40 – หลิงซู่ตงเทียน
จนถึงตอนนี้เย่ฟ่านและพรรคพวกของเขาเหลือเพียง 13 คน และคนอื่นๆทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว
ยกเว้นเย่ฟ่านที่มีร่างกายแปลกประหลาด อีกสิบสองคนที่เหลือต่างก็ถูกแย่งชิงให้เข้าร่วมสำนักต่างๆด้วยความเท่าเทียมสำนักละสองคน
นี่เป็นทางเลือกที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ โจวยี่ หลินเจี๋ยและคนอื่นๆก็ไม่คิดจะปฏิเสธตั้งแต่แรก ดังที่ผู้อาวุโสหลายคนในหลิงซู่ตงเทียนกล่าว นี่เป็นโอกาสสำหรับพวกเขา
ในท้ายที่สุด เย่ฟ่านก็อยู่ในตำแหน่งที่ขัดเขินและน่าอาย ในตอนแรกทุกคนต่างก็แย่งชิงเขาสุดท้ายแล้วเขากลับถูกหมางเมินแบบนี้
“ข้าจะไม่ไปกับท่านโดยไม่พาเย่ฟ่านไปด้วย” (หลังจากนี้จะใช้สรรพนามแบบนี้นะครับ)
ในขณะนี้ผังป๋อดูเหมือนเด็กอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปีที่เอาแต่ใจคนหนึ่ง
“อย่างมากที่สุดเย่ฟ่านและข้าก็ใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาอยู่ในโลกใบนี้ ”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของหลิงซู่ตงเทียนอธิบายว่า
“ไม่มีมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่สามารถอาศัยอยู่ในตงเทียนได้ นั่นจะเป็นการทำร้ายเขาซะเปล่าๆ”
เย่ฟ่านเข้าใจอย่างชัดเจน หลังจากคิดทบทวนอย่างรอบคอบแล้ว เขาก็นึกถึงสถานการณ์ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น
มีผู้ฝึกตนในตงเถียนไม่น้อยซึ่งมันไม่เหมาะสมกับคนธรรมดาเหมือนเขา แม้ว่าจะมีผังป๋อดูแลแต่ก็ไม่ใช่แผนระยะยาวดังนั้นเขาควรจะตัดปัญหาโดยการไม่ไปกับทุกคนจะดีกว่า
“ผังป๋อ ไปกับพวกเขาเถอะ ข้าจะอยู่ที่นี่บางทีคนธรรมดาก็ไม่ได้เป็นชีวิตที่เลวร้ายอะไร”
“ไม่ พวกเราต้องไปด้วยกัน” ผังป๋อค้านอย่างหนักแน่น
“ตกลง งั้นพาเย่ฟ่านไปกับเขาด้วย”
ผู้อาวุโสหลายคนในหลิงซู่ตงเทียนไม่ต้องการให้ผังป๋อรู้สึกแย่ ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจผ่าเย่ฟ่านไปด้วย
“ช้าก่อน!”
