“ฉัน … ฉันไม่ได้รับอะไรเลยในวิหารโบราณ ฉันไม่มีอะไรให้ผมป้องตัวจึงเกิดความโลภขึ้น!” เขาพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน
เย่ฟ่านไม่พูดอะไรแต่ผลักเขาออกจากแท่นบูชาห้าสีโดยตรงและทำให้ขาข้างหนึ่งของเขายื่นเข้าไปในพายุจนรองเท้าหลุดออกมา
“อย่า… ช่วยด้วย!” เพื่อนนักเรียนชายตะโกนด้วยความตกใจ “หลี่ฉางชิง … เขาเป็นคนบอกให้ฉันทำ!”
เย่ฟ่านดึงเขากลับมา คนอย่างนี้ไม่มีกระดูกสันหลังมีหรือจะรักษาความลับไม่ได้
แต่เขาก็ไม่คิดจะฆ่าใครในตอนนี้ เพราะถ้าเขาผลักเพื่อนนักเรียนคนนี้ออกจากแท่นบูชา 5 สีตรงๆคนอื่นๆก็จะหวาดกลัวเขาในที่สุด
เย่ฟ่านหยิบขวดน้ำแร่ของเพื่อนนักเรียนคนนั้นออกมาแล้วตบไหล่เขาเบาๆโดยกล่าวว่า
“เราอยู่ห้องเดียวกันมาสี่ปีแล้ว เราควรต้องช่วยเหลือกันนายเห็นด้วยไหม?”
” … แน่นอน!”
หลังจากที่เพื่อนนักเรียนชายได้รับอิสรภาพ ร่างกายของเขายังคงสั่นเทาแต่ก็รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ในเวลานี้ผังป๋อเต็มไปด้วยความโกรธ เขาถือแผ่นทองแดงและรีบพุ่งเข้าไปทุบตีเพื่อนนักเรียนที่ชื่อหลี่ฉางชิง
“บูม”
ผังป๋อเป็นคนสูงและแข็งแกร่งดังนั้นเพียงการตีออกไปครั้งเดียวก็สามารถทำให้เพื่อนนักเรียนคนนั้นล้มลงกับพื้น
“ไม่แปลกใจเลยที่แกพยายามช่วยเหลือเขาอยู่ตลอด แท้ที่จริงแล้วกลับเป็นว่าแกคือคนที่วางแผนทุกอย่าง!” ผังป๋อใช้เท้าเหยียบเข้าไปที่ใบหน้าของเพื่อนนักเรียนคนนั้นและตะโกนเสริม
“พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันมา 4 ปีพวกแกยังมีคุณธรรมหลงเหลืออยู่ไหม เจ้ายังมีความเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”
เขาหงุดหงิดมาก หลี่ฉางชิงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ยืนอยู่กับหลิวหยุนจือเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง
เย่ฟ่านเดินเข้าไปหยิบขวดน้ำจากเอวของหลี่ฉางชิงก่อนจะยัดมันเข้าไปในมือของผังป๋อ
เมื่อเห็นเขาหยิบน้ำขวดที่สองออกมา ใบหน้าของทุกคนก็แสดงท่าทางที่ซับซ้อน หากคุณหนีจากดาวอังคารไม่ได้เกรงว่าในไม่ช้าจะมีการแย่งชิงขวดน้ำเกิดขึ้น
เย่ฟ่านรู้สึกเสียใจอย่างมากที่เขาไม่สามารถดึงหลิวหยุนจือออกมาได้ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลิวหยุนจื่อเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังแต่เขาก็ไม่มีหลักฐานจึงทำอะไรมากไม่ได้
ปากของหลี่ฉางชิงแข็งมากไม่ว่าผังป๋อจะทุบตีเขามากแค่ไหนเขาก็ไม่ยอมซัfทอดไปหาหลิวหยุนจื่อ เขาแค่บอกว่าเขาใจร้อนมากเกินไปและพยายามแย่งชิงสิ่งของของเย่ฟ่าน
ผังป๋ออยากจะโยนเขาออกจากแท่นบูชาห้าสีโดยตรง แต่เขาทำได้เพียงระงับความโกรธไว้เพราะกลัวจะทำลายความรู้สึกของเพื่อนนักเรียนทุกคนที่อยู่ที่นี่
อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกว่าความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนสงบสุขนี้จะรักษาไว้ได้ไม่นาน หากมีวิกฤติการเอาชีวิตรอดอีกเกรงว่ามิตรภาพของพวกเขาจะถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านไม่โกรธและเขาก็ยิ้มให้หลี่ฉางชิงอย่างง่ายดาย โดยกล่าวว่า
“บางครั้งผู้คนก็ซับซ้อนมาก และบางสิ่งอาจไม่ได้ตั้งใจ แต่พวกเราควรพูดคุยกันอย่างสันติดีกว่าต้องใช้กำลัง นายเห็นด้วยหรือเปล่า?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาย่อตัวลงและจับไปที่เอวของหลี่ฉางเชิงอย่างใจเย็น เป้าหมายคือปลาบักฮื้อ ซึ่งเป็นวัตถุโบราณที่หลี่ฉางชิงพบในวัดต้าเล่ยหยิน
“นายกำลังทำอะไรอยู่?”
