“นายก็เห็นเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วยังกล้าเสนอหน้ามาขอความเมตตาอีกเหรอ”
เย่ฟ่านชูตะเกียงทองแดงในมือซ้ายขึ้นเหนือศีรษะ ในขณะที่ปลาบักฮื้อก็ถูกยื่นออกมาข้างหน้าด้วยมือขวา
“มันเป็นของฉันแล้ว ไม่ว่าใครก็เอาไปไม่ได้”
ตะเกียงทองแดงโบราณฉายแสงอย่างวิจิตรงดงามราวกับดวงอาทิตย์ ส่องสว่างราวกับดวงจันทร์ และเป็นเหมือนชิ้นส่วนของจักรวาลสีรุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกเทพเจ้าสร้างขึ้น
และชุดเกราะที่เย่ฟ่านสวมใส่ก็ทำให้เขาดูองอาจกล้าหาญเป็นอย่างมาก
แม้ว่าปลาบักฮื้อที่ถืออยู่ในมือขวาของเขาจะเสียหายเล็กน้อย แต่มันก็ปลดปล่อยสายฟ้าสีม่วงออกมาไม่หยุด เมื่อมันอยู่ในมือของเย่ฟ่านต่างก็ทำให้ทุกคนหวาดกลัว
“หลี่ฉางชิงไม่ควรพูดเรื่องไร้สาระจริงๆ มันทำให้เกิดเรื่องที่น่าเศร้ากับพวกเรา แต่เย่ฟ่านการที่นายจะเอาของวิเศษของเขาไปนั้นมันเกินไปจริงๆ พวกเราไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้”
หลิวหยุนจื่อเข้ามาใกล้ ไม้เท้าวัชระในมือของเขาส่องแสงสว่างไสวให้ความรู้สึกหนักแน่นและสง่างามมาก
ด้านข้างของเขามีเพื่อนชายหญิง ตั้งแต่แรกเริ่มคนพวกนี้ก็อยู่ฝั่งเดียวกันกับหลิวหยุนจื่อ
“เย่ฟ่าน ฉันรู้ว่านายโกรธมาก ใครเจอเรื่องแบบนี้จะต้องโกรธ แต่เราควรจะให้อภัยมากกว่านี้”
เพื่อนนักเรียนหญิงพูดอย่างใจเย็นราวกับยืนอยู่ข้างเหตุผลไม่ลำเอียงเหมือนเป็นกรรมการผู้ทรงความยุติธรรมแล้วกล่าวว่า
“เราทุกคนรู้ดีว่าการที่นายเอาของวิเศษของเขาไปมันเป็นการผลักไสเขาออกไปตาย ดังนั้นเรื่องนี้เรายอมไม่ได้ “
ปลายนิ้วของเธอมีกระดิ่งทองเหลืองที่สึกหรอ ซึ่งดูเหมือนจะมีฝุ่นเกาะมาหลายปีแล้ว ทำให้มันมีความหม่นหมองเป็นอย่างมาก
แม้มันจะดูธรรมดาแต่เมื่อเธอเคลื่อนไหวมันก็ปลดปล่อยรัศมีสีทองจริงๆออกมา
เพื่อนนักเรียนชายข้างหลิวหยุนจื่อยังกล่าวอีกว่า
“เราทุกคนควรมีใจให้อภัย ทุกคนรู้จักกันมาสี่ปีแล้ว ในขณะเดียวกันก็ต้องทนทุกข์กับการเปลี่ยนแปลงของวันนี้ พวกเขาควรทำงานร่วมกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เย่ฟานนายควรพอได้แล้ว “
ในมือขวาของเขาที่ห้อยลงมามีกระถางธูปขึ้นสนิม แต่ในการเผชิญหน้าระหว่างพวกเขากระถางธูปก็เริ่มปลดปล่อยความสดใสออกมา
ทั้งสามยืนอยู่ด้วยกัน และพวกเขาได้รับบางสิ่งบางอย่างในวัดต้าเล่ยหยิน แต่ละคนถือสิ่งประดิษฐ์ที่เทพทอดทิ้งไว้ในมือ ขณะที่พวกเขายืนอยู่ด้วยกันมันเป็นความหนักแน่นชนิดหนึ่ง
“ฮ่าๆๆ”
ผังป๋อก้าวไปข้างหน้าแล้ววางแผ่นทองแดงของวัดต้าเล่ยหยินขนาดใหญ่ลงบนพื้นโดยกล่าวว่า
“พวกนายพูดได้เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยจริงๆ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็เห็นแล้วว่าเย่ฟ่านถูกลอบทำร้ายจนเกือบจะตาย แต่ทำไมถึงกลายเป็นเขาที่เป็นคนผิด!”
