ในสมัยโบราณผู้คนสามารถมีอายุเกินร้อยได้อย่างง่ายดาย และการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็เต็มไปด้วยพละกำลัง ว่ากันว่าตำราแพทย์ซูเหวินของจักรพรรดิเหลืองคือตำราเล่มแรกของโลก
เนื้อหาในตำราไม่ได้ถูกตกทอดสู่คนยุคปัจจุบันทั้งหมด ดังนั้นจึงมีผู้คนมากมายในยุคต่อๆมาได้นำความคิดของตัวเองเขียนลงในบันทึกแล้วอ้างว่านั่นคือตำราซูเหวิน
เย่ฟ่านกำลังมีความสุขที่ได้นั่งอ่านบทความโบราณรวมไปถึงจิบชาเขียวของตัวเองไปด้วย
คนธรรมดาทุกคนจะมีอายุเกินร้อยปี และความคล่องตัวของพวกเขาก็ไม่เสื่อมโทรมตามอายุ ยุคโบราณนี้เป็นยุคลึกลับประเภทไหน?
เรื่องราวเกี่ยวกับคนโบราณที่ถูกเขียนไว้นั้นเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก แต่เย่ฟ่านก็ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เขารู้สึกว่าอาณาจักรจีนก่อนยุคประวัติศาสตร์นั้นมีความลึกลับบางทีอาจเป็นไปได้ว่ามีข้อเท็จจริงบางอย่างที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยออกมา?
หลังจากครุ่นคิดเพ้อฝันไปชั่วครู่ เขายังคงอ่านต่อไป
ในแง่ของความรู้ทางประวัติศาสตร์ตำราที่ถูกถ่ายทอดจากจักรพรรดิเหลืองนั้นมีความล้ำค่าเป็นอย่างมาก หนังสือเล่มนี้ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อหลายพันปีก่อนและกลายเป็นหนังสืออันดับหนึ่งของจีน
แน่นอนว่าข้อความในหนังสือนั้นไม่สามารถเชื่อถือได้ แต่มันก็มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์
เรื่องราวส่วนมากในหนังสือนี้จะเขียนเกี่ยวกับจิตวิญญาณของสวรรค์และปฐพี หยินและหยาง รวมไปถึงลมปราณแก่นแท้ และการฝึกฝนร่างกาย
ด้วยวิธีนี้เราจะมีชีวิตที่ยืนยาว เอาชนะข้อจำกัดของสวรรค์และปฐพี กลายเป็นอมตะหลังจากนั้นก็จะค้นพบเต๋าของตัวเอง
เวลาผ่านไปโดยที่เย่ฟ่านไม่รู้ตัว ดวงอาทิตย์สีแดงก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปทางทิศตะวันตก อาทิตย์อัสดงสาดส่องลงมาที่สนามหญ้านอกหน้าต่าง
เย่ฟ่านวางหนังสือในมือลงจากนั้นก็เตรียมตัวที่จะเข้าร่วมปาร์ตี้ในช่วงค่ำ
ผ่านไปสามปีแล้วตั้งแต่เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย หลังจากที่เขาเรียนจบเย่ฟ่านก็ยังคงอาศัยอยู่ในเมืองนี้เหมือนเดิม
เมื่อนึกถึงอดีตของตัวเอง เย่ฟ่านรู้สึกเหมือนกับช่วงเวลาที่ไร้เดียงสาของเขาในฐานะนักศึกษาที่หายไปนานแล้ว
สามปีไม่สามารถถือว่ายาวหรือสั้น เพื่อนร่วมชั้นของเขาต่างแยกย้ายไปในทิศทางต่างๆ แต่ละคนใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือ มันมาจากเพื่อนร่วมชั้นหลินเจี๋ยซึ่งเป็นผู้หญิงที่ทั้งสวยและฉลาด เธอยังคงอาศัยอยู่ในเมืองนี้เหมือนกัน
เมื่อปีที่แล้วเธอใช้คุณสมบัติอันโดดเด่นของตัวเองจนสามารถกลายเป็นหัวหน้าแผนกได้
