เดลลีน
—
พวกเราขึ้นรถม้าไปที่เมืองหลวงตามคำแนะนำของพ่อค้าเร่
ถนนถูกดูแลอย่างดี เกวียนก็ลากโดยม้าตั้ง 6 ตัว คนขับก็ดี แต่การเดินทางไปเมืองหลวงมีค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลย
5 เหรียญเงินต่อคน
รวมผมกับโนแวมด้วยแล้วก็เป็น 1 เหรียญทอง
ผมนั่งมองทิวทัศน์นอกรถม้า
บางทีโนแวมอาจจะเหนื่อย เธอนั่งหลับพิงผมและหายใจอย่างแผ่วเบา
‘เธอกดดันตัวเองมากไปสินะ? ‘
ถึงผมจะไม่ได้เรื่อง แต่เพราะมีโนแวมอยู่ด้วยผมเลยมาจนถึงนี่ได้
แม้ท้ายที่สุดผมจะมาเองได้อยู่แล้ว แต่ระหว่างทางบางครั้งคงจบที่การเดินเท้าแหง
การที่ไม่เคยตั้งแคมป์มาก่อน แล้วออกเดินทางคนเดียวนั้นเป็นเรื่องที่หมดคำจะบรรยายเลยล่ะ อ้างอิงจากเหล่าบรรพบุรุษของผม
ถึงผมจะคิดว่ามันจะต้องไปได้สวย แต่พวกเขากลับเซ็งต่อกระบวนการคิดอันใสซื่อของผม
แม้แต่รุ่นที่เจ็ดหรือท่านปู่ก็ยังไม่เข้าข้างผมในเรื่องนั้น
เพื่อไม่ให้โนแวมตื่่น ผมจึงทำได้แค่มองไปข้างนอก
ผมได้ยินเสียงของรุ่นที่สอง
เขาคือคนที่จะคอยดูแลผมวันนี้
ผมไม่รู้หลักเกณฑ์ แต่ในขณะเดินทางจะเป็นรุ่นที่หนึ่งกับรุ่นที่สอง หรือบางครั้งก็เป็นรุ่นที่สี่ ที่เริ่มพูดคุยกับผม
เป็นเพราะเรื่องพลังเวท การคุยกับผมรวดเดียวสองคนขึ้นไปจะทำให้ผมเหนื่อย เพราะงั้นพวกเขาถึงพูดกับผมทีละคน
[สมัยของเจ้ามีของอำนวยความสะดวกเยอะดีนะ ในยุคของข้าไม่มีโช้คแบบนี้หรอก]
ผมตอบกลับด้วยเสียงกระซิบ
“เป็นอย่างนั้นเหรอครับ? ”
[มันเกือบจะสองร้อยปีแล้ว อุปกรณ์เวทมนต์ใช่มั้ย? พวกเราไม่มีของสะดวกสบายแบบนั้นหรอก]
อุปกรณ์เวทมนต์คือสิ่งที่สร้างขึ้นทดแทนอัญมณี พวกมันทำให้ผู้คนใช้สกิลได้ง่ายขึ้นมาก
แต่ในขณะเดียวกัน คงเพราะความแข็งแกร่งของอัญมณี ทำให้คนๆ เดียวใช้อุปกรณ์เวทพร้อมกับอัญมณีไม่ได้
ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะปัญหาเรื่องพลังเวท ตอนนี้ผมจึงใช้อุปกรณ์เวทไม่ได้
หากรวมสกิลของเหล่าบรรพบุรุษไปด้วย ทำให้ภาระที่ผมได้รับมันมากเกินไป
และสกิลส่วนใหญ่ของพวกเขาผมก็ใช้ไม่ได้อยู่แล้ว
ผมหมายถึง…สกิลของพวกเขามันมากเกินจะรับ ผมจึงใช้ไม่ได้
