43 – เต๋า
สามเดือนผ่านไปเช่นนี้เย่ฟ่านและผังป๋อค่อยๆปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในแรกเริ่มและค่อยๆยอมรับทั้งหมด
ในช่วงเวลานี้ทั้งสองไม่ได้ทำในสิ่งที่เรียกว่าการฝึกฝน แต่พวกเขาได้ซึมซับสามัญสำนึกและคิดเกี่ยวกับหนทางข้างหน้า
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงไม่ได้กระตุ้นพวกเขา แต่ปลูกฝังให้พวกเขามีประสบการณ์และความคิดที่หลากหลายในทางปฏิบัติ
นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับเย่ฟ่านและผังป๋อ หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งเดือนพวกเขาก็รู้สึกว่ามีบูรณาการและเข้าใจอย่างเต็มที่ และรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเริ่มฝึกได้
“กงล้อแห่งชีวิตผสมผสานกับทะเลแห่งความทุกข์ และกงล้อแห่งชีวิตจะต้องปลูกฝังร่วมกับทะเลแห่งความทุกข์ ดังนั้นในแง่หนึ่ง การฝึกฝนเริ่มจึงต้องต้นด้วยทะเลแห่งความทุกข์”
การบุ่มเพาะเป็นกระบวนการที่ยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เหยียบไปบนเส้นทางเซียนจะต้องได้รับคำแนะนำจากคนอื่น ไม่เช่นนั้นพวกเขาจะไม่มีทางเริ่มต้นและไม่รู้ว่าจะเปิดประตูอย่างไร
“ในอีกสองเดือนข้างหน้า ข้าจะช่วยให้เจ้าก้าวเท้าบนเส้นทางเซียนและกลายเป็นผู้ฝึกฝนอย่างเป็นทางการ หลังจากนั้นข้าจะไม่สอนกฎให้พวกเจ้าเพียงลำพัง เจ้าจะไปที่หน้าผาหลิงซู่เพื่อศึกษาร่วมกับผู้อื่น . . . “
แม้ว่าเย่ฟ่านไม่ได้เข้าร่วมหลิงซู่ตงเทียนแต่ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงก็ไม่ได้ซุกซ่อนอะไรและปฏิบัติต่อเขาเช่นเดียวกับผังป๋อ
ผู้อาวุโสรู้ดีว่าต่อให้เย่ฟ่านยืนกรานที่จะฝึกฝน แต่ก็ไม่เกิดผล อย่างแน่นอน
ร่างกายของเย่ฟ่านหากเขาเกิดเมื่อหลายพันปีก่อนอาจจะเป็นร่างกายที่ดีที่สุดในโลก แต่เมื่อเขาเกิดในยุคนี้เขากลายเป็นเพียงขยะที่ไร้ค่า
ก้าวแรกบนเส้นทางเซียน สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางรากฐานที่มั่นคง ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจึงจะปีนสูงขึ้นได้ในอนาคต
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงได้คิดค้นวิธีการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกที่เรียกว่าเต๋าจิง
เต๋าจิง เขาเลือกที่จะใช้ชื่อดังกล่าวก็เพียงพอที่จะอธิบายว่าเส้นทางการบ่มเพาะเต๋าเป็นวิธีการสูงสุดในตำนานของโลกนี้ นี่เป็นคัมภีร์โบราณที่ผู้คนมากมายได้นำมาประยุกต์เป็นของตัวเอง
แน่นอนมันเป็นไปไม่ได้ที่หลิงซูตงเทียนจะมี “เต๋าจิง” ฉบับจริง ด้วยโลกที่ได้รับพรไม่มีรายละเอียดดังกล่าวเลย พวกเขาจึงรวบรวมได้เฉพาะบทเริ่มต้นของเต๋าจิงเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นแม้ว่าบทเริ่มต้นนี้ยังไม่ใช่บทเริ่มต้นเพียงเล่มเดียวในเอี๋ยนตี้ ไม่เช่นนั้นสำนักของพวกเขาคงถูกทำลายล้างเพื่อแย่งชิงคัมภีร์ไปนานแล้ว
