109 – ชาวชาตูก่อความวุ่นวาย
อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปครึ่งนาทีประตูห้องของเอี้ยนลี่เฉียงก็ถูกปลดล็อกและเปิดออกจากอีกด้านพร้อมกับเสียงดังเอี๊ยด
ทหารที่เฝ้าประตูผลักมันเปิดและเข้ามากล่าวกับเอี้ยนลี่เฉียงด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าเกิดเรื่องวุ่นวายประตูนี้จะถูกเปิดไว้เจ้าสามารถออกไปได้ด้วยตัวเองข้าไม่อาจดูแลเจ้าได้ หลังจากที่ออกไปเจ้าก็ระมัดระวังตัวด้วยน้องชาย!”
“ขอบคุณพี่ซู!”
“เจ้ารู้จักข้าอย่างนั้นหรือ?” ทหารคนนั้นผงะเล็กน้อย
“ ข้าได้ยินท่านนายกองพูดกับเจ้าเมื่อสักครู่…” เอี้ยนลี่เฉียงหัวเราะ
การจำชื่อใครบางคนเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดในสายงานของเขาในชีวิตก่อนหน้านี้ นี่เป็นเพราะมันมีผลกระทบทางจิตใจที่ละเอียดอ่อนซึ่งสามารถทำให้คนแปลกหน้าและเขาสนิทกันได้อย่างรวดเร็ว
“โอ้ใช่แล้ว!” สีหน้าของซูฉวนผ่อนคลายลงทันที เขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียง
“เจ้าต้องการอะไรไหมอย่างเช่นอาวุธจะได้ใช้ป้องกันตัวเอง”
“ขอบคุณพี่ซูข้ามีกระเป๋าและอาวุธอยู่ข้างนอกหวังว่าท่านจะนำมันมาให้ข้า!” เอี้ยนลี่เฉียงชี้ไปที่กระเป๋าของตัวเองซึ่งอยู่นอกกรงขัง
มีมีดคูกรีที่สร้างขึ้นในร้านช่างตีเหล็กตระกูลเอี้ยนมันถูกสวมไว้ในปลอกหนังวัวอย่างดี นายทหารคนนั้นใจดีเป็นอย่างมากเขานำกระเป๋าเข้ามาให้เอี้ยนลี่เฉียงโดยไม่ตรวจดูด้วยซ้ำ
“ ขอบคุณ…”
…
ในขณะนี้เสียงของชาวชาตูที่รวมตัวกันที่ทางเข้าหลักของค่ายทหารดังมากขึ้นเรื่อยๆ ถนนสองสามแห่งนอกค่ายทหารเต็มไปด้วยคบเพลิงที่ชาวชาตูถืออยู่มันแกว่งไปมาในอากาศ
ร้านค้าทั้งหมดได้ปิดตัวลงด้วยความหวาดกลัว ไม่มีใครอื่นนอกจากชาวชาตูที่ออกไปตามถนนสายหลัก เพียงมองแค่แวบเดียวก็สามารถเห็นได้ว่าชาวชาตูที่อยู่ข้างนอกมีมากเกินหมื่นคน
ทหารสองสามแถวที่สวมชุดเกราะและอาวุธครบมือกำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าหลักของค่ายทหารเผชิญหน้ากับฝูงชนชาวชาตูที่ส่งเสียงร้องด้วยระยะทางไม่ถึงสิบวา
พวกชาตูเรียงตัวกันเป็นกำแพงมนุษย์ร้องตะโกนให้คนของพวกเขาถูกปล่อยตัวในขณะที่พวกเขากำลังจะผลักดันเข้าสู่ค่ายทหาร
แถวหน้าของคนพวกนี้มีทั้งสตรีคนชราและเด็ก พวกเขาแต่ละคนชี้และตะโกนใส่ทหารในค่ายทหารด้วยความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้
พวกเขาไม่ได้ถืออาวุธใดๆแต่พวกเขากำลังกดดันเข้าไปยังค่ายทหาร เบื้องหลังคนชราเหล่านี้คือชาวชาตูที่อายุน้อยและแข็งแรง อาวุธของพวกเขาเปล่งประกายออกมาจากฝูงชนเป็นครั้งคราว
ผู้บัญชาการหน้าดำยืนอยู่ที่ทางเข้าค่ายทหารในขณะที่เฝ้าดูชาวชาตูเหล่านี้ แสงเย็นวาบทั่วดวงตาของเขา
“ หากพวกมันกล้าเข้ามามากกว่านี้ก็ลงมือสังหารได้เลย เรื่องนี้ข้ารับผิดชอบเองอย่างมากก็แค่กลับบ้านไปทำไร่ไถนาเท่านั้น…” ผู้บัญชาการหน้าดำกล่าวพร้อมกับสาปแช่งสองสามครั้งแล้วเหวี่ยงหมวกเหล็กที่เขาสวมบนศีรษะลงไปกองกับพื้น
เขาชักดาบออกมาและออกคำสั่งด้วยเสียงอันดัง
“ทหาร! เมืองผิงซีนี้ยังคงเป็นเมืองผิงซีที่ประกอบไปด้วยพวกเราชาวฮั่นอันยิ่งใหญ่! ฆ่าใครก็ตามที่กล้าก้าวเข้ามาในค่ายทหารของเรา! ข้าซูเทียนฮ่าวจะรับผิดชอบทั้งหมดคนเดียวทุกคนทำตามคำสั่งของข้า … ถือหอกของเจ้า … แล้วออกไป !!! “
“ รับทราบ!” ทหารทุกคนตอบรับเสียงดังในขณะที่พวกเขายืดหอกในมือออกมาในทันทีและก้าวไปข้างหน้า
รัศมีที่น่าเกรงขามของพวกเขาและแสงอันเยือกเย็นของหัวหอกทำให้พวกชาตูที่กำลังกดดันไปที่ค่ายทหารเริ่มรู้สึกหวาดกลัวจนต้องถอยหลังกลับ
เมื่อเห็นชาวชาตูเหล่านั้นหยุดอยู่กลับที่ผู้บัญชาการทหารหน้าดำก็หันไปบอกผู้ช่วยของเขา ด้วยเสียงแผ่วเบา
“ ไปสอบสวนพวกชาตูที่เราจับมาให้ดี เค้นพวกมันให้ทราบว่าพวกมันต้องการที่จะโจมตีค่ายทหารของเราหรือไม่หากได้รับการยืนยันแล้วว่าพวกมันต้องการทำเช่นนี้จริงๆก็ให้ตัดหัวทั้งหมดมาเสียบไว้ที่หน้าเมือง”
“ เข้าใจแล้ว…” ผู้บัญชาการหน่วยนั้นรับคำสั่งก่อนจะหันกลับเข้าค่ายทหารอย่างรวดเร็ว
นายทหารที่อยู่ด้านข้างเอนศีรษะขึ้นและถามด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านครับผู้ว่าของเมืองน่าจะทราบเรื่องแล้วเหตุไฉนเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไร”
“ เจ้าคนอ่อนแอนั่นมันจะทำอะไรได้”
…
ในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ระดับสูงสองคนในเมืองผิงซีผู้ว่าการทหารหวงฟู่เฉียนฉีจากสำนักงานผู้ว่าการทหารของแคว้นผิงซีและ ผู้ว่าราชการเมืองผิงซีหลี่ผิงเทากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถงที่มีแสงสว่างจ้าแห่งหนึ่ง
ชาบนโต๊ะเย็นลงแล้ว แม้ว่าจะผ่านไป 1 ชั่วยามเต็ม แต่ผู้ว่าการแคว้นผิงซีก็ยังคงก้มหน้าลงอ่านกระดาษที่มีความยาวหลายหน้าอยู่บนโต๊ะ ดูเหมือนว่าเขาจะศึกษาทุกคำที่เขียนลงไปอย่างระมัดระวังไม่เคยเงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ผู้ว่าการเมืองหลี่ผิงเทาได้กำหมัดแน่นประมาณเจ็ดถึงแปดครั้ง สุดท้ายเขาก็ไม่สามารถยอมรับมันได้อีกต่อไป เขาหันศีรษะไปด้านข้างและเหลือบไปเห็นนายทหารของแคว้นผิงซีซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้าเขาหวงฟู่เฉียนฉีให้กล่าวอะไรขึ้นบ้าง
“อะแฮ่ม” หลังจากควบคุมตัวเองอยู่ครู่หนึ่งและเห็นว่าผู้ว่าการเงยหน้าขึ้นมาแล้วหวงฟู่เฉียนฉีในฐานะเจ้าหน้าที่อาวุโสในที่สุดก็ส่งเสียงขึ้น
“ท่าน!”
ผู้ว่าการของแค้นมีดวงตาสีแดงก่ำ เขาลูบหนวดด้วยมือข้างเดียวและเหลือบมองไปที่เจ้าหน้าที่หวงฟู่เฉียนฉีก่อนที่จะโยนรายงานลงบนโต๊ะ
“นี่เป็นรายงานด่วนที่เจ้าพูดถึงหรือ คาราวานชาวชาตูได้นำอาวุธเข้ามาในเมืองและผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าได้ควบคุมตัวพวกเขาไว้พร้อมกับมีคนได้รับบาดเจ็บบางส่วน” มีความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา
“ ประมาณนี้…”
“พอแล้ว.” ผู้ว่าการยกมือขึ้นตัดคำอธิบายของหวงฟู่เฉียนฉี
“ข้ารู้ว่าท่านแม่ทัพต้องการจะพูดอะไร แต่ท่านไม่ลองคิดดูว่าพวกชาตูพวกนั้นอาจจะแค่ปลอมแปลงสัญลักษณ์ที่อยู่ในอาวุธขึ้นเพื่อให้ขายได้ราคาดี พวกท่านทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เกินไปแล้ว”
ในขณะนี้มีคนรับใช้ชราเดินเข้ามากระซิบที่หูของผู้ว่าการทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ชาวชาตูกำลังก่อความวุ่นวายในตอนนี้!ไปบอกคนของท่านให้ปล่อยชาวชาตูออกมาพร้อมกับชดเชยเงินค่าเสียหายให้กับพวกเขา . ปลอบโยนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยหวังว่าท่านคงจัดการได้ ตอนนี้ข้าเหนื่อยแล้วต้องการพักผ่อนท่านออกไปเถอะ … “
ผู้ว่าการแคว้นตัดบทง่ายๆก่อนที่จะโบกมือไล่หวงฟู่เฉียนฉีออกไป