รุ่นที่สองบอกว่าเพราะความสามารถที่ผมมี มันเลยส่งผลต่อสกิลอื่นๆ ด้วย
ส่วนรุ่นที่หนึ่ง เพราะเขายังไม่ยอมรับผม เขาจึงไม่อยากให้ผมใช้มัน
สกิลอื่นๆ ก็คล้ายๆ กัน พวกเขาบอกว่าร่างกายผมรับไม่ไหวเลยยังไม่อนุญาตให้ใช้
‘ผมใช้ไม่ได้สักสกิลเลยใช่มั้ยเนี่ย? ’
“ถึงพวกจะหาที่พักระหว่างทางให้ก็เถอะ แต่ห้าเหรียญเงินมันถือว่าแพงรึเปล่า? “
สามัญสำนึกเรื่องเงินของผมแย่กว่าที่คิด เพราะตั้งแต่รุ่นที่ห้าลงมา
พวกเขาเริ่มใช้ชีวิตแบบขุนนางอย่างเต็มตัวจึงทำให้สูญเสียวิธีใช้เงินแบบคนธรรมดาไป
มันชัดเจนตอนที่ผมเลือกอาวุธ
เมื่อพ่อค้าแนะนำดาบราคาแพง รุ่นที่ห้าก็บอกว่าของราคาแพงย่อมทำให้อายุการใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
และมีอัตราส่วนที่ดีระหว่างประสิทธิภาพกับราคาที่จ่ายไป
แต่พอดูเงินที่ผมมีมันเป็นไปไม่ได้ที่จะซื้อ เพราะถึงซื้อไป ก็มีแต่จะทำให้การเดินทางยากลำบากขึ้น
รุ่นที่สองกับรุ่นที่สามจึงไม่เห็นด้วย
[ข้าคิดว่ามันถูกด้วยซ้ำ การที่เจ้าเดินทางไปเมืองหลวงอย่างปลอดภัย และได้ที่พักด้วยในราคาแค่ 5 เหรียญเงินน่ะ?
ถ้าเป็นข้าคงดีใจออกหน้าไปแล้ว หวังว่าพวกเขาจะมีคนโดยสารมากพอที่จะได้กำไรนะ]
จากมุมมองของคนธรรมดา 5 เหรียญเงินถือว่ามาก แต่ก็แลกมากับการเดินทางที่ปลอดภัย
ด้วยราคานี้ทำให้มีคนใช้บริการค่อนข้างน้อยเลยล่ะ
[เจ้าอยู่ในยุคที่สะดวกสะบายจริงๆ ]
หลังพูดจบรุ่นที่สองก็เงียบไป ผมมองสร้อยอัญมณีที่ถืออยู่ในมือ คริสตัลสีน้ำเงินนี้คือสมบัติของตระกูลวอลท์ที่ตกทอดกันมารุ่นต่อรุ่น
มันจะดีจริงๆ เหรอที่ของล้ำค่าแบบนี้มาอยู่ในมือของผมเนี่ย?
‘หวังว่ามันจะไม่นำปัญหามาให้นะ’
ระหว่างนั้นโนแวมก็ขยับตัว ผมจึงรีบเก็บสร้อยไว้ในเสื้อ
แต่โนแวมก็ไม่ได้ตื่น
“พวกเราจะต้องเดินทางแบบนี้ไปอีกห้าวันสินะ…”
รถม้าที่เราโดยสารนั้นมีทหารคุ้มกันอยู่รอบๆ เมื่อผู้โดยสารเห็นพวกเขาก็รู้สึสบายใจ
แต่ตามที่บรรพบุรุษของผมบอก ระดับสกิลขอคนคุ้มกันไม่ค่อยสูงนัก
ย้อนไปในยุคของพวกเขาทหารจะมีระดับสกิลที่สูงกว่านี้มาก ในตอนที่พวกเขาขิงกันว่า [รุ่นข้าเจ๋งสุด] น่ะนะ
ผมเลือกที่จะนั่งหลับเหมือนโนแวมบ้าง
.
.
.
