไปแค่ไม่กี่นัดน่ะ? มันจะใช้สู้จริงไม่ได้เลยนะ? ]
เขายังคงพูดถึงพลังเวทอันต่ำเตี้ยของผมต่ออีกสักพัก กฎก็ถูกตั้งขึ้นจนเสร็จ
แต่ผมมั่นใจว่าฝึกมาอย่างดีแล้วนะ การถูกบอกว่าพลังเวทของผมต่ำเนี่ยคาดไม่ถึงเลย
[โฮ้ พวกเจ้าอย่าเมินข้าสิ! ไม่ใช่ว่าข้าคือรุ่นที่หนึ่งของตระกูลวอลท์เรอะ!? ข้าคือโคตรVIPนะเว้ย! ]
เมื่อมาขนาดนี้แล้ว ก็ไม่มีใครสนใจฟังสิ่งที่รุ่นที่หนึ่งพูดอีก
พอได้ยินที่พูด รุ่นที่สองก็ขำเยาะเย้ย ดูแล้วระหว่างพวกเขาคงไม่ลงรอยกันแหง
ผู้ไกล่เกลี่ยน รุ่นที่สี่ขยับแว่นตาของเขาแล้วอนุมัติคำพูดของรุ่นที่หนึ่ง
[อย่าลืมว่าพวกเราต้องประหยัดพลังเวทนะ โปรดพูดให้สั้น รุ่นที่หนึ่ง]
[…อย่างน้อยก็เติมท่านด้วยสิฟ่ะ… เออ เรื่องของข้าคือน้องสาวของเจ้าไรเอล
เธอเป็นเด็กสาวที่มีบรรยากาศอันสมบูรณ์แบบใช่มั้ย? งั้นข้าขอถามอะไรหน่อย]
“ครับ”
เขามองผมอย่างจริงจังกว่าปกติ
[น้องสาวของเจ้าดูสวยเสน่ห์กว่าวัยของนาง หรือเธอแค่งดงามเฉยๆ ? มีอะไรที่เจ้าคิดว่าผิดปกติมั้ย? อย่างผู้ชายมักจะเข้าหาเธอเงี้ย? ]
พอพูดแบบนั้น ผมก็นึกอยู่พักนึง ทั้งๆ ที่เธออายุแค่ 13 แต่เธอก็เป็นน้องสาวที่เหมาะกับคำว่า ห อ ม อย่างที่สุด
ถึงพ่อแม่ของผมจะไม่อนุญาต แต่ก็มีคำขอแต่งงานมามากมาย มีกระทั่งผู้ชายจากตระกูลเลื่องชื่อมาสู่ขอ
“อืม จากอายุ…ถึงข้าจะไม่ได้ชอบร่างกายของเธอ แต่เธอก็สวยมาก ไม่ใช่น่ารักแบบเด็กสาว แต่เป็นคนที่มีเสน่ห์หลักแหลมมาก”
[งั้นข้าต่อนะ เจ้าพูดว่าบรรยากาศในคฤหาสน์มันแปลกไปใช่มั้ย? ทั้งๆ ที่ก่อนเจ้าอายุ 10 ปีมันปกติดี? แล้วอยู่ๆ มันก็เปลี่ยน…]
มันเป็นความทรงจำอันเจ็ดปวด ผมเลยทำได้แค่พยักหน้าเงียบๆ ผมดิ้นรนแทบตาย แต่ไม่เคยได้รับการตอบแทนเลย
[โป๊ะเช๊ะเลย! ]
รุ่นที่หนึ่งทุบโต๊ะ และประกาศความจริงเกี่ยวกับน้องสาวของผมอย่างยิ่งใหญ่
[น้องสาวของเจ้า…เซเลส คือสัตว์ประหลาดไงล่ะ! ]
“…ห้ะ? ”
[[[…เอิ่ม…]]]
อากาศในห้องหยุดนิ่ง เพราะเขาดูจริงจังกว่าปกติทุกคนเลยตั้งใจฟังสิ่งที่รุ่นที่หนึ่งพูด และผลของมันก็…
รุ่นที่สี่ตัดสินใจจบการประชุมในวันนี้
[อืม วันนี้เราก็ตั้งกฎกันไปแล้ว เอาเป็นว่ามันจะดีกว่าถ้าเราไม่ประชุมกันทุกวัน แต่ถ้ามีเหตุจำเป็น
พวกเราจะติดต่อเจ้าไปนะ ไรเอล]
“ครับ เอาตามนั้น”
ผมรู้สึกดีที่ปัญหาเรื่องพลังเวทของผมถูกแก้ ทุกคนรอบๆลุกขึ้นแยกย้ายกันไป
มันมีประตูอยู่รอบๆ ผมเดาว่าบรรพบุรุษแต่ละคนคงมีห้องส่วนตัวของตัวเอง
[จบแล้วทุกคน ขอบคุณที่เหนื่อยนะ]
[น่ายินดีจริงๆ ]
[ครับ งานดีมาก~]
[เฮ้อ ข้าคิดว่าเขาจะจริงจังแล้วซะอีก ไหงเป็นแบบนี้นะ…]
เมื่อทุกคนกลับเข้าห้องหมดแล้ว รุ่นที่หนึ่งก็พูดขึ้น
[ฟังข้าสิวะ ไอ้พวกเวร! ข้าจริงจังนะโว้ย! เซเลสคือสัตว์ประหลาดจริงๆ นะ! ]
ดูเหมือนว่าผมจะสามารถออกจากห้องนี้ได้เลยเพียงแค่คิด ผมจึงบอกลาและหายไป
“อ่า ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ”
[ให้ตายสิวะ! ]
เสียงผู้ก่อตั้งตระกูลวอลท์ก็ดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุมอันว่างเปล่า
—
หึ อ่านชื่อตอนแล้วนึกว่าจะได้บวกมอนแล้วล่ะสิ