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบทเริ่มต้นของ “เต๋าจิง” ของหลิงซู่ตงเทียน เป็นสิ่งที่มีไว้สำหรับสาวกที่มีความสามารถพิเศษ คนที่มีรากฐานที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ในการก้าวไปต่อในเส้นทางนี้
เคล็ดลับพื้นฐานนี้ล้ำค่าเป็นอย่างมากแต่ก็ไม่ใช่ว่าสำนักอื่นจะไม่มีตำราแบบนี้อยู่ ดังนั้นผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงจึงไม่หลีกเลี่ยง เย่ฟ่านและส่งต่อไปยังทั้งสองโดยตรง
“เต๋าจิง”
เป็นคัมภีร์โบราณที่กว้างและลึกซึ้ง ไม่เช่นนั้นจะไม่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกนี้ได้อย่างไร
บทเริ่มต้นเพียงอย่างเดียวก็มีแก่นแท้ไม่สิ้นสุด ถึงจะมีเพียงแค่พันคำแต่ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงก็ใช้เวลาอธิบายให้พวกเขาฟังตลอดทั้งวันมากกว่าครึ่งเดือน
แต่ละประโยคของ “เต๋าจิง” มีความหมายที่ลึกซึ้งและรวบรวมทุกสิ่งทุกอย่างของโลกไว้อย่างไม่รู้จบ แม้จะเป็นเพียงบทเริ่มต้นแต่หากสามารถตีความได้อย่างลึกซึ้งระดับบ่มเพาะของพวกเขาก็จะไม่สิ้นสุดในอนาคตเช่นกัน
เย่ฟ่านและผังป๋อพยายามตีความตำรานี้อย่างจริงจังในทุกๆวัน
ประการแรกพวกเขาต้องสัมผัสกงล้อแห่งชีวิตแล้วนำทางวิญญาณให้โจมตีทะเลแห่งความทุกข์ ในกระบวนการนี้ย่อมต้องมีวิธีการชักนำลึกลับและวิธีการนำทางที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่เพียงพอ เพราะเป็นการยากที่จะพังประตูถ้าพวกเขาฝึกเพียงลำพัง พวกเขาจะต้องมีผู้คนค่อยชักนำเส้นทางที่ถูกต้อง
ดังนั้นผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงจึงรับหน้าที่นี้และพยายามชี้นำให้พวกเขาโจมตีประตูเพื่อเปิดเส้นทางของกงล้อแห่งชีวิตที่อยู่ภายในทะเลแห่งความทุกข์
สิบวันต่อมาผังป๋อในที่สุดก็รู้สึกถึงการมีอยู่ของกงล้อแห่งชีวิต ในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเขาเริ่มพยายามชี้นำแก่นแท้ที่ซ่อนอยู่ในกงล้อแห่งชีวิตและเข้าสู่ทะเลแห่งความทุกข์เป็นผลสำเร็จ
แต่เย่ฟ่านยังคงไม่พบอะไรเลย กงล้อแห่งชีวิตของเขายังคงอยู่ ที่นั่นซึ่งมันแข็งพอๆกับเหล็กกล้า และถึงแม้จะแข็งแกร่งเท่ากับผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงก็ไม่สามารถเปิดเส้นทางได้นับประสาอะไรกับเด็กหนุ่มอย่างเขา
“การเริ่มต้นฝึกฝนเป็นส่วนที่ยากที่สุดของร่างกายเจ้า…”
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงขมวดคิ้วและในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ เขาใช้พลังงานของร่างกายตัวเองกระทบกงล้อชีวิตของเย่ฟ่าน แต่มันก็ไม่สั่นคลอน .
