100 – ได้ยินความลับโดยบังเอิญ
หลังจากที่ทั้งเสิ่นหงปิงและสือฉางเฟิงได้บรรยายให้กับฝูงชนฟังแล้ว เด็กหนุ่มทั้งห้าสิบคนที่เข้าเรียนในสถาบันศิลปะการต่อสู้ของแคว้นผิงซีได้ประทับลายนิ้วมือลงในทะเบียนการรับเข้าศึกษา
นั่นจะใช้เป็นหลักฐานยืนยันตัวตนเมื่อพวกเขารายงานตัวต่อสถาบันในอีกสองเดือนต่อมา
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีการที่ตามมาในที่สุดทุกคนก็ออกจากสถาบันศิลปะการต่อสู้พร้อมกับเด็กหนุ่มที่เข้าร่วมการสอบด้วยกัน พวกเขาต่างก็กลับไปบ้านของตัวเองตามลำดับ
เมื่อประตูหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้เปิดกว้างเด็กหนุ่มทั้งหลายก็หลั่งไหลออกมาในเวลาเดียวกัน พวกเขากลับบ้านหรือพบกับเพื่อนและครอบครัวที่รออยู่ข้างนอก
บางคนมีจิตใจเบิกบานในขณะที่บางคนเงียบและผิดหวัง ความเศร้าโศกและความสุขที่พวกเขารู้สึกต้องประสบด้วยตนเองเท่านั้นถึงจะรู้ซึ้ง
ช่างแตกต่างจากเมื่อเช้า ในช่วงเวลานั้นเอี้ยนลี่เฉียงมาคนเดียวเขาเป็นคนแปลกหน้าท่ามกลางคนอื่นๆ นอกเหนือจากเด็กหนุ่ม 2-3 คนจากเมืองหลิวเหอเกือบทุกคนยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร
ตอนนี้แม้ในขณะที่เขาเดินท่ามกลางฝูงชน เอี้ยนลี่เฉียงก็สามารถสัมผัสได้ถึงสายตามากมายจากเด็กหนุ่มที่เข้าร่วมการตรวจสอบจากทั่วทุกสารทิศขณะที่ทุกคนจ้องมองเขาเงียบๆ
นี่คือความยำเกรงที่เขาได้แสดงความแข็งแกร่งออกมาในการสอบครั้งแรก
หลังจากคึกคักมาทั้งวันโดยไม่ดื่มน้ำแม้แต่หยดเดียวตอนนี้ทุกคนก็หมดแรงและหิวโหย เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าท้องของตัวเองคำรามประท้วงมานานแล้ว
เขาไม่รู้สึกเลยเมื่ออยู่ในสถาบันศิลปะการต่อสู้ แต่ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเขารู้สึกว่าตัวเองควรบำรุงท้องด้วยอาหารเลิศรส
แม้ว่าท้องของเขาจะยังคงส่งเสียงประท้วง แต่คำพูดของสือฉางเฟิงก็ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของเอี้ยนลี่เฉียง จากประสบการณ์ของเอี้ยนลี่เฉียงจากการใช้ชีวิตสองชีวิตเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าคำพูดของสือฉางเฟิงมีความหมายลึกซึ้งต่อพวกเขา
คำพูดที่เขาพูดยังเป็นรูปแบบที่ดีที่สุดในการสร้างแรงจูงใจและกำลังใจให้กับทุกคนในปัจจุบัน อย่างน้อยสำหรับเอี้ยนลี่เฉียงคำพูดของสือฉางเฟิงก็ทำให้เขารู้สึกกังวลและไม่ปลอดภัยอีกครั้ง
ความเบิกบานใจและความตื่นเต้นที่เขารู้สึกได้จากการคว้าอันดับหนึ่งในการสอบศิลปะการต่อสู้ได้ถูกชะล้างไป
การเป็นนักรบเป็นเพียงจุดเริ่มต้นในโลกนี้เท่านั้นไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าเขายังไม่ได้เป็นนักรบด้วยซ้ำ ‘ดังนั้นสู้ให้หนักขึ้นเด็กน้อย … ‘
…
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านหลังเขา แต่เอี้ยนลี่เฉียงไม่หันกลับไปเขาคิดว่าน่าจะเป็นสือต้าเฟิงจากการฟังเสียงฝีเท้าเพียงอย่างเดียว
นับตั้งแต่ที่เขาฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเอี้ยนลี่เฉียงรับรู้ได้ว่าประสาทสัมผัสของเขาดีเยี่ยมขึ้น
ตามที่คาดไว้สือต้าเฟิงเขาเดินมาข้างหน้าของเอี้ยนลี่เฉียง
“ ตอนนี้เจ้าวางแผนที่จะกลับบ้านหรือยัง?”