ตอนเย็นของวันที่ห้า
เมื่อพวกเรามาถึงปลายทางของขบวนโดยสารคือเมืองหลวงของจักรวรรดิแล้ว
พวกเราก็ติดสินใจหาที่พักก่อน เพราะท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว
คืนนี้คงเป็นคืนที่อ่อนเพลีย เพราะความเหนื่อยล้าสะสมตลอดการเดินทางห้าวันที่ผ่านมา
ยิ่งสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคยมันมากไปสำหรับผม
พวกเราควรพักสักหน่อย…เพื่อโนแวม คือสิ่งที่บรรพบุรุษบอก
“ท่านไรเอลเอาจริงหรือคะ? ที่พักคราวนี้ข้าว่ามันแพงเกินไป”
ตรงหน้าเราคือโรงแรมที่ไม่เหมือนที่ก่อนๆ มันมีห้องน้ำในห้องส่วนตัวด้วย
[เซ็นเทรล] รูปลักษณ์ภายนอกดูช่างเหมาะสมกับเมืองหลวงบานซิม มันหรูหราสุดๆ
บรรยากาศก็ต่างกับหมู่บ้านและโรงแรมที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง
“เว้นไว้สักวันเถอะ การฟื้นความเหนื่อยล้าจากการเดินทางนานๆ ก็สำคัญนะ”
‘และถ้าเราไม่ทำ มีหวังพวกบรรพบุรุษโวยวายอีกแหง’
ตั้งแต่รุ่นที่หนึ่งถึงสี่ พวกเขาค่อนข้างเป็นห่วงเธอ
ส่วนเรื่องโนแวมหรือตระกูลฟอกซ์ทำอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณนั้น…
รุ่นที่หนึ่งได้รับการช่วยเหลืออย่างมากในตอนที่เขาเริ่มบุกเบิกปรับหน้าดินและเพาะปลูก บนดินแดนใหม่ที่ถูกทิ้งร้าง
รุ่นที่สองได้รับการแนะนำเรื่องการบริหารดินแดนและหาคู่ครองให้ด้วย
ในตอนที่รุ่นที่สามสับสนกับหน้าที่ขุนนางของตัวเอง พวกเขาก็คอยช่วย
หลังจากรุ่นที่สามตายในสนามรบ และตระกูลได้รับแต่งตั้งยศบารอน
รุ่นที่สี่ที่โดนบังคับให้เป็นผู้นำตระกูลบารอนตั้งแต่ยังเด็กเพราะความพยายมของพ่อ ก็มีตระกูลฟอกซ์ที่คอยช่วยเหลือเขาจากเงามืด
สรุป!
‘บ้านเกิดของผม ตระกูลวอลท์ไม่มีทางก้าวมาได้ขนาดนี้แน่ ถ้าไม่มีตระกูลฟอกซ์อยู่…
ถึงแบบนั้นตระกูลเรากลับทำให้พวกเขาเป็นตระกูลบริวาร มันไม่มีทางชดใช้ได้เลย’
ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้เกี่ยวกับโนแวมโดยตรง แต่พวกเขาก็ต้องการให้ผมตอบแทนบุญคุณนี้ด้วย
และความคิดนี้ก็เปลี่ยนไปสิ้นเชิงเมื่อในสมัยของรุ่นที่ห้าลงมา
เพราะสองตระกูลนี้อยู่ด้วยกันมานานหลายปี พวกเขาจึงคิดว่าหนี้บุญคุณนี้ชำระคืนหมดแล้ว
และมีแค่รุ่นที่หนึ่งถึงสี่ที่ติดหนี้นี้โดยตรง ตั้งแต่รุ่นที่ห้าลงมาจึงไม่พอใจนัก
‘เดี๋ยวนะ ถ้าสนิทเคียงข้างกันขนาดนี้ ทำไมทั้งสองตระกูลถึงไม่เคยแต่งงานกันเลยล่ะ…’
ผมว่ามันต้องมีบ้าง แต่ด้วยความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างสองตระกูลนี้กลับไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอยู่เลย