“ผู้อาวุโสท่านต้องช่วยเย่ฟ่าน บางทีเขาอาจจะประสบความสำเร็จในเวลาไม่นานนัก” ผังป๋อเห็นว่าอาวุโสอู๋ชิงเฟิงดูเหมือนจะยอมแพ้ดังนั้นเขาจึงรีบขอร้องออกมาทันที
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วย แต่มันไม่มีทางจริงๆ นั่นคือร่างกายของเขาไม่มีใครสามารถช่วยได้ สุดท้ายต้องอาศัยความหมั่นเพียรของเขาเอง” ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงส่ายหัว
“แม้แต่ข้าที่เป็นคนโง่ก็ยังทำได้ แล้วเย่ฟ่านที่ฉลาดกว่าข้าสิบเท่าจะทำไม่ได้ได้อย่างไร?” ผังป๋อถามด้วยรอยยิ้ม
“ร่างกายนี้ถูกเรียกว่าเป็นร่างศักดิ์สิทธิ์ก่อนยุคแห่งความอ้างว้าง เป็นธรรมดาที่ข้าจะไม่เข้าใจ มันต้องมีความลับมากมายที่ข้าไม่รู้ เจ้าต้องเข้าใจว่าความรู้จากยุคอดีตนั้นแทบจะสูญหายไปหมดแล้ว “
ในตอนนี้เย่ฟ่านยังคงอยู่ในความเงียบเขาไม่ได้ตื่นเต้นหรือเสียใจมากเกินไป เรื่องนี้อยู่ในความคิดของเขาอยู่แล้ว
ผังป๋อกล่าวต่อว่า
“ข้าคิดว่าผู้อาวุโสต้องพิจารณาให้ดี ถ้าผู้อาวุโสสามารถแก้ปัญหานี้ได้บางทีท่านอาจได้รับผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในโลก และความสำเร็จของหลิงซู่ตงเทียนจะอยู่ใกล้แค่เอื้อม”
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนานขนาดนี้มีหรือเขาจะถูกเด็กน้อยคนหนึ่งหลอกให้เสียคนได้ เขาส่ายหัวพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงหัวเราะว่า
“หลังจากสมัยโบราณ ร่างกายแบบนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกสองสามครั้ง แม้แต่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจะเป็นผู้ครอบครองร่างทรงพลังพวกนี้แต่พวกเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แล้วเจ้าคิดว่าพวกเราจะทำอะไรได้หรือ?”
“อะไร!”
ตอนนั้นเองที่ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงดูเหมือนจะรู้สึกบางอย่าง ในทันใดเขาเอื้อมมือไปที่สะดือของเย่ฟ่านอีกครั้ง จากนั้นจึงรวบรวมพลังลมปราณของร่างกายเพื่อสำรวจด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผู้อาวุโส… มีความหวังหรือไม่” ผังป๋อถามด้วยความเป็นห่วง
หลังจากเวลาผ่านไปนานผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงวางฝ่ามือลงอย่างเหนื่อยอ่อนแล้วส่ายหัวโดยพูดว่า
“กงล้อแห่งชีวิตและทะเลแห่งความทุกข์ยังคงแข็งเหมือนเหล็กมันมีความสงบและไม่มีความผันผวน อย่างไรก็ตามข้ามีความรู้สึกแปลกๆ
ข้ามีความรู้สึกว่าพลังโลหิตที่อยู่ในร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าจะถูกยับยั้งทำให้ยากที่จะสังเกตเห็น แต่ข้ายังรู้สึกถึงความผันผวนของช่วงเวลา “
“พลังโลหิตแข็งแกร่งขึ้นหมายความว่าอย่างไร?” ผังป๋องุนงง.