“ใช่!”
“เจ้ามีแผนอย่างไรสำหรับสองเดือนข้างหน้า”
“ แผนเหรอหมายความว่าไง” เอี้ยนลี่เฉียงมองสือต้าเฟิงด้วยความสงสัย
“ข้าหมายถึงคือถ้าเจ้าไม่มีอะไรให้ทำในอีกสองเดือนข้างหน้าทำไมเราไม่ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันสักพักเพื่อเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์”
สือต้าเฟิงเป็นผู้ชายที่มีบุคลิกร่าเริงและเปิดเผย เขายังคงร่าเริงโดยไม่ได้สนใจความพ่ายแพ้ที่มีต่อเอี้ยนลี่เฉียงและเสิ่นเติ้ง เขาก้าวข้ามมันได้ในพริบตา ผู้ชายแบบนี้เป็นคนที่ควรค่าแก่การเป็นเพื่อนในสายตาของเอี้ยนลี่เฉียง
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม
“ข้ามีธุระยุ่งๆอยู่ที่บ้านในสองเดือนนี้ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถออกไปได้!”
“ มีอะไรให้ทำที่บ้านหรือครอบครัวของเจ้ามั่นหมายกับหญิงสาวไว้แล้ว” สือต้าเฟิงจ้องไปที่เอี้ยนลี่เฉียงอย่างสงสัย
“ไม่ใช่ว่าหมั้นหมาย แต่ไม่มีใครดูแลพ่อของข้าซึ่งบาดเจ็บอยู่หลังจากนี้อีก 2 เดือนเมื่อข้าไปเรียนที่แค้วนผิงซีจะไม่ได้อยู่ดูแลเขาอีก ‘
“ เจ้าไม่มีพี่น้องคนอื่นหรือ?”
“ข้าเป็นลูกคนเดียว!”
“ งั้นก็ไม่เป็นไร!” สือต้าเฟิงถอนหายใจ “ข้าจะไปคนเดียวแล้วกัน … “
“เราจะพบกันอีกครั้งที่สถาบันศิลปะการต่อสู้แค้วนผิงซี!” ขณะที่เขากล่าว เอี้ยนลี่เฉียงได้ออกจากประตูหลักของสถาบันศิลปะการต่อสู้มณฑลชิงไห่แล้ว
เขามองเห็นผู้คุ้มกันจากตระกูลลู่ซึ่งเตรียมม้าแรดไว้ให้เขาอยู่บริเวณด้านหน้าของทางเข้า
“เอี้ยนลี่เฉียงออกมาแล้ว … “
“เด็กหนุ่มอายุสิบสี่สิบห้าปีที่สวมชุดสีฟ้าได้อันดับหนึ่งในการสอบศิลปะการต่อสู้ครั้งนี้เอี้ยนลี่เฉียงจากเมืองหลิวเหอ!”
