37 – ตำนานแห่งป่า
ทันใดนั้นทุกคนก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นมันอาจไม่ใช่ความจริง
“มันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาหรือ?”
“มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่มันจะปรากฏขึ้นในช่วงเวลาที่พิเศษเท่านั้นซึ่งคนธรรมดาแบบพวกเจ้าไม่สามารถเข้าไปได้”
โจวยี่กังวลอย่างมากเกี่ยวกับปัญหาของตัวเองดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจว่าวังเซียนนั้นจะมีอยู่จริงหรือไม่ เขารีบถามในสิ่งที่ตนเองกังวลใจก่อน
“คนที่เดินหลงอยู่ในป่าต้องห้ามนั้นและออกจากป่าได้ สุดท้ายแล้วชะตากรรมของพวกเขาเป็นอย่างไร”
หญิงสาวคนนั้นชำเลืองมองเขาเล็กน้อยแล้วตอบว่า
“การเข้าสู่เขตหวงห้ามชีวิตเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก แม้จะมีชีวิตอยู่แต่ก็จะเต็มไปด้วยความมืดมน อย่างไรก็ตามขอเพียงพวกเจ้าตั้งใจฝึกฝนก็อาจจะมีโอกาสเช่นกัน “
“ผมสามารถคืนความอ่อนเยาว์ได้หรือไม่?”
“มันยากที่จะพูดแต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ด้วยการฝึกฝนจิตวิญญาณที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นมันจะทำให้ชีวิตของเจ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็อาจจะฟื้นฟูสภาพร่างกายของตัวเองกลับมา” คำพูดของหญิงสาวทำให้หลายๆคนมีความหวังอีกครั้ง
“ในดินแดนอันแห้งแล้งนั้นมีอะไรอยู่ อะไรที่ขโมยความเยาว์วัยของเราไป?”
หวังจื่อเหวินอดไม่ได้ที่จะถาม นี่เป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนงุนงงและพวกเขาต้องการจะทำความเข้าใจให้มากกว่านี้
“นี่เป็นหนึ่งในคำถามที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเรา มีผู้คนมากมายต่างก็สงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้แต่ไม่มีใครทราบข้อเท็จจริง”
หญิงสาวบินไปพร้อมกับทุกคนด้วยความเร็วและรัศมีรอบๆก็เหมือนสายรุ้งที่ตัดผ่านท้องฟ้าอย่างนุ่มนวล มีกำแพงที่ถูกสร้างขึ้นมาจากแสงหลากสีปกป้องไม่ให้ร่างกายของทุกคนถูกบดขยี้จากสายลม
นางหันมามองพวกเขาเล็กน้อยจากนั้นก็พูดต่อว่า
“ในตำนาน ภายใต้ขุมนรกแห่งพื้นที่ปิดผนึกมี” หมัน ” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นอสูรร้ายที่มีลักษณะร่างกายคล้ายกับมนุษย์”
“ไม่เคยมีใครไปสำรวจเหรอ?” เย่ฟ่านอดไม่ได้ที่จะถาม
“ตั้งแต่สมัยโบราณมีคนเข้าไปสำรวจมากมายนับไม่ถ้วน แต่ทุกคนล้วนพบเจอกับหายนะไปหมดแล้ว” หญิงสาวลึกลับมีสีหน้าเคร่งเครียดแล้วกล่าวอีกว่า
“ทุกตารางนิ้วของแผ่นดินนั้นมีเลือดสีแดงไหลนอง กองกระดูกของผู้คนที่ตายนั้นทับถมกันเป็นภูเขา ในช่วงที่ดินแดนของเรายิ่งใหญ่มากที่สุดได้มีการรวบรวมสุดยอดฝีมือของสายเลือดพุทธะมากมายนับหมื่นเพื่อเปิดดินแดนปิดผนึกนั้น
แต่สิ่งที่พวกเขาได้รับกลับเป็นความหายนะอย่างยิ่งใหญ่ ทุกคนที่เข้าไปที่นั่นถูกฆ่าตายจนหมดสิ้น มีเพียงห้าคนเท่านั้นที่หลบหนีกลับมาได้ “
“น่ากลัวจัง!?” ผังป๋อพูดอย่างตรงไปตรงมา
“มันเป็นโลกลึกลับที่อาบไปด้วยเลือดไม่รู้จบ แต่ผู้คนเชื่อว่ามันเป็นดินแดนที่เคยมีเซียนอาศัยอยู่
โศกนาฏกรรมครั้งนั้นไม่เพียงแต่สูญเสียยอดฝีมือสายเลือดพุทธะนับหมื่นเท่านั้น แต่ยังมีปรมาจารย์ผู้ทรงอำนาจสองสามคนที่ร่วงหล่นและตกเป็นทาสของสิ่งที่อยู่ภายใต้อเวจีนั้นตลอดกาล “
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเงาอันน่ากลัวของสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ซึ่งถูกโซ่ล่ามไว้ภายในหลุมลึกนั้น
………..