โดยธรรมดาด้วยระยะเวลากว่าร้อยปีมันไม่แปลกที่ทั้งสองตระกูลจะมีการแต่งงานกันบ้างสิ
‘พวกท่านทำอะไรกันอยู่…ตระกูลของเรา…ไม่สิ ท่านบรรพบุรุษ’
จากที่ผมได้ยินในห้องประชุม ผมกลับรู้สึกว่ามีอะไรสำคัญที่ตกหล่นไป
ในเรื่องเล่า รุ่นที่หนึ่งคือผู้ที่ออกบุกเบิกเส้นทางสู่ดินแดนทุรกันดาร และก่อตั้งตระกูลขึ้น
ถึงอย่างนั้นคนแบบเขากลับถูกเข้าใจว่าเป็นนักรบคนเถื่อน
“ขอบคุณที่เธอมาด้วยกันกับข้าไกลขนาดนี้นะ งั้นเราเข้าไปกันเลยมั้ย? ”
“ค่ะ”
พวกเราเปิดประตูเข้ามาในโรงแรม และเจอเคาเตอร์ที่สะอาดสะอ้าน ห้องก็สว่างไสวด้วยหินเวทมนต์
พนักงานหลังเคาเตอร์ก็ต้อนรับพวกเราอย่างจริงใจ และสุภาพ
“พวกท่านต้องการค้างคืนงั้นรึขอรับ? ”
“ใช่แล้ว”
ในที่สุดก็จะได้พักจริงๆ สักที ผมคิดแบบนั้น
.
.
.
[ศูนย์คะแนน]
ผมอุตส่าห์ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ หลังจากไม่ได้นอนมานาน แต่ผมกลับโดนเรียกมาที่ห้องประชุมอีกครั้ง
ที่นี่มีแค่รุ่นที่หนึ่งอยู่คนเดียว
พอเจอหน้ากันเขาก็ให้คะแนนผม ซึ่งผมก็ไม่รู้จะตอบโต้กับคะแนนที่เขาให้ยังไงดี งั้น…
“งั้นหรือครับ? …ผมกลับได้แล้ว? “
[ทำไมเจ้าคิดไม่มีใจคิดแข่งขันสักนิดเนี่ย!? เจ้าทำตัวเชื่อฟังจนน่าเบื่อเลย! ]
สำหรับเขา ต่อให้ผมตอบไปยังไงก็โดนโกรธอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?
ผมตัดสินใจฟังสิ่งที่รุ่นที่หนึ่งจะพูด
“แล้วมีอะไรครับ? ผมอยากพักเพื่อเตรียมตัวสำหรับพรุ่งนี้นะ”
[ข้ารู้น่า! แต่ข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ให้ได้]
เขาดูจริงจัง แต่เขาอาจจะพูดเรื่องสัตว์ประหลาดบ้าบอเหมือนครั้งก่อนก็ได้
ผมำทำหน้าไม่พอใจ แต่สายตาของเขาดูไม่ได้ล้อเล่น และเขาก็เริ่มเล่าเรื่องการสร้างอาณาจักร
[ข้าเกิดเมื่ออาณาจักรนี้เริ่มก่อตั้งมาได้ 15 ปี ในเวลานั้น ข้าเป็นผู้รอดชีวิตจากภายสงครามกลางเมือง]
“…อ่า ครับ? ”
[ในที่ๆ ข้าอยู่ ที่นั่นมีทหารที่ผ่านศึกระหว่างฝ่ายขุนนางและราชวงศ์มา
คนแก่ๆ เหล่านั้น….พวกเขามักจะถามกันเองเสมอว่าทำไมถึงต้องต่อสู้กันในตอนนั้น]
ผมระลึกถึงหน้าประวัติศาสตร์กว่าสามร้อยปีของอาณาจักร ในช่วงที่ผมฝึกฝนตัวเองอยู่ ผมก็ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และความเป็นมาของประเทศนี้
ในช่วงนั้นระบอบราชาธิปไตยเกิดความล้มเหลว และเหล่าขุนนางก็ทนไม่ไหวจนลุกฮือขึ้นก่อกบฎ และสร้าง [อาณาจักรบานซิม] ขึ้นมา