“ ไม่คิดว่าเขาจะอายุน้อยขนาดนี้…”
ก่อนที่เอี้ยนลี่เฉียงได้ขึ้นม้าแรดความโกลาหลก็เกิดขึ้นทันที เมื่อเหลือบไปเห็นผู้คนนับไม่ถ้วนยังคงรออยู่ด้านนอกทางเข้าซึ่งแต่ละคนต่างก็จ้องมองเขาด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ในขณะที่เขาออกมาหลายคนดูเหมือนจะพุ่งมาทางเขาในทันที ท่ามกลางฝูงชนสองสามคนดูเหมือนจะเป็นแม่สื่อรีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับจ้องมองเขาด้วยดวงตาเปล่งประกาย
โชคดีที่ผู้คุ้มกันของตระกูลลู่สามารถนำม้าแรดมาหาเขาได้ทันเวลา เอี้ยนลี่เฉียงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติมและกระโดดขึ้นม้าก่อนจะออกเดินทางกลับเมืองหลิวเหอพร้อมกับผู้คุ้มกันตระกูลลู่
แม้ว่าผู้คุ้มกันของตระกูลลู่จะไม่ได้พูดอะไรเลยตลอดการเดินทางกลับบ้าน แต่เอี้ยนลี่เฉียงก็ยังสามารถบอกได้ว่าสายตาของทั้งสองที่มีต่อเขานั้นมีความเคารพเพิ่มขึ้นอีกส่วนหนึ่ง
เมื่อกลับมาที่เมืองหลิวเหอ เอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักว่าบริเวณทางเดินโดยรอบนั้นคึกคักไปด้วยความมีชีวิตชีวา หลายครัวเรือนสองข้างทางต่างเดินออกมาดูเขาพร้อมกับโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
ทุกที่ที่เขามองไปจะมีรอยยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้าของผู้คนรอบๆ เด็กกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามม้าแรดของเขาขณะที่ตะโกนว่า “ผู้ชนะอันดับหนึ่งกลับมาแล้ว! ผู้ชนะอันดับหนึ่งกลับมาแล้ว … “
ก่อนที่เขาจะไปถึงบ้านเอี้ยนลี่เฉียงได้เห็นพ่อของเขาแล้ว เอี้ยนเต๋อชางและโจวเถี่ยซูโผล่ออกมาจากลานบ้านและรอเขาอยู่ที่ถนนด้านนอก
เอี้ยนลี่เฉียงลงจากม้าอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้พร้อมกับเดินไปหาเอี้ยนเต๋อชางด้วยยิ้ม“ ท่านพ่อข้ากลับมาแล้ว … ”
ดวงตาของเอี้ยนเต๋อชางดูชุ่มชื้นขึ้นเล็กน้อย เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆและใช้แขนเสื้อเช็ดที่มุมตา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเขาขณะที่เขาพูดว่า
“พวกเราไปจุดธูปให้กับป้ายวิญญาณของแม่เจ้าแล้วค่อยทานอาหาร … “
เมื่อพวกเขาทานอาหารเสร็จแล้วค่ำคืนก็ปิดลงอย่างสมบูรณ์ เอี้ยนลี่เฉียงพยุงตัวเอี้ยนเต๋อชางที่เมาแล้วกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน
หลังจากที่วางเอี้ยนเต๋อชางไว้บนเตียงเขาก็ไปเอาน้ำอุ่นและช่วยล้างมือใบหน้าและเท้าของเอี้ยนเต๋อชาง
ใบหน้าของเอี้ยนเต๋อชางเป็นสีแดง ดวงตาของเขาปิดสนิทแต่ปากยังคงละเมอออกมาไม่หยุด
“ซิ่วเหลียนเจ้าเห็นลูกชายของเราหรือยัง … เขาได้อันดับหนึ่งในการสอบประจำมณฑล … ข้าสัญญากับเจ้าแล้วว่าจะดูแลเขาอย่างเต็มความสามารถ … รอให้เขาล้างแค้นให้เจ้าได้เมื่อไหร่ข้าจะรีบตามเจ้าไปทันที…”
ในขณะที่เอี้ยนลี่เฉียงเช็ดเท้าของเอี้ยนเต๋อชางเมื่อเขาได้ยินคำพูดสุดท้าย เอี้ยนลี่เฉียงก็ตัวแข็งทันทีราวกับถูกกระแสไฟฟ้าแรงสูงช็อต
เอี้ยนลี่เฉียงค่อยๆขยับสายตาจากใบหน้าของเอี้ยนเต๋อชาง พอเช็ดเท้าเอี้ยนเต๋อชางเสร็จเขาก็อุ้มกะละมังแล้วออกจากห้อง …