ผังป่อกระแทกป้ายทองแดงของเขาลงกับพื้นสร้างความหวาดหวั่นให้กับทุกคน
คำพูดเหล่านี้ทำให้ใบหน้าของชายและหญิงที่เพิ่งพูดนิดเดียวไม่น่าดูอย่างรวดเร็ว
“เราไม่ได้บอกว่าเย่ฟ่านผิด แต่แค่อยากให้เย่ฟ่านเห็นแก่มิตรภาพของเพื่อนร่วมชั้นไม่แย่งชิงของของเขาไป”
เย่ฟ่านได้ยินพวกเขาพูดแบบนั้นจึงยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า
“เรื่องนั้นพวกนายไม่ต้องกังวล ฉันไม่เก็บมันไว้คนเดียวอย่างแน่นอน”
แสงสีม่วงที่อยู่รอบๆตัวเขาค่อยๆลดลง แต่วงบย
ชุดเกราะที่เขาสวมใส่อยู่นั้นยังคงมีอยู่ซึ่งทำให้คนอื่นไม่กล้ากดดันเขามากเกินไป
“เย่ฟ่านเหลือบมองหลิวหยุนจื่อและพูดว่า
“เพื่อนร่วมชั้นหลายคนที่นี่ไม่ได้อะไรเลยที่วัดต้าเล่ยหยินแต่พวกเขาก็ยังรอดชีวิตได้ มันเป็นเพราะอะไร? ก็เป็นเพราะทุกคนร่วมแบ่งปันความศักดิ์สิทธิ์ของของวิเศษนี้
แต่ว่าหลี่ฉางชิงต้องการจะฆ่าฉัน ดังนั้นฉันจึงต้องยึดของวิเศษของเขามาเพื่อไม่ให้เป็นภัยกับคนอื่น และของวิเศษชิ้นนี้จะถูกมอบให้กับใครบางคนที่เต็มใจจะอุทิศตนเพื่อผู้อื่น”
เย่ฟ่านได้ชี้ให้เห็นถึงต้นเหตุของเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา หลายคนที่รอดชีวิตได้ก็ด้วยข้อเสนอของเย่ฟ่าน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอะไรจะพูด
โจวยี่ดูเหมือนจะไม่ยอมแพ้ เขากดดันเข้าหาเย่ฟ่านและกล่าวว่า
“หลี่ฉางชิงเทำผิดจริงๆ แต่เย่ฟ่านนายก็ไม่ควรครอบครองของวิเศษ 2 ชิ้นคนเดียว นายก็รู้ดีว่าเพื่อนคนอื่นๆก็ยังต้องใช้ของวิเศษร่วมกันอยู่เลย”
โจวยี่เป็นคนที่มีฐานะมากที่สุดในบรรดากลุ่มเพื่อน แต่เขาไม่เคยทำตัวหยิ่งผยองและเป็นคนมีเหตุผลอยู่เสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกันคำพูดของเขาเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธ
“ก่อนหน้านี้ฉันมีของวิเศษชิ้นเดียวแต่ก็ยังแบ่งปันกับคนอื่น ในตอนนี้ฉันมีของวิเศษ 2 ชิ้นมีหรือที่จะเก็บไว้คนเดียว”
เย่ฟ่านยิ้มและโบกมือให้นักเรียนชายที่อยู่ข้างหลังพร้อมกับกล่าวว่า
“จางจื่อหลิง บอกฉันหน่อยสิว่าถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นอยู่ข้างหน้านายยินดีจะแบ่งปันของวิเศษชิ้นนี้กับคนอื่น”