หลี่ฉางชิงดิ้นรนอย่างดุเดือด ของสิ่งนี้มีความจำเป็นต่อเขามากดังนั้นเขาจึงไม่ต้องการสูญเสียมันไป
เขารีบลุกขึ้นมาและพยายามแย่งชิงปลาบักฮื้อตัวนั้นคืน แต่ร่างกายท่อนบนของเขายังคงถูกผังป๋อเหยียบไว้ ดังนั้นไม่ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนเขาก็ไม่สามารถเอามันคืนได้
“บูม”
ทันใดนั้นปลาบักฮื้อก็ส่งเสียงดังกึกก้อง และรังสีของแสงสีม่วงก็เปล่งออกมาราวกับสายฟ้าฟาดก่อนจะปกคลุมร่างกายของหลี่ฉางชิงไว้จนหมด
แสงสีม่วงนี้ปกคลุมร่างกายของเขาเหมือนกับรังไหมสีม่วงที่ไม่ว่าสิ่งภายนอกใดๆก็ไม่สามารถทำอันตรายตัวเขาได้
คนรอบข้างต่างตกตะลึง รู้สึกหูอื้อจากเสียงดัง ในขณะที่บางคนก็ล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในเวลาเดียวกัน แผ่นทองแดงในมือของผังป๋อระเบิดด้วยแสงสีทองนับพันเส้น และมีเสียงสวดมนต์ดังขึ้นมาจากแผ่นป้ายทองแดงนั้น!
แสงอันเจิดจ้าจากแผ่นทองแดงของวัดต้าเล่ยหยินจู่ๆก็ทำลายรังไหมยักษ์สีม่วงจนแตกออกจากกัน
ในเวลาเดียวกันตะเกียงทองแดงเก่าๆในมือของเย่ฟ่านก็โปรยแสงอ่อนๆปกคลุมทั่วร่างกายของเขาทันที
ชั้นของแสงศักดิ์สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์กระจายอยู่บนร่างกายของเขาอย่างสม่ำเสมอ ก่อนจะกลายเป็นชุดเกราะที่มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
ปลาบักฮื้อถูกกดไว้ แสงสีม่วงถูกยับยั้ง รังไหมยักษ์หายไป และปลาบักฮื้อก็หมองคล้ำลงอย่างรวดเร็ว
เย่ฟ่านหยิบมันขึ้นมาอย่างใจเย็นและถือไว้ในมือของเขา ตอนนี้ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้
ตะเกียงโบราณที่เขาถืออยู่ส่องแสงสีทอง รวมไปถึงชุดเกราะของเขาทำให้เย่ฟ่านเป็นเหมือนเทพสงครามจากอดีตที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เมื่อทุกคนเห็นแบบนี้เพื่อนร่วมชั้นหญิงที่เคยเกลี้ยกล่อมเย่ฟ่านและผังป๋ออยู่ไม่ไกล ก็ถือระฆังสีเหลืองของตัวเองเดินเข้ามาพร้อมกับตะโกนว่า
“เย่ฟ่าน นายทำเกินไปแล้ว!”
หลังจากนั้นไม่นานนักเรียนชายอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามาด้วยเช่นกัน
“เราควรสงบสติอารมณ์ ไม่ควรเผชิญหน้ากันแบบนี้ พวกนายก็ได้รู้คำตอบทุกอย่างแล้ว ไม่ควรจะหยิบเอาของเขาไปด้วย พวกเราเป็นเพื่อนกันไม่ควรที่จะปล้นกันแบบนี้”
คนสองคนนี้ก็คือหนึ่งในลูกน้องของหลิวหยุนจื่อตั้งแต่ต้น ตำแหน่งของพวกเขาชัดเจนอยู่แล้ว ในตอนนี้เมื่อเห็นว่าเย่ฟ่านได้ครอบครองของวิเศษอีกชิ้นพวกเขาก็เดือดร้อนขึ้นมาทันที
ในเวลานี้หลิวหยุนจื่อ ผู้ซึ่งไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับชี้หน้าเย่ฟ่านด้วยไม้เท้าวัชระในมือก่อนจะพูดว่า
“สิ่งของของเย่ฟ่านก็ไม่ได้หายไป แม้ว่าเขาจะทำผิดแต่การที่นายทำแบบนี้ก็เป็นเหมือนกับการตัดสินประหารชีวิตเขา “
ที่ทำให้เย่ฟ่านประหลาดใจที่สุดก็คือโจวยี่ที่ไม่เคยแสดงท่าทีอะไรออกมาเลยก็ยังเดินเข้ามาพร้อมกับบาตพระในมือและพูดว่า
“เย่ฟ่านนายก็มีตะเกียงทองแดงอยู่แล้ว การที่นายเอาของเขาไปแบบนี้เขาอาจจะถูกเจ้าตัวที่อยู่ในความมืดจู่โจมจนตายก็ได้ “