หลังจากรับสายเสียงของหลินเจี๋ยก็ดังขึ้น ที่มหาวิทยาลัยเธอมีทักษะในการสื่อสารที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นเป็นไปได้ยากที่จะหาคนไม่ชอบเธอ
“คิดถึงฉันเหรอ” เย่ฟานตอบกลับเบาๆ
เสียงหัวเราะหวานๆดังออกมาจากโทรศัพท์
“ฉันไม่รู้ว่างานจัดขึ้นที่ไหน วันนี้เราไปพร้อมกันนะ”
หลังจากเลือกสถานที่นัดพบแล้ว เย่ฟ่านก็ขึ้นรถและจากไป
ในมหาวิทยาลัย เขาเคยพยายามจะจีบหลินเจี๋ย แต่เขาถูกปฏิเสธอย่างเด็ดขาดและบอกว่าทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้
หลินเจี๋ยเป็นคนที่ทั้งสวยและฉลาดเธอสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้คนมากมาย เธอชัดเจนมากในสิ่งที่เธอต้องการและเธอจะทำทุกสิ่งเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เธอต้องการ
สิบนาทีก่อนเวลาที่ตกลงกันไว้ เย่ฟ่านมาถึงห้างสรรพสินค้า Parkson เขาขี่รถเข้าไปในลานจอดและลงจากรถ เขารอหลินเจี๋ยอยู่ข้างถนนใหญ่
ทั้งเมืองถูกอาบด้วยแสงตะวันยามอัสดง และอาคารหลายหลังก็ถูกแสงสีทองปกคลุม บนท้องถนนผู้คนและยานพาหนะเคลื่อนตัวไปมาอย่างไม่สิ้นสุด
เจ็ดหรือแปดนาทีต่อมา มีรถโตโยต้ามาจอดที่ด้านหน้าของเย่ฟ่าน เมื่อกระจกรถถูกเลื่อนลงมาก็เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามของหลินเจี๋ย
เย่ฟ่านทักทายด้วยรอยยิ้มแล้วหยอกล้อว่า
“มีรถรับส่งด้วย”
“นี่ไม่ใช่รถของฉันแต่เป็นรถของหลิวหยุนจื่อ”
แม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกันมาสามปีแล้วหลังจากสำเร็จการศึกษา แต่เย่ฟ่านยังรู้สึกว่าหลินเจี๋ยไม่เคยเปลี่ยนไปเลย
เธอยังคงดูอ่อนเยาว์ แต่งกายสบายๆด้วยกางเกงยีนส์รัดรูปและเสื้อยืดสีม่วงซึ่งทำให้ร่างกายที่เพรียวสวยโค้งมนยิ่งขึ้น
“อย่าทำหน้าแบบนั้นฉันก็ไม่ได้เจอเขามา 2 ปีแล้วเหมือนกัน”
หลินเจี๋ยมียักไหล่เมื่อเห็นใบหน้ามืดมนของเย่ฟ่าน
ในเวลานี้ใครบางคนที่อยู่ในตำแหน่งคนขับก็ยื่นหน้าเข้ามาขัดจังหวะการสนทนาของพวกเขา ใบหน้านี้เป็นของคนคุ้นเคยซึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมชั้นหลิวหยุนจื่อ
เขาเป็นเหมือนเย่ฟ่านและอยู่ในเมืองนี้หลังจากเรียนจบ ครอบครัวของเขาค่อนข้างมีฐานะ ดังนั้นเขาจึงเปิดบริษัทเล็กๆเป็นของตัวเอง ในหมู่คนรุ่นเดียวกันถือว่าเขาค่อนข้างประสบความสำเร็จ
แต่แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในเมืองเดียวกันมาโดยตลอดพวกเขาก็ไม่เคยไปมาหาสู่กันแม้แต่ครั้งเดียว สาเหตุหลักมาจากความขัดแย้งระหว่างเรียนในวิทยาลัย
หลิวหยุนจื่อไม่ได้ลงจากรถเขายิ้มจางแล้วพูดว่า
“ไม่ได้เจอกันนานนะเพื่อน”
“ใช่ ก็ตั้งแต่เรียนจบ”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ได้ลงจากรถเย่ฟ่านก็ทักทายพอเป็นพิธีเท่านั้น
“นั่งรถแท็กซี่มาเหรอ?”
