46 – ต้นหอม
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เขาไม่ได้คิดก็คือเย่ฟ่านตอบสนองอย่างรวดเร็วและถอยหลังไปสองก้าวก่อนจะจับฝ่ามือที่จู่โจมเข้ามาอย่างมั่นคง
”ยอมแพ้ซะ!”
แม้ว่าชายหนุ่มจะแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่คิดว่าเย่ฟ่านจะเป็นภัยคุกคามต่อเขาได้
ดังนั้นเขาจึงโจมตีออกไปอีกครั้ง แต่เรื่องนี้กลับเกินความคาดหมายของเขาเพราะมือของเย่ฟ่านที่จับแขนเขาไว้นั้นบีบแน่นขึ้นอย่างรุนแรง
“บูม”
ในเวลานี้ตั้งป๋อที่อยู่ด้านข้างก็กระแทกกําปั้นเข้าใส่ซี่โครงของเขาทําให้เขากระอักเลือดออกมาทันที ในขณะเดียวกันเย่ฟ่านก็จับชายหนุ่มคนนั้นฟาดลงกับพื้นอย่างรุนแรง
“บูม”
ฝุ่นผงพุ่งขึ้นและพื้นดินก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย ชั้นแสงบางๆบนร่างของชายหนุ่มก็สลายไปในทันใด เขากรีดร้องและกระอักเลือดออกมาคําใหญ่ก่อนที่ร่างกายจะชักกระตุกไม่หยุด
คนรอบข้างตกตะลึง พวกเขาไม่คิดว่าพละกําลังของเย่ฟ่านจะมีมากมายมหาศาลถึงขนาดนี้
ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งไม่พอ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ฝึกฝนอยู่ในสํานักนี้มาอย่างยาวนาน เมื่อเกิดการต่อสู้เขากลับไม่มีโอกาสที่จะโจมตีแม้แต่น้อย
ตอนนี้เย่ฟ่านบดขยี้เขาอย่างรุนแรงด้วยมือเพียงข้างเดียว ซึ่งอาจกล่าวได้ว่ามีพลังของเย่ฟ่านแข็งแกร่งมากจนผู้ที่เปิดกงล้อแห่งชีวิตขั้นต้นไม่สามารถต้านทานได้
“เห็นได้ชัดว่าพวกเจ้ากําลังจะปล้นเราแต่พวกเจ้ากลับกล่าวหาว่าเราว่าทําร้ายพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นมาทําให้ถึงที่สุดกันเถอะ”
ผังป๋อวิ่งเข้าหาเด็กหนุ่มพวกนั้นอย่างโกรธจัดและโจมตีออกไปรอบทิศทางอย่างรวดเร็ว
“ปัง” “ปัง” “ปัง” …
ผังป๋อเตะพวกเขาล้มลงทีละคนในขณะที่กําปั้นของเขาก็ต่อยซ้ำลงไปอย่างต่อเนื่อง
“พวกเจ้าพูดว่าอะไรนะ จะโยนพวกเราลงไปเป็นอาหารปลา จะหักแขนหักขาพวกเราอย่างนั้นหรือ!”
ผังป๋อจับทุกคนขึ้นมาพร้อมกับตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทุกคนกรีดร้องเหมือนหมุที่ถูกเชือด
“เห็นพวกเจ้าทําตัวเป็นอันธพาลก็นึกว่าพวกเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ที่แท้ก็แค่เศษสวะกลุ่มหนึ่ง!”
ผังป๋อลุกขึ้นยืนก่อนจะมอบให้อีกคนละเท้าพร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ พวกเจ้าหาเรื่องเราทําไม บอกมาเดี๋ยวนี้!”
เย่ฟ่านที่อยู่อีกฝั่งไม่นิ่งเขาลงมือสอบสวนชายหนุ่มที่อายุประมาณ 20 ปีคนนั้นอย่างรุนแรง ชายหนุ่มที่ไม่ยอมเอ่ยปากถูกเขาทุบตีอย่างแสนสาหัส
“ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าจะจับเจ้าโยนลงไปในสระให้เป็นหัวหอม!”