เย่ฟ่านเขาไม่ได้มีความสุขที่ถูกปฏิบัติเช่นนี้ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบว่า
“ข้าบอกแล้วไงว่าจะไม่ไปกับพวกท่าน”
“เย่ฟ่าน นี่เป็นโอกาส…” ผังป๋อรีบชักชวน
เย่ฟ่านส่ายหัวและพูดว่า
“เจ้าไม่จำเป็นต้องชักชวนข้า”
เขาแค่คิดอย่างถี่ถ้วนและเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเมื่อเขาเข้าร่วมกับสำนักศักดิ์สิทธิ์แล้วเขาอาจจะเผชิญกับปัญหาต่างๆนานา ผู้อาวุโสจากหลิงซู่ตงเทียนก็บอกเป็นนัยเช่นกัน
“ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าจะไม่ไปกับพวกเขา”
ผังป๋อมีความซื่อสัตย์มาก และเขาไม่อยากทิ้งเย่ฟ่านและเดินทางออกไปเพียงลำพัง
เย่ฟ่านยิ้มและพูดว่า
“ในอนาคตข้าจะต้องพึ่งพาเจ้า ในอนาคตเจ้าก็ค้นหาเซียนหญิง เทพธิดา หรืออะไรก็ได้มาให้ข้าสักคน ข้าไม่จู้จี้จุกจิกอยู่แล้ว “
ผังป๋อรู้สึกว่ามีสายตาแปลกๆจากด้านข้างมองมาที่พวกเขา
“เย่ฟ่านเจ้าควรไปกับข้า” ผังป๋อชักชวนอีกครั้ง
“ข้าอยากไปกับเจ้าจริงๆ แต่ข้าแค่อยากไปเป็นแขกซักพัก แต่ไม่รู้ว่าคนในสำนักหลิงซู่จะอนุญาตหรือเปล่า”
เย่ฟ่านกล่าวเบาๆ เขาไม่เต็มใจที่จะตัดอนาคตตัวเองจากการเป็นเซียน ดังนั้นเขาจึงต้องการไปที่สำนักหลิงซู่เพื่อทำความเข้าใจ แต่ไม่ต้องการที่จะผูกพันกับนิกาย
“ก็ได้ ตราบใดที่เจ้าเต็มใจไป”
ผังป๋อมีความสุขในทันที ตราบใดที่เย่ฟ่านไปเขารู้สึกว่ามีวิธีที่จะทำให้เย่ฟ่านสามารถฝึกฝนได้เช่นกัน และในเวลานี้สายตาของเขาก็จับจ้องไปยังผู้อาวุโสของหลิงซู่ตงเทียนทันที
“ตกลง.” ในที่สุดผู้อาวุโสหลายคนก็พยักหน้า
เย่ฟ่านและพรรคพวกของเขากำลังจะแยกจาก ในอนาคตพวกเขาไม่รู้ว่าจะได้พบกันอีกหรือไม่
ในตอนนี้เย่ฟ่านดูพิเศษน้อยที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย อนาคตของเขาสิ้นหวังแล้ว แม้ว่าในครั้งต่อไปทุกคนจะมีโอกาสได้พบกันอีกแต่ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งที่เขาไม่สามารถปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนได้
เมื่อทุกคนมองมาที่เขา พวกเขาทั้งหมดแสดงสีแปลกๆและการแสดงออกของพวกเขาแตกต่างกัน
สุดท้ายก็ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อกันก็ไม่ใช่ว่าจะเหมือนกันทั้งหมด
“เย่ฟ่าน นี่ให้เจ้า…”
หลิวอี้อี้มอบสายประคำในมือให้เย่ฟ่านก่อนจะจากไปโดยไม่รอให้เขาปฏิเสธ
“ที่จริงแล้วการเป็นคนธรรมดาก็ไม่มีอะไรแย่พวกเราเกิดมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาทั้งสิ้น มีชีวิตอยู่ด้วยความสุขนะ” หลี่เสี่ยวม่านมาเดินเข้ามาพูดกับเขาด้วยสายตาที่ลึกซึ้งแล้วหันหน้ากลับไป
“เย่ฟ่าน ข้าขอให้เจ้าโชคดีในอนาคต และเชื่อว่าเจ้าจะสามารถมีสีสันในโลกนี้ด้วยความสามารถของเจ้า” หลินเจี๋ยก็เดินออกไปหลังจากพูดประโยคนี้
ต่อจากนั้นโจวยี่และหวังจื่อเหวินก็มาอำลาเช่นกัน
“อันที่จริงการเป็นคนธรรมดาก็ไม่ใช่เรื่องแย่คนในโลกนี้ส่วนมากก็เป็นคนธรรมดาก็ไม่มีอะไรต้องหดหู่ใจ” โจวยี่ยิ้มและตบไหล่เย่ฟ่านเบาๆ