เย่ฟ่านขี้เกียจรับมือกับการดูถูกเหยียดหยาม ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ตอบคำถามนี้
หลินเจี๋ยเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศตึงเครียดเธอก็รีบยิ้มแล้วพูดกับเย่ฟ่านว่า
“เพื่อนเก่าที่อยู่ในเมืองนี้ก็มีไม่กี่คนเท่านั้น ฉันก็เลยคิดว่าพวกเราควรจะขี่รถของหลิวหยุนจื่อไปงานพร้อมกัน”
เย่ฟ่านยังไม่ได้พูดอะไรเลยแต่หลิวหยุนรีบขัดคอขึ้นทันที
“มันน่าอายจริงๆเพื่อน แต่ต้องขอโทษด้วยเพราะว่าฉันนัดเพื่อนเก่าไว้อีกสองสามคนไว้ ถ้ารับนายไปด้วยรถก็คงเต็ม”
“ไม่เป็นไร นายไปก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป” เย่ฟ่านพูดและหันไปหาหลินเจี๋ยก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า
“ไม่ไปกับฉันเหรอ … “
เมื่อหลินเจี๋ยได้ยินเธอก็รู้สึกลังเลเล็กน้อยแต่หลิวหยุนจื่อที่อยู่ในรถก็ปฏิเสธแทนเธอทันที
“พี่สาวหลินควรจะนั่งรถไปกับฉัน หากไปพร้อมกันกับนายมันคงดูน่าอายสำหรับเธอ”
หลินเจี๋ยยิ้มขอโทษให้กับเย่ฟ่านจากนั้นเธอก็ขึ้นรถไปพร้อมกับหลิวหยุนจื่อ
ทันทีที่เธอขึ้นรถเย่ฟ่านได้ยินเสียงกระซิบดูถูกของหลิวหยุนจื่อดังออกมา
“ตอนนี้เป็นชั่วโมงเร่งด่วนมันคงเป็นเรื่องยากที่เขาจะหารถแท็กซี่!” แล้วรถโตโยต้าก็วิ่งออกไป
ในสมัยก่อนเย่ฟ่านถือได้ว่าเป็นดาวเด่นของมหาลัยแต่วันนี้หากเขาต้องไปร่วมงานเลี้ยงรุ่นด้วยรถแท็กซี่มันคงเป็นเรื่องน่าอายและหดหู่เมื่อเทียบกับหลิวหยุนจื่อ
สำหรับคนอย่างหลิวหยุนจื่อเย่ฟ่านไม่ได้รู้สึกใส่ใจแม้แต่น้อย แต่ท่าทีของหลินเจี๋ยทำให้เขาประหลาดใจจริงๆ
อย่างไรก็ตาม ทุกคนมีชีวิตของตนเอง ท้ายที่สุดผู้คนต้องอยู่กับความเป็นจริง ในเมื่อมีผลประโยชน์อยู่ต่อหน้ามันคงหลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับคนที่โตเป็นผู้ใหญ่อย่างพวกเขาจะไม่คว้าไว้
ดวงตะวันกำลังลับขอบฟ้าท้องฟ้าสีเลือดค่อยๆจางลง ทั้งเมืองดูเหมือนจะถูกปกคลุมไปด้วยเสื้อคลุมสีเทาหนาทึบและกลางคืนก็ค่อยๆคืบคลานเข้ามา
ในเวลานี้ ซากมังกรขนาดใหญ่เก้าตัวลากโลงศพทองแดงยังคงนอนอยู่ในจักรวาลอันเย็นยะเยือก ฉากที่น่าตกใจนี้ดูเหมือนจะอยู่ที่นั่นตลอดไป!
นักบินอวกาศหลายคนบนสถานีอวกาศนานาชาติได้ส่งข้อมูลกลับไปยังสำนักงานที่อยู่ภาคพื้นเพียงพอแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงกำลังรอคำสั่งเพิ่มเติม