เย่ฟ่านเตะอย่างแรงอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของเขามากเพียงใด เขาเตะชายหนุ่มกลิ้งไปด้านข้างแปดเก้าวาทุกครั้งที่ขยับเท้า
ผังป๋อได้ยินดังนั้นใบหน้าของเขาก็เปล่งประกายขึ้นมาทันที และพูดว่า
”เป็นความคิดที่ดี!”
พูดจบเขาก็นั่งลงและอุ้มชายหนุ่มห้าหรือหกคนพร้อมๆกันด้วยกําลังมหาศาล แล้วเดินไปที่สระบัวข้างหน้า
“ไม่ ปล่อยเราลง!”
“ช่วยด้วย ฆ่าคนแล้ว…”
“ข้าขอร้องวางเราลง!”
ผังป๋อเมินเฉยก่อนจะโยนคนพวกนั้นลงน้ำทีละคนพร้อมกับหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“ไม่ต้องฆ่าพวกเขา…” เย่ฟ่านเตือน
“ไม่เป็นไร ขยะเหล่านี้ได้ก้าวเข้าสู่เส้นทางเซียนแล้ว แม้ว่าพวกมันจะไม่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่พวกมันก็แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปมาก อย่างน้อยพวกมันก็สามารถกลั้นหายใจได้เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม”
“จะพูดหรือไม่พูด หรือต้องการให้ข้าตีเจ้าให้ตาย” เย่ฟ่านเตะเด็กหนุ่มที่อยู่บนพื้นกลิ้งไปกลิ้งมาอีกครั้ง
ผังป๋อเดินเข้าไปแล้วพูดว่า
“ดูเหมือนว่ามันจะยอมตายไม่ยอมสยบ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเสียเวลาเลยทําให้มันเป็นต้นหอมดีกว่า”
เย่ฟ่านเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่หวาดกลัวดังนั้นเขาจึงยกชายหนุ่มวัย 20 ขึ้นแล้วขว้างลงไปที่สระน้ำอย่างรุนแรง
ทุกคนที่อยู่รอบๆต่างก็ตกตะลึง พลังนี้ยิ่งใหญ่มากขนาดไหนเย่ฝ่านสามารถโยนคนที่มีน้ำหนักมากกว่าร้อยจินตกลงไปกลางสระบัวที่มีระยะห่างจากตรงนี้กว่า 50 วา
“บ้าไปแล้ว!”
ร่างของชายหนุ่มคนนั้นพุ่งลงไปกลางสระบัวแล้วศีรษะของเขาก็ฝังอยู่ในโคลนมีเพียงขาทั้งสองข้างของเขาเท่านั้นที่ยังคงดิ้นรนอยู่ทําให้เขามีลักษณะคล้ายต้นหอม
“บ้าไปแล้ว!”
“สัตว์ประหลาดน้อยตัวนี้อายุแค่ 12 ปี เขาทรงพลังแบบนี้ได้อย่างไร”
ทันใดนั้นฝูงชนที่อยู่ห่างไกลก็แยกจากกันอย่างรวดเร็วและเปิดทางให้คนแปลกหน้าสองสามคน เด็กหนุ่มอายุ 14 ถึง 15 ปีมีสีหน้าบูดบึงเดินเข้ามาทางนี้
ที่ด้านหลังของพวกเขามีเด็กหนุ่มอายุ 20 กว่าปีหลายคนซึ่งมีลักษณะแข็งแกร่งกว่าเด็กหนุ่มที่ถูกเย่ฟ่านโยนลงไปในน้ำ
“นี่คือหลานชายของผู้อาวุโสชั่น ชื่อฮั่นเฟยหยู…”
“ลุงของเขายังเป็นผู้อาวุโสและได้รับการกล่าวขานว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการกลั่นยา”
“หุบปาก ระวังเจ้าจะเดือดร้อน!”
ฮั่นเฟยหยูเด็กหนุ่มวัย 14 ปีค่อยๆเข้ามาใกล้ด้วยใบหน้าบูดบึ้ง และพูดกับเย่ฟ่านและผังป๋อว่า
“ที่นี่คือชุมนุมจิตวิญญาณ พวกเจ้ากล้าก่อเรื่องที่นี่ หรือพวกเจ้าคิดว่าจะไม่มีใครทําอะไรพวกเจ้าได้?”
