36 – เทพธิดาบนท้องฟ้า
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมพวกเราไปไม่ถึงสักที”
เย่ฟ่านและคนอื่นๆต่างก็สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นได้ชัดว่าวังเซียนที่อยู่ด้านหน้านั้นอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเดินมานานแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะเข้าใกล้มันได้เลย
“พวกนายสังเกตหรือเปล่าว่าระยะห่างไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย?”
โจวยี่วิเคราะห์อย่างใจเย็น
“มันอาจจะเป็นเขาวงกตที่ไม่มีวันเดินทางไปถึงได้”
แต่ทันใดนั้น กลิ่นคาวคละคลุ้งก็ลอยเข้าสู่จมูกของทุกคน พร้อมกันนั้นยักษ์ดุร้ายสีดำสูงห้าเมตรก็กระโจนเข้าใส่ฝูงชน
กรงเล็บสีดำส่องประกายของมันพุ่งไปด้านหน้า นิ้วแต่ละนิ้วของมันยาวมากกว่าครึ่งฟุต ตัวของมันเหมือนลิง แต่หัวของมันแปลกมากเพราะมันมีจะงอยปากเหมือนกับนก
ในเวลานี้สภาพจิตใจของทุกคนย่ำแย่เหลือทน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับการจู่โจมโดยที่ไม่ทันตั้งตัวก็ทำให้บางคนล้มลงกับพื้น ยักษ์ใหญ่ขนาดมหึมาขวางทางอยู่ตรงนี้
การโจมตีของมันมาอย่างรวดเร็วเกินไปจนทุกคนไม่ทันตั้งตัว
“เย่ฟ่าน ระวัง!” ผังป๋อตะโกนเพราะเย่ฟ่านแบกรับภาระหนักหนา ผังป๋อจึงรีบโบกแผ่นทองแดงของวัดต้าไลยินไปข้างหน้า
เย่ฟ่านผลักคนสองคนออกไปและถือไม้เท้าวัชระที่ได้จากหลิวหยุนจื่อพร้อมกับเหวี่ยงไปข้างหน้าอย่างรุนแรง
“บูม”
ไม้เท้าวัชระชนกับกรงเล็บแวววาว ฝ่ามือของยักษ์ดำถูกทุบจนหักและแตกสลายอย่างสมบูรณ์
ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งโดยคิดว่ามันเป็นพลังของสมบัติวิเศษ มีเพียงเย่ฟ่านเท่านั้นที่เข้าใจว่าร่องรอยสุดท้ายของไม้เท้าวัชระนั้นสูญเสียไปหมดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นทุกอย่างเป็นพลังของเขาเอง
เย่ฟ่านรู้สึกประหลาดใจมาก ถ้าเป็นเขาคนเดิมคงไม่มีพลังมหาศาลขนาดนั้น
แต่เนื่องจากเขามีความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเมื่อไม่นานมานี้เขาจึงรู้สึกมีพลังเหมือนจะสามารถฉีกช้างตัวใหญ่ออกเป็นชิ้นๆได้!
สัตว์ร้ายยักษ์ส่งเสียงร้องอันน่าสยดสยองอย่างยิ่ง จงอยปากนกของมันเปิดออกและจิกเข้าหาเย่ฟ่านอย่างดุเดือดและกรงเล็บยักษ์ก็ส่องแสงเยือกเย็นพุ่งเข้าหาเย่ฟ่านอีกครั้ง
เย่ฟ่านขยับไปสุดทาง เขาถอยหลังหลบด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ จากนั้นเย่ฟ่านก็เหวี่ยงไม้เท้าใส่แขนของสัตว์ประหลาดตัวนั้น เสียงกระดูกหักก็ดังขึ้นในทันที
“บูม”
มันยากที่จะจินตนาการว่าการโจมตีครั้งนี้มีพลังมากแค่ไหน สัตว์ร้ายสีดำสูงห้าเมตรส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด มันถูกไม้เท้าวัชระกระแทกบินออกไปแปดหรือเก้าเมตร
เมื่อมันตกลงที่พื้นมันก็พยายามดิ้นรนอย่างหนักสองครั้ง แต่สุดท้ายมันก็นอนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
ทุกคนตกตะลึงนี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเกินไป ร่างของคนเถื่อนเย่ฟ่านเล็กลงดูเหมือนเด็กชายอายุสิบเอ็ดสองปี แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะทรงพลังถึงขนาดนี้
ทุกคนตกใจจากนั้นก็ถอนหายใจออกมา พวกเขามาอยู่ที่โลกนี้เป็นเวลาเพียงไม่นานแต่ทำไมเย่ฟ่านถึงมีพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ มันทำให้คนอื่นรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นอย่างมาก
ท้องฟ้าค่อยๆมืดลงและสัมผัสสุดท้ายของดวงอาทิตย์ก็กำลังจะหายไป ทุกคนไม่ลังเลที่จะเดินทางอีกครั้งก่อนจะพบว่าภูเขาที่มีอาคารยังคงมีระยะห่างจากพวกเขาเท่าเดิม
ในเวลานี้ ทุกคนรู้สึกผิดหวังอย่างยิ่งและตัดสินใจที่จะไม่ไปที่นั่นอีก
แต่ในขณะนั้นจู่ๆก็มีแสงหลากสีปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ในยามค่ำคืนเช่นนี้แสงนั้นดูสะดุดตาเป็นพิเศษ
“นั่นคือ……”
ทุกคนตกตะลึง มีร่างในแสงสีรุ้งนั้น คนคนนั้นกำลังบินข้ามท้องฟ้า มนุษย์ไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน!