“ไม่ใช่ว่าไฟในตัวพวกเขาดับลงแล้วเหรอครับ? ”
[ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เจ้ารู้มั้ย ทหารแก่พวกนั้นบอกว่าพวกเขาเหมือนตกอยู่ในความฝัน และที่นั่นก็มีความงามอันสูงส่งของราชวงศ์อยู่ด้วย]
ผมคิดว่าคงเป็นเรื่องสาวงาม
แนวคิดนี้คือความเป็นไปได้ส่วนใหญ่ของสงครามในครั้งนั้น และมันค่อนข้างชัวร์เพราะเวลาและสถานการณ์ที่ทำให้เกิดสงคราม
ผมถูกสอนมาว่า การกบฎที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้จะกล่าวว่าช่วงเวลานั้น สาวงามเพียงคนเดียวก็สามารถควบคุมกระแสบ้านเมืองได้ดั่งใจนึก
แต่ต่อให้มีสาวงามล่มเมืองอยู่ ก็ไม่น่าจะมีประเทศไหนที่ปล่อยให้บ้านเมืองไหลไปตามการชักนำนั้นง่ายๆ
นอกจากว่าศูนย์กลางของประเทศมันเน่าเฟะไปแล้ว
“ถ้าเรื่องของสาวงาม ข้าคิดว่าเคยได้ยินมาแล้วนะ แต่ไม่ใช่ว่ามันก็แค่หนึ่งในข้ออ้างของสงครามหรือครับ? “
[ไม่ใช่น่ะสิ มันมีอยู่จริง ข้าควรจะเรียกมันว่าจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์รึเปล่านะ?
ในเวลานั้นมันมีสัตว์ประหลาดออกมา สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึง และชั่วร่ายมากกว่ามอนสเตอร์ที่เจ้าพบเจอในป่ามากนัก]
เขายังคงเล่าต่อด้วยสีหน้าจริงจัง
[ชนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าอาจจะคิดว่ามันคือเรื่องเล่าปรัมปรา แต่ในเวลานั้นมันคือความโกลาหล
ปู่ย่าตาทวดของข้าบอกว่ามันมีเรื่องพิศวงเกิดขึ้นมากมายจนตัวพวกเขาเองไม่อยากจะเชื่อด้วยซ้ำ และสิ่งเดียวที่ทำเรื่องพวกนั้นเกิดขึ้น…]
“…ก็คือสัตว์ประหลาดที่ว่า? ”
[ถูกต้อง! สาวงามล่มเมืองที่ทำให้ประเทศต้องล่มสลาย! นายพลผู้บญชากองทัพนับพัน! จอมเวทที่พลิกแผ่นดิน!
บุคคุลเหล่านี้จะปรากฎขึ้นบนจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์! น้องสาวของเจ้าคือตัวตนประเภทนั้น
สัตว์ประหลาดที่สามารถพลิกหน้าประวัติศาสตร์ได้ ซึ่งนางก็เกิดมาจากสายเลือดของข้า]
“ม-มันไม่น่าจะเป็นไปได้นะครับ”
ผมยังคงไม่อยากเชื่อ รุ่นที่หนึ่งพูดต่อ
[งั้นไม่คิดว่าคนในตระกูลของจะไม่ใยดีเจ้าเกินไปเหรอ? แม้เจ้าจะกาก แต่สุดท้ายเจ้าก็คือผู้ชายที่จะขึ้นเป็นผู้นำคนต่อไปอยู่ดี
เจ้าก็ควรได้รับการปฎิบัติตัวที่เหมาะสมสิ ถ้าไม่พอใจอะไรก็ควรสั่งพวกนั้นให้เปลี่ยนไปตามใจเจ้าได้ แล้วก็ที่รอดมาได้นี่มันแค่โชคของเจ้าเองด้วยซ้ำ]
“โชค? ”
[ใช้ เจ้าลองคิดสิ เรื่องที่เกิดขึ้นนั่นถ้าเจ้าจะตายไปมันก็ไม่แปลกด้วยซ้ำน่ะ?