เย่ฟ่านและผังป๋อเมินเขาและหันไปมองที่สระบัวด้วยความสนใจ
ใบหน้าของฮั่นเฟยหยูเริ่มมืดมนขึ้นทันที และพูดกับคนทั้งสี่ซึ่งอยู่รอบตัวว่า
“ทําให้พวกมันหันมาฟังข้าพูด!”
เย่ฟ่านหันกลับมาและกล่าวว่า
“ทําตัวเขื่องโขขนาดนี้ทั้งที่ยังอายุน้อยอยู่ เจ้าคงเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังสินะ ดูเหมือนว่าเจ้าก็ต้องการเป็นต้นหอมเหมือนกัน”
เมื่อฮั่นเฟยหยูเห็นการตอบโต้ของเยี่ฟาน แสงเย็นวาบสองดวงก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาและเขาพูดด้วยน้ำเสียงโกรธเคืองว่า
“ดูเหมือนว่าข้าจะทําได้เพียงส่งศพของพวกเจ้าให้ท่านลุงเท่านั้น”
ใบหน้าของฮั่นเฟยหยุมืดมนมีแสงเย็นชาสองดวงในดวงตาของเขา ในขณะที่เขาจ้องมองที่เย่ฟ่านและผังป๋อราวกับว่าพวกเขาทั้งสองเป็นเพียงคนตายที่ไม่จําเป็นต้องพูดอะไรอีก
เด็กหนุ่มทั้งสี่รอบตัวเขาเดินไปข้างหน้าด้วยกันหลังจากได้ยินคําสั่ง ทุกคนมีรอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าและค่อยๆล้อมรอบเย่ฟ่านกับผังป๋อ
ชายหนุ่มคนหนึ่งกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า
“เจ้าคงไม่รู้ว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่มากแค่ไหน เมื่อมาที่สํานักหลิงซู่เจ้าก็ทําให้ใครบางคนขุ่นเคืองในทันที นับว่าเจ้ามีความกล้าแต่ก็เป็นการรนหาที่ตายเช่นกัน!”
ข้างๆกันชายหนุ่มอีกคนหนึ่งเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวพร้อมกับรอยยิ้มเยาะเย้ยๆที่อยู่บนมุมปากเขาพูดว่า
“แม้ว่าพวกเจ้าจะรนหาที่ตายแต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถตายได้ พวกเจ้าจะต้องได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัสชนิดที่ว่าความตายเป็นเรื่องเล็กน้อยไปเลย”
“อันที่จริงพวกเจ้าสองคนสามารถทําให้ความผิดของพวกเจ้าลดน้อยลงได้” ในเวลานี้อีกคนพูดและพูดแบบสบายๆและก้าวเข้ามาข้างหน้าด้วยรอยยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า
“ขอเพียงพวกเจ้าหักขาของตัวเองแล้วใช้ศีรษะมุดลงไปในสระบัวให้เหมือนต้นหอม บางทีนายน้อยอาจจะอภัยให้พวกเจ้าก็ได้”
“ถ้าข้าเป็นเจ้าข้าจะยอมทําเช่นนี้เพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์ทรมานโดยตรง”
ทั้งสี่คนพูดอย่างเป็นกันเองพร้อมกับเยาะเย้ยและส่งเสียงหัวเราะไม่หยุด ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ปิดกั้นเส้นทางของทั้งสองไม่ให้สามารถหลบหนีออกจากที่นี่ได้
เย่ฟ่านและผังป๋อนั้นชื่นชอบการทะเลาะวิวาทตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อได้ยินคําพูดของคนทั้งสี่พวกเขาไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแต่กลับหัวเราะออกมาเบาๆ
“คนพวกนี้ปัญญาอ่อนหรือเปล่า?”
“ข้าไม่รู้ บางที่พวกเขาอาจจะเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ ถ้าไม่อย่างนั้นจะมีใครในโลกที่ทําเรื่องงี่เง่าแบบนี้ได้ ”
ทั้งสองคนพูดคุยแบบสบายๆราวกับว่าพวกเขากําลังดูการแสดงของทุกคนอยู่ด้านข้างและแสดงความคิดเห็นเป็นครั้งคราว