ทุกคนเดินทางอยู่หลายชั่วโมงในที่สุดพวกเขาก็มองเห็นแสงไฟจากเมืองเล็กๆซึ่งอยู่ด้านหน้า ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้เมืองก็มีแสงสว่างหลายเส้นพุ่งออกมาจากเมืองนั้น
“เว่ยเว่ยกลับมาแล้ว”
“มีอะไรอยู่รอบๆดินแดนต้องห้ามที่แห้งแล้งหรือไม่? ยอดฝีมือมากมายต่างก็ปรากฏตัวในป่านั้นราวกับว่าพวกเขากำลังค้นหาอะไรบางอย่าง”
“บรรพบุรุษของเราสามารถสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อยู่ในดินแดนโบราณอันแห้งแล้ง คนอื่นๆก็คงสามารถสัมผัสได้เช่นเดียวกัน”
ชายชราเหล่านั้นดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสของผู้หญิงที่ชื่อ เว่ยเว่ย
“คนพวกนี้คือ…”
“พวกเขาคือคนที่เดินลงทางอยู่ในป่าแล้วข้าก็เก็บกลับมาด้วย”
หลังจากได้ยินคำตอบจากหญิงสาวชื่อเว่ยเว่ย ชายชราหลายคนก็หัวเราะออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า … ดูเหมือนจะมีต้นกล้าที่ดีซึ่งเหมาะสมแก่การฝึกฝนอยู่ไม่น้อย!”
หลังจากนั้นทุกคนก็พากันเข้าไปในเมือง
“ทำไมเจ้าอายุน้อยจัง”
หลังจากที่ได้เห็นเย่ฟ่านและผังป๋อ ชายชราหลายคนก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างประหลาดใจและเหลือเชื่อเล็กน้อย
“พวกเจ้ากินผลไม้ในตำนานอย่างนั้นหรือ? นี่มัน…เป็นไปไม่ได้!” ชายชราคนหนึ่งอุทานออกมาด้วยความตกใจ
“ภูเขาศักดิ์สิทธิ์เก้าลูกรวมกันเป็นขุมนรกโบราณที่รกร้าง ว่ากันว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกมีผลไม้และน้ำพุชนิดหนึ่ง
ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์แปลกประหลาดรวมกับน้ำพุศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าจะก่อให้เกิดผลแห่งการเกิดใหม่ แต่มนุษย์สองสามคนจะสามารถเข้าใกล้พวกมันได้อย่างไร! “
ในห้องโถงที่สว่างไสวดวงตาของผู้อาวุโสหลายคนกวาดไปรอบๆตลอดเวลา พวกเขาจ้องมองไปยังเย่ฟ่านและผังป๋อด้วยความประหลาดใจ
“ทำไมเสื้อผ้าเจ้าแปลกจัง”
“ทำไมไว้ผมสั้นแบบนั้นล่ะ”
“พวกเจ้าล้วนเป็นคนธรรมดา ทำไมพวกเจ้าจึงเข้าไปในดินแดนโบราณที่แห้งแล้งโดยไม่ได้ตั้งใจ”
“ทำไมภาษาเจ้าแปลกจัง มาจากไหน”
“เจ้าจะเข้าใกล้ขุมนรกโบราณด้วยความแข็งแกร่งของเจ้าและเลือกผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนานได้อย่างไร … “
ผู้เฒ่าหลายคนมีสีหน้าจริงจังมากและพวกเขาเค้นถามเรื่องทุกอย่างของพวกเย่ฟ่านเพื่อให้ได้ความจริง
พวกเขามาจากอีกฟากหนึ่งของท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว ห่างกันเป็นร้อยปีแสง เรื่องพวกนี้จะพูดออกไปได้อย่างไร? เย่ฟ่านและคนอื่นๆได้แต่เงียบ
“ทำไมไม่พูด” ดวงตาของชายชราคนหนึ่งก็ตะคอกออกมา
“ถึงเราจะพูดความจริง พวกท่านก็ไม่เชื่อแน่นอน” เย่ฟ่านมองดูผู้คนในห้องโถงและพูดอย่างสงบและกล่าวว่า
“บ้านเกิดของเราอยู่ไกลจากที่นี่ พวกเราเดินทางไปเที่ยวภูเขาโบราณซึ่งว่ากันว่าเก่าแก่มากที่สุดในโลกแล้วพวกเราก็มาปรากฏตัวที่นี่โดยที่ไม่สามารถหาทางกลับได้”
ชายชราหลายคนชำเลืองมองกันและกันก่อนที่หนึ่งในนั้นจะพยักหน้าแล้วพูดว่า
“เข้าใจแล้ว ในโลกใบนี้มีผู้แข็งแกร่งมากมายและในขณะนี้พวกเขาก็ยังคงดำเนินการต่อสู้อย่างเข้มข้น มันอาจจะเป็นไปได้ที่พลังของพวกเขาจะพาพวกเจ้ามาที่นี่โดยไม่ตั้งใจ!”