มันจะไม่ง่ายกว่าเหรอถ้าฆ่าเจ้าให้ตายแล้วกุเรื่องว่าป่วยตาย แทนที่จะเนรเทศเจ้าออกจากตระกูล?]
เมื่อได้ยินแบบนั้นผมก็ช็อก นี่ผมเคยอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครต้องการขนาดนั้น ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลย
พอคิดแล้วการที่ผมไม่โดนฆ่ามันก็แปลกๆ ยิ่งเซเลสที่ทำราวกับผมเป็นตัวน่าขยะแขยงด้วยแล้ว
[ในที่สุดก็เข้าใจแล้วสินะ? เจ้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยใช่มั้ย? เพราะเสน่ห์นั่นมันบดบังเจ้าอยู่?
การรอดจากสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งพอจะบิดเบียนสภาพแวดล้อมรอบตัวเจ้ามาได้ นับว่าโชคดีแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะความรักของพ่อแม่ ที่มากพอจะต้านทานสกิลของสัตว์ประหลาดก็ได้นะ]
เซเลส ตัวตนดุจสัตว์ประหลาดที่บิดเบือนสภาพแวดล้อมได้…รุ่นที่หนึ่งสรุป
[ตัวตนเหล่านี้วัดด้วยสามัญสำนึกปกติไม่ได้ การที่ไล่เจ้าออกมาจากตระกูลอาจจะเป็นเรื่องที่มันทำตามใจตัวเองเฉยๆ
ข้าเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของสัตว์ประหลาดหรอก แต่มันมีอยู่จริงแน่นอน]
เรื่องราวสัตว์ประหลาดของรุ่นที่หนึ่ง
ผมกลืนน้ำลาย ประสบการณ์ที่เจอเซเลสกลายเป็นเรื่องที่หัวเราะไม่ออก
“งั้น…เซเลสก็เป็นต้นเหตุของเรื่อง? ไม่ใช่ความผิดของข้างั้นเหรอ? “
[ข้าไม่รู้หรอก แต่สิ่งที่ข้ารู้ก็คือ เจ้ามันเด็กเหลือขออ่อนต่อโลกที่สร้างปัญหาให้บรรพบุรุษของตัวเอง
เป็นเด็กกระโปกนิสัยเสียของจริง และข้าก็ไม่รู้จักเด็กสาวที่ชื่อเซเลสด้วยซ้ำ
ที่ข้าเริ่มพูดขึ้นมาได้แบบนี้ก็มาจากการที่สกิลของเจ้าตื่นขึ้นในมาอัญมณี]
“ง-งั้นเหรอครับ? ”
เรื่องที่ผมไม่รู้จะตอบสนองยังไงเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ผมจึงทำได้แค่อยู่เงียบๆ
รุ่นที่หนึ่งพูดต่อ
[เฮ้ แล้วเจ้าคิดจะทำยังไงต่อไป? ]
“เอ๋ ข้าก็…จะเป็นนักผจญภัยไงครับ? ”
[ไม่ใช่! คำถามของข้าคือ เจ้าจะทำยังไงเมื่อรู้ว่าประเทศกำลังจะถูกคลื่นแห่งความโกลาหลกลืนกินต่างหาก!