แสงสีรุ้งกว้างหนึ่งเมตรและยาวสองเมตรเคลื่อนตัวไปในอากาศอย่างช้าๆเหมือนกับคนที่เดินอย่างอ้อยอิ่ง
ภายในลำแสงนั้นมีหญิงสาวอายุ 18-19 ปี เธอมีใบหน้าเรียว ร่างกายสูงโปร่ง เอวเรียว ขาตรง สวมชุดยาวสีฟ้าอ่อนและมีใบหน้าที่งดงามเป็นอย่างมาก
ในโลกที่พวกเขาอยู่นั้นมีหญิงสาวที่งดงามเหมือนกันกับนางอยู่ไม่น้อย แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะหาหญิงสาวงดงามที่มีความสูงส่งและบริสุทธิ์เหมือนกับนาง
หญิงสาวคนนั้นจับจ้องมายังผู้คนด้านล่างด้วยความสงบ นางพูดอะไรบางอย่างเบาๆแต่ทุกคนไม่สามารถรู้ได้ว่าสิ่งที่นางพูดนั้นหมายความว่าอะไร
“ท่านเป็นนางฟ้าหรือเปล่า โปรดช่วยเหลือพวกเราด้วย”
เพื่อนนักเรียนหญิงถึงกับน้ำตาซึม ในเวลานี้ร่างกายของเธอแห้งเหี่ยวน่าเกลียดและชราภาพ
สภาพจิตใจของเธอจึงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในตอนนี้เธอพบกับใครบางคนที่ดูเหมือนจะเป็นนางฟ้า ดังนั้นความหวังที่จะกลับมาเป็นปกติก็ท่วมท้นอยู่ในใจของเธอ
ทั้งหลินเจี๋ยและหลี่เสี่ยวม่านต่างก็ก้าวไปข้างหน้าเผยให้เห็นถึงดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวัง พวกเธอเคยเป็นหญิงงามมันเป็นเรื่องที่น่าอึดอัดมากที่ต้องกลายมาเป็นสภาพแบบนี้
“เจ้าได้เข้าไปในดินแดนต้องห้ามโบราณที่แห้งแล้งแล้วหรือ?”
นี่เป็นประโยคที่นุ่มนวลและอ่อนหวานอย่างยิ่ง ทุกคนยังคงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเข้าใจความหมายของภาษาจีนโบราณนี้
“ใช่ พวกเรามาจากที่นั่น”
เพื่อนนักเรียนหญิงชราคนหนึ่งร้องไห้อย่างช่วยไม่ได้ เธอมองขึ้นไปในอากาศและพนมมือด้วยความศรัทธา
สำหรับผู้หญิงเหตุการณ์โศกนาฏกรรมดังกล่าวถือเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงที่สุด ดังนั้นในเวลานี้ไม่ว่าหรอกฝ่ายตรงข้ามจะให้เธอทำอะไรเธอก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อหญิงสาวในแสงสีรุ้งได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูด นางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยและมีสีหน้าแปลกใจจากนั้นจึงพึมพำว่า
“มันไม่ง่ายเลยที่จะรอดออกมาได้”
พูดจบสายตาของนางกวาดรอบๆก่อนจะมองเห็น หลิวอี่อี้ จางจื่งหลิง ผังป๋อ เย่ฟ่าน และในที่สุดก็ดูเหมือนจะจำบางสิ่งได้ ก่อนที่นางจะถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น
“นี่คืออายุจริงของเจ้าหรือไม่”
“เปล่า เราไม่ได้แก่ขนาดนั้น ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงสูญเสียความเยาว์วัยไปหลายสิบปี”
นักเรียนชายคนหนึ่งตอบอย่างกระตือรือร้น จากนั้นมองอย่างประหม่าและหวังว่าหญิงสาวที่อยู่บนท้องฟ้าจะช่วยเหลือพวกเขาได้
แต่ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้มองเขา เธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาพบเจอกับอะไร ดังนั้นเธอจึงถามเย่ฟ่านและผังป๋อเพียงสองคน