เนื่องจากชายชราหลายคนไม่ตั้งคำถามอีกต่อไป เย่ฟ่านจึงไม่ได้กล่าวถึงโลงศพทองแดงรวมไปถึงซากศพของมังกรทั้งเก้า
ส่วนเรื่องที่พวกเขาเดินทางผ่านจักรวาลนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอยู่แล้ว
ในเวลานี้ตะเกียงทองแดง ระฆังโบราณ รวมทั้งของพิเศษอื่นๆที่อยู่ในมือของพวกเย่ฟ่านก็ทำให้ผู้อาวุโสเหล่านั้นแสดงความสนใจออกมา
“นี่คือ……”
ชายชราคนหนึ่งมองดูมัน เขาหยิบตะเกียงทองแดงจากมือของเย่ฟ่านและมองอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจและพูดว่า
“ล้ำเลิศเป็นอย่างมาก บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งของระดับ ‘เทพเจ้า’ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้พลังของมันถูกใช้ออกไปหมดแล้ว”
จากนั้นเขาก็ดูบักฮื้อ ระฆังโบราณ แผ่นทองแดง ฯลฯ อย่างระมัดระวังด้วยความตกใจจากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาซ้ำๆ
“ล้วนแล้วแต่เป็นของดีทั้งสิ้น น่าเสียดายที่อักขระภายในถูกทำลายหมดแล้วไม่สามารถนำมาใช้งานได้”
“เจ้าได้สิ่งเหล่านี้มาได้อย่างไร” ผู้อาวุโสหลายคนดูเศร้าหมอง และถอนหายใจด้วยความเสียดาย
ในตอนนี้เย่ฟ่านไม่ตอบสนอง คำพูดที่เขาเพิ่งพูดไปเมื่อสักครู่นี้สมเหตุผลดีอยู่แล้วเพราะมันเป็นเรื่องจริงบางส่วน แต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป
หลังจากขบคิดอยู่ชั่วครู่ในที่สุดก็มีใครบางคนบอกว่าพวกเขาได้มันมาจากภูเขาลึกลับและมันสามารถใช้ประโยชน์ได้บางอย่างดังนั้นพวกเขาจึงเก็บพวกมันไว้กับตัวอยู่ตลอด
แน่นอนไม่เพียงแต่เย่ฟ่านไม่ต้องการพูดถึงเรื่องราวของพวกมัน คนอื่นๆก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดจะพูดให้คนแปลกหน้าฟัง
“ภูเขาโบราณที่พวกเจ้ากล่าวถึงนั้นน่าสนใจจริงๆ พวกเจ้าจำได้หรือไม่ว่ามันอยู่ที่ไหนข้าอยากไปสำรวจ” ชายชรายิ้มและหรี่ตาลงเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้เชื่อเรื่องนี้อย่างสนิทใจ
“พวกเจ้าเป็นคนที่ไหน” ชายชราอีกคนถาม
ตอนนี้ทุกคนพยายามให้คำตอบที่สอดคล้องกับคำพูดของเย่ฟ่านและเพื่อนนักเรียนหญิงคนหนึ่งก็บอกว่าพวกเธอมาจากทางทิศตะวันตก
“ทางตะวันตกหรือ หรือพวกเจ้าข้ามทะเลทรายอันกว้างใหญ่มาที่นี่ …” ชายชราคนหนึ่งขมวดคิ้วและพูดกับตัวเองว่า
“ระยะห่างระหว่างตงหวงและอีกฝั่งหนึ่งของทะเลทรายที่อยู่ทางทิศตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ต่อให้เป็นตัวข้าที่บินข้ามก็ต้องใช้เวลามากกว่าสามสิบปี!”