ชีวิตของหนูโนแวมอยู่ในมือเจ้านะ! ถ้าเจ้าตอบควายๆ ข้าจะโบกให้ เจ้าเข้าใจใช่ไหม? ]
วันนี้มีเรื่องมากมายที่ผมไม่เคยคิดถึงมันมาก่อน
ผมเคยคิดว่ามันคงไม่เป็นไรถ้าจะเดินทางต่อไปเรื่อยๆ ในเมื่อถูกเนรเทศออกมาแล้ว
แต่ตอนนี้โนแวมกลับอยู่เคียงข้างผม ถึงจะบอกว่าเป็นเธอที่ตามมาเอง แต่ผมก็ไม่อาจทิ้งเธอไปได้หรอก
“ข-ข้า…”
[…เจ้าไปคิดต่อเองแล้วกัน แค่มองเจ้าต่อข้าก็หงุดหงิดแล้ว]
เมื่อพูดเสร็จ รุ่นที่หนึ่งก็เข้าห้องของตัวเองไปพร้อมปิดประตูเสียงดังโครม
เมื่อเหลืออยู่คนเดียวในห้อง ผมก็คิดว่าตัวเองควรทำอะไรต่อไปพักนึง
.
.
.
“เห็นแล้วค่ะ ท่านไรเอล! ”
โนแวมพูดออกมาเมื่อเห็นเมืองเดลลีน ในขณะที่เธอยืนอยู่บนเกวียน
ที่โนแวมร่างเริง คงเป็นพราะการเดินทางอันยาวนานนี้ได้สิ้นสุดลงสักที ผมก็อารมณ์ดีเช่นกัน
ผมวางแผนที่จะทุ่มเทตัวเองในฐานะนักผจยภัยที่เมืองนี้ และหยุดการเดินทางของพวกเราไว้ก่อน
“อืม มันดูเป็นเมืองที่ดีเลย”
ถึงจะไม่มีคนพลุกพล่านโหวกเหวกเหมือนที่เมืองหลวง แต่ก็เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวามาก
เดลลีน เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับการก้าวไปข้างหน้า…เหมือนที่แซลเคยบอกผมไว้
อย่างที่คิด เมื่อผมมองไปด้านข้างก็เห้นใบหน้าที่มีความสุขของโนแวม
‘แล้วเราควรจะยังไงดีนะ…’
ผมคิดมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วแต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ผมอยากปรึกษาใครสักคน
แต่เพราะวันนี้เป็นเวรของรุ่นที่หนึ่ง ทำให้เข้าไม่ตอบที่ผมเรียกเลย
เขาคงอารมณ์เสียแน่ ที่ต้องเฝ้าดูผมแบบนี้
“ข้าได้ยินมาว่ากิลด์นักผจญภันที่เดลลีนค่อนข้างใหญ่ ที่นี่มีงานให้ทำเยอะ และดีเยีย่มสำหรับเริ่มต้นเป็นนักผจญภัยเลยค่ะ”
“เจ้าได้ยินมาจากไหนเหรอ? ”
“ตอนที่พวกเราซื้อของที่เมืองหลวง ข้าอยากรู้ว่าเดลลีนเป็นเมืองแบบไหนเลยถามเอาจาก ร้านที่เราแวะไปพักน่ะค่ะ”
เมื่อโนแวมพูดจบ ผมก็ได้ยินเสียงจากอัญมณี
[…ช่างเป็นเด็กดีแท้ๆ เธอสมควรเป็นผู้สืบทอดมากกว่าเจ้าเสียอีก เทียบกันแล้ว การที่เจ้าแม้แต่ไม่คิดจะรวบรวมข่าวบ้างเลยเนี่ย..ชิช๊ะ! ]
ผมได้ยินยันเสียงเขาสะบัดลิ้น
“…โนแวม ขอบคุณที่ลำบากนะ ข-ข้าจะพยายามให้มากกว่านี้”
ผมรู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ ขณะกล่าวขอบคุณเธอไปด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ ที่ข้าทำเพราะอยากทำเอง ท่านไรเอล จากนี้มาพยายามด้วยกันนะคะ! ”
“อ-โอ้! ”
คราวนี้มีเสียงดังมาจากด้านหน้ารถม้า พ่อค้าหนุ่ม
“เชอะ! “
[เชอะ! ]
…เขาเดาะลิ้นพร้อมกันกับรุ่นที่หนึ่ง
—
ปูเรื่องจบแล้วใช่มั้ย! จบแล้วสินะ!?