เย่ฟ่านเพียงยิ้มตอบกลับแล้วพูดว่า
“ใครจะสามารถบอกอนาคตได้”
……
ครู่ต่อมาสายรุ้งวิเศษนับสิบก็พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าทีละเส้น ทะลุท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบราวกับดาวตกที่สว่างไสว และทุกคนก็หายไปเช่นนั้น
เมื่อคนจากตงเทียนอื่นๆจากไป ผู้อาวุโสหลายคนในหลิงซูตงเทียนก็พูดกับผังป๋อและเย่ฟ่านว่า
“ที่จริงแล้วสำนักของพวกเราไม่ได้อยู่ห่างไกลกันมากนัก ถ้าเจ้าสามารถฝึกฝนจนมีความแข็งแกร่งภายในหลิงซู่ตงเทียน การที่พวกเจ้าจะเดินทางไปเยี่ยมทุกคนก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร”
ในที่สุดผู้คนกลุ่มหนึ่งก็หยุดอยู่หน้าภูเขาเซียนที่มีหมอกหนาและมีความสุขสงบ
ต้นไม้เขียวชอุ่ม ศาลาและหอคอยที่เรียงรายอยู่ด้านหลังน้ำตก นกกระเรียนบินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่สดใส นี่เป็นสถานที่ที่งดงามราวกับสวรรค์
“นี่คือหลิงซู่ตงเทียนเหรอ?” ผังป๋ออดไม่ได้ที่จะถามก่อนจะกระซิบกับเย่ฟ่านว่า “นกกระเรียนพวกนี้อ้วนมาก พวกเราลองจับมันมาย่างดีหรือเปล่า…”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่ได้ยินเช่นนี้ก็ตะคอกออกมาด้วยความโกรธ
“นั่นคือนกกระเรียนที่ผ่านการบำเพ็ญเพียรจนมีสติปัญญาไม่เป็นรองมนุษย์ อย่าได้ไปยุ่งกับพวกมันเด็ดขาด ด้วยความสามารถของเจ้าไม่ถูกมันจับกินก็ดีแค่ไหนแล้ว”
ที่แห่งนี้ไม่ใช่ส่วนที่เป็นสำนักหลิงซู่ แต่เป็นเพียงประตูภูเขาเท่านั้น และที่ด้านหน้ามีตัวอักษรโบราณถูกเขียนไว้ว่า “ชุมนุมจิตวิญญาณ”!
โดยธรรมชาติแล้วผังป๋อไม่รู้จักอักขระโบราณสองตัวนี้ ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างดูเหมือนจะให้ความเอ็นดูเขาเป็นพิเศษได้กล่าวว่านี่เป็นเพียงทางเข้าของถ้ำสวรรค์หลิงซู
ตามตำนานเล่าว่าสถานที่แห่งนี้เคยพังทลายมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว มันถูกสร้างขึ้นมาใหม่โดยคนรุ่นหลังและแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของถ้ำสวรรค์หลิงซู
คนรุ่นหลังเคยขุดค้นและทำความสะอาดที่นี่ในวงกว้างโดยหวังว่าจะพบสมบัติเซียนในซากปรักหักพัง แต่ผลลัพธ์สุดท้ายก็ไม่มีอะไร
เมื่อทุกคนเดินไปเรื่อยๆเข้าสู่ส่วนใดของดินแดนแห่งนี้ก็พบดินแดนเซียนที่งดงามยิ่งกว่าสิ่งที่อยู่ภายนอกหลายสิบเท่า
“นี่คือหลิงซู่ตงเทียนเหรอ?”
“มันเป็นโลกใบเล็กๆที่ซ่อนอยู่ในโลกใบใหญ่หรือไม่!”
ผู้อาวุโสหลายคนพอใจกับปฏิกิริยาของเย่ฟ่านและผังป๋อ
พืชพรรณที่นี่ดูเหมือนจะได้รับการบำรุงหล่อเลี้ยงโดยแก่นแท้ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แม้แต่ที่ใต้ต้นไม้ธรรมดาเหล่านั้นก็ยังมีหญ้าเขียวชอุ่ม
ในขณะนั้นเย่ฟ่านตกอยู่ในภวังค์ และทันใดนั้นก็มีเสียงสวดคัมภีร์ดังขึ้นในจิตใจของเขาราวกับเสียงระฆังศักดิ์สิทธิ์ที่ดังก้องเหมือนเสียงสวรรค์
นี่เป็นอักขระโบราณที่เขาเคยอ่านพบบนฝาของโลงศพทองแดงขนาดเล็กที่ซ่อนอยู่ในโลงศพความแดงซึ่งพวกเขาใช้โดยสารมา