“ใช่แล้ว เจ้าสองคนบังเอิญได้กินผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ชนิดหนึ่งในดินแดนต้องห้าม จากนั้นจึงดื่มน้ำจากน้ำพุแห่งเทพทำให้ร่างกายของพวกเจ้าเกิดใหม่และพลังโลหิตก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ
วันนี้เขาไม่มีความคืบหน้าใดๆในการฝึกฝนเต๋าจิง และเขายังคงไม่รู้สึกถึงกงล้อแห่งชีวิตของตัวเอง แต่แก่นแท้โลหิตของเขาดูเหมือนจะทรงพลังมากกว่าของข้าซะอีก”
ผังป๋อกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า
” เต๋าจิงเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นวิธีการฝึกฝนเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดของตงหวงในเมื่อเขายังไม่สามารถเปิดประตูกงล้อแห่งชีวิตออกได้แล้วเขาฝึกฝนพลังโลหิตได้อย่างไร”
“นี่…” ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงขมวดคิ้วและคิดเหตุผลไม่ออก
ในขณะนี้เย่ฟ่านลืมตาขึ้นดวงตาของเขางดงามและเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
เมื่อเห็นรูปลักษณ์ที่กระฉับกระเฉงของเขาผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงก็ยิ่งไม่แน่ใจและถามว่า
“เจ้ารู้สึกถึงกงล้อแห่งชีวิตหรือไม่?”
เย่ฟ่านส่ายหัวและบอกความจริง “ไม่”
“เจ้ามีความรู้สึกพิเศษอะไรไหม” ผู้อาวุโสยังคงถามต่อไป
เย่ฟ่านไม่ต้องการปิดบังเขาเพราะผู้อาวุโสคนนี้ดีต่อเขาจริงๆ และพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อเขาโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติหรืออคติใดๆ
“ถึงแม้กงล้อแห่งชีวิตจะไม่สามารถสัมผัสได้แต่ข้ารู้สึกว่าข้ามีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกี่ยวกับพละกำลัง”
“มันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบไหน?” ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงถามอีกครั้ง
“เปรียบเสมือนพลังอันไร้ขอบเขต”
เมื่อพูดถึงตรงนี้เย่ฟ่านก็ยกหินก้อนใหญ่ที่อยู่ด้านหน้ากระท่อมด้วยมือข้างเดียว สีหน้าของเขาสงบนิ่งเหมือนไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วกล่าวว่า
“ดูจากสีหน้าของเจ้าแสดงว่าเจ้าไม่ได้ใช้พละกำลังอะไรเลย หากเจ้าใช้ออกด้วยสองมือหรือว่าพลังของเจ้าจะทรงพลังยิ่งกว่าคชสาร?”
ในเวลานี้สีหน้าของผังป๋อก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจเช่นกัน เขาและเย่ฟ่านมีการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน
แต่เมื่อเห็นการกระทำของเย่ฟ่านเขารู้สึกว่าพละกำลังของเขาไม่ได้มีมากมายถึงขนาดนี้
ผู้อาวุโสอู๋ชิงเฟิงจากไปโดยไม่พูดอะไร เขาสงสัยว่าทำไมสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นได้ แม้ว่าเย่ฟ่านจะไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของกงล้อแห่งชีวิต แต่ก็ด้วยพละกำลังระดับนี้มันเกินขีดจำกัดของมนุษย์ไปแล้ว?
หลังจากที่ผู้อาวุโสจากไป เย่ฟ่านก็วิ่งลงจากยอดเขาด้วยความเร็วที่แม้แต่ผังป๋อ๋ก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ
“ไม่เพียงแต่พลังจะแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น แต่ความเร็วยังเพิ่มขึ้นมหาศาลอีกด้วย!”
ในวันต่อมาผู้อาวุโสของสำนักก็ใส่ใจเย่ฟ่านมากขึ้น และในตอนนี้พวกเขาก็ให้เย่ฟ่านและผังป๋อไปที่หน้าผาหลิงซู่เพื่อฟังการสอนพร้อมกับลูกศิษย์คนอื่น
หลังจากที่พวกเขาผ่านการฝึกเบื้องต้นและก้าวเข้าสู่เส้นทางบ่มเพาะเซียนอย่างแท้จริง ผู้ใดที่มีพรสวรรค์มากที่สุดก็จะถูกคัดเลือกเข้าเป็นสิทธิ์ส่วนตัวของผู้อาวุโสและได้รับการฝึกฝนที่เข้มข้นมากขึ้น