เพื่อนร่วมชั้นคนนี้ชื่อจางจื่อหลิงยืนอยู่ข้างหลังเย่ฟ่าน เขาเป็นเพื่อนร่วมทีมฟุตบอลของเย่ฟ่านและผังป๋อ ดังนั้นเขาจึงเป็นคนที่สามารถไว้วางใจได้
การตัดสินใจของเย่ฟ่านกระทันหัน ปากของโจวยี่ขยับเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
หลิวหยุนขมวดคิ้วในเวลานั้นและนักเรียนหญิงที่อยู่ข้างๆเขาคัดค้านทันทีและกล่าวว่า
“ฉันคิดว่าเพื่อนผู้ชายของเราหลายคนก็ได้ของวิเศษกันมาเยอะแล้ว ดูจากปริมาณพวกนายก็น่าจะเห็นว่าเพื่อนผู้หญิงแทบจะไม่มีของวิเศษเลย ทำไมนายไม่เอาของวิเศษนี้ให้กับเพื่อนผู้หญิงคนอื่น “
จากนั้นเธอก็ทำท่าทางและมองผู้หญิงที่อยู่ข้างหลังเธอ
ผังป๋อแสดงท่าทีประชดประชันแล้วพูดว่า
“ก็บอกแล้วไงว่าพวกเราแบ่งปันกับคนอื่นอย่างแน่นอน แต่เมื่อกี้ใครกันนะที่วิ่งหนีก่อนเพื่อนโดยไม่แบ่งปันกับใคร”
ใบหน้าของเพื่อนร่วมชั้นหญิงคนนั้นกลายเป็นสีแดงเข้มด้วยความอับอายและความโกรธ แต่เธอก็ไม่สามารถโต้แย้งได้
“พอได้แล้ว ตกลงตามนี้เถอะ!”
หวังจื่อเหวินก้าวไปข้างหน้าเพื่อไม่ให้เรื่องราวลุกลามใหญ่โตไปกว่านี้
ผังป๋อถือแผ่นป้ายทองแดงไว้ในมือพร้อมกับมองไปที่หลิวหยุนจื่อด้วยสีหน้าจริงจัง
“เย่ฟ่านอาจจะเป็นคนใจดี แต่รับรองได้ว่าถ้ามีครั้งต่อไปฉันจะทุบพวกแกให้บี้แบนแน่นอน!”
หลิวหยุนจื่อไม่ได้แสดงท่าทีอย่างไร เพียงแค่พยักหน้าและกล่าวว่า
“ดีแล้ว เรื่องนี้พวกเราต้องไม่ให้มันเกิดขึ้นอีกในอนาคต”
หลินเจี๋ยและหวังจื่อเหวินยืนอยู่ด้านหลัง ทั้งคู่มีท่าทางเป็นกลางดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่เรื่องทุกอย่างจบลงตรงนี้
“บูม”
ทันใดนั้นก็มีเสียงแตกดังขึ้น ทุกคนต่างตกใจ ม่านแสงที่ปกป้องแท่นบูชาห้าสีถูกเจาะทะลุ มีบางอย่างกำลังเข้ามาข้างในและทุกคนมองไปในทิศทางนั้น
แสงสีดำพุ่งเข้ามาใกล้สุดขีด มันเจาะผ่านศีรษะของเพื่อนนักเรียนชายคนหนึ่ง ดวงตาของเขาเบิกกว้างก่อนที่เขาจะล้มลงกับพื้น
ในเวลานี้เมื่อเจ้าตัวนั้นเข้าใกล้แท่นบูชาห้าสีทำให้ร่างกายของมันเปิดเผยออกมากลายเป็นหมอกสีดำจริงๆ!
เมื่อเหตุการณ์ร้ายเกิดขึ้นเพื่อนร่วมชั้นทุกคนต่างก็วิ่งเข้าหาของวิเศษเพื่อให้มันปกป้องตัวเองจากอันตรายที่จะเกิดในไม่ช้า
“โฮก … “
ทันใดนั้นเสียงคำรามที่น่ากลัวก็ดังมาจากทิศทางของวัดโบราณต้าเล่ยหยิน
“นั่นมันตัวอะไร? … “