เย่ฟ่านตอบว่า
“เดิมที พวกเราทั้งหมดเป็นคนหนุ่มสาวในวัยประมาณยี่สิบปีและผมไม่รู้ว่าทำไมบางคนถึงแก่ขึ้นเรื่อยๆ”
“จริงหรือ?” หญิงสาวในอากาศแสดงท่าทางตกใจเธอจับจ้องมองไปที่เย่ฟ่านด้วยความสนใจแล้วกล่าวว่า
“เจ้าเคยกินผลไม้สีแดงสดใสราวกับผลึกอัญมณีหรือไม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้เย่ฟ่านก็มั่นใจว่าผลไม้ที่แปลกประหลาดที่พวกเขากินนั้นเป็นสิ่งที่หญิงสาวอธิบายไว้อย่างแน่นอน ในตอนนี้ต่อให้เขาไม่ยอมรับก็ไม่ได้ เพราะเพื่อนๆคนอื่นต่างก็พยักหน้าหมดแล้ว
หญิงสาวในอากาศแสดงท่าทางแปลกๆและมองไปที่เย่ฟ่านกับผังป๋อราวกับว่ากำลังมองดูสมบัติล้ำค่า ในขณะเดียวกันท่าทางของนางก็ดูมีความอึดอัดเล็กน้อย
“ขอโทษนะครับ คนแก่ๆเหมือนพวกเราจะมีความหวังหรือเปล่า” หวังจื่อเหวินยากที่จะสงบสติอารมณ์ในสถานการณ์นี้ และต้องการทราบว่าเขาจะฟื้นคืนความเยาว์วัยได้หรือไม่
“อย่าสิ้นหวัง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของพวกเจ้าจะฟื้นคืนได้ยาก แต่โลกใบนี้ก็มีโอกาสมากมายให้พวกเจ้าไขว่คว้า ช่วงเวลาที่สูญเสียไปไม่กี่ปีไม่นับเป็นอย่างไรได้”
“ฉัน … ฉันแค่ต้องการฟื้นฟูรูปลักษณ์ของฉัน”
เพื่อนร่วมชั้นหญิงคนหนึ่งยังคงร้องไห้ไม่หยุด เธอสูญเสียแรงจูงใจที่จะมีชีวิตอยู่
“ตกลง ข้าจะพาพวกเจ้าออกจากป่านี้ก่อน”
หญิงสาวลึกลับยกมือขึ้นเบาๆและทันใดนั้นก็มีแสงรุ้งซึ่งปกคลุมผู้คนทั้งหมดบนภูเขาและพาพวกเขาขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างช้าๆ และยืนอยู่ด้านหลังของนาง
นี่มันโลกลึกลับจริงๆ ในการคาดเดาของทุกคนพวกเขาคิดว่านี่น่าจะเป็นวิชาของเซียน
“สถานแห่งนี้กว้างใหญ่ไพศาลมากต่อให้พวกเจ้าเดินตลอดชีวิตก็ไม่มีทางออกจากป่านี้ได้ ที่นี่มีสัตว์ร้ายมากเกินไปดังนั้นข้าจึงได้แต่พาพวกเจ้าไปด้วยวิธีการนี้ “
ผังป๋อมีสีหน้าแปลกๆแล้วถามว่า
“เจ้าไม่ได้มาจากวังเทพธิดาข้างหน้าเหรอ?”
“เซี่ยงกง … “(คุณชาย) หญิงสาวที่อยู่กลางอากาศมีสีหน้ายิ้มแย้มแล้วหันกลับมาตอบว่า “ในโลกนี้ไหนเลยจะมีวังเทพธิดาจริงๆ”
ผังป๋อชี้ภูเขาสูงข้างหน้าด้วยนิ้วของเขาแล้วกล่าวว่า
“ก็มันอยู่ตรงนั้นชัดๆเจ้าไม่เห็นหรือไง? พวกมันมีความต่อเนื่องและงดงามมีอาคารมากมายนับไม่ถ้วน ในตอนกลางวันเจ้าสามารถมองเห็นแม้แต่คนที่กำลังขี่นกกระเรียน”
“ตำนานเป็นความจริงจริงๆ?” หญิงสาวแสดงสีหน้าแปลก ๆ
“เจ้าไม่เห็นอะไรจริงๆเหรอ?”
“ใช่ ข้าไม่เห็นอะไรเลย” หญิงสาวในรุ้งหลากสีแสดงท่าทางครุ่นคิดและกล่าวว่า
“ดินแดนต้องห้ามโบราณเป็นเขตจำกัดสิ่งมีชีวิตไม่อนุญาตให้ผู้ใดล่วงล้ำ แต่คนที่เคยเข้าไปในนั้นแล้วรอดออกมาได้พวกเขาล้วนบอกว่ามองเห็นวังเซียนสีทองทุกคน ซึ่งในเรื่องนี้ข้าไม่เคยเห็นมาก่อนจึงไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงหรือไม่ “