131 – ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่
ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าเอี้ยนลี่เฉียง เป็นเหมือนผู้ชมในโรงภาพยนตร์ เขายืนอยู่ข้างๆและเฝ้าดูเหตุการณ์ต่อเนื่องกันอย่างเงียบๆหลังจากการตายของเขา
หลังจากนั้นเขาติดตามแม่อู๋ไปที่วัดแห่งความกตัญญูเป็นการส่วนตัว เขาโล่งใจอย่างยิ่งเมื่อเห็นแม่อู๋อาศัยอยู่อย่างสบายๆที่นั่น
ความเศร้าโศกของเพื่อนของเขาและผู้คนที่อยู่ใกล้เขา ตลอดจนใบหน้าที่พอใจของผู้ส่งสารซึ่งฉายประกายต่อหน้าต่อตาของเอี้ยนลี่เฉียง
เขาถูกด่าโดยผู้คนนับไม่ถ้วนในเมืองผิงซี แม้ว่าเถ้าถ่านของเขาจะถูกฝังโดยเฉียนซูและโจวเถี่ยจูบนภูเขาร้อยจ้าง แต่ก็ยังมีคนถามหาที่พำนักของเขาในเมืองหลิวเหอ ทุกอย่างเป็นไปตามที่เฉียนซูคาดไว้
เย่เซียวและหวังฮ่าวเฟยได้กลายเป็นวีรบุรุษแห่งความชอบธรรมไปแล้ว ผู้คนร้องเพลงสรรเสริญทุกที่ในเมืองผิงซีและมณฑลหวงหลงในขณะที่ตัวเอี้ยนลี่เฉียงกลายเป็นอาชญากรที่ชั่วร้ายเกินกว่าจะไถ่ถอนได้
ชื่อเสียงของผู้ว่าการแคว้นผิงซีก็พุ่งสูงขึ้นหลังจากเหตุการณ์นี้
เขามีบุตรชายที่กล้าหาญแต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังยอมเสียสละลูกชายมากกว่าปล่อยให้อาชญากรหลบหนี ความซื่อสัตย์ของเขาเป็นเหมือนพรที่ได้รับจากสวรรค์สำหรับชาวผิงซี
แม้ว่าเอี้ยนลี่เฉียงจะมีชีวิตสองชีวิต แต่อารมณ์ที่เขารู้สึกในช่วงสองสามวันนี้กลับไม่เหมือนที่เขาเคยสัมผัสมาก่อน
นั่นคือชีวิตและความไม่แน่นอนของธรรมชาติมนุษย์
เฉพาะในภาพยนตร์และเทพนิยายเท่านั้นที่จะมีชัยเหนือความชั่วร้ายและมีชีวิตรอดจนถึงตอนจบ ทว่าในความเป็นจริงบ่อยครั้งที่ความชั่วร้ายมีชัยเหนือความดี
ในขณะที่คนชั่วเพลิดเพลินกับสุราและหญิงงามอย่างมีความสุขจนพอใจ แต่คนดีส่วนใหญ่ที่ต่อสู้กับพวกเขาด้วยความชอบธรรมได้ถูกวัชพืชกลบฝังอยู่ใต้หลุมศพไปแล้ว
หลังจากได้เห็นความจริงที่บิดเบี้ยว เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับการรู้แจ้งในบางอย่าง
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไร เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่เพราะร่างของเขาถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน แต่เขาไม่สามารถพูดได้ว่าเขาตายไปแล้วเพราะเขายังคงรับรู้ถึงทุกสิ่งรอบตัวและเขายังสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์
… เขามีลางสังหรณ์ว่าสภาพแปลกๆที่เขาอยู่ตอนนี้มีความเกี่ยวข้องกับหินขนาดใหญ่แปลกๆในจิตใจของเขา หินก้อนใหญ่นั้นก็จะปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาเขาโดยอัตโนมัติเมื่อเขาหลับตา
แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาลืมตาขึ้น ทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติและหินก้อนใหญ่ก็หายไป เอี้ยนลี่เฉียงพยายามนับครั้งไม่ถ้วนและผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมเสมอ
เขาไม่รู้ว่าหินก้อนใหญ่ก้อนนี้ปรากฏขึ้นมาได้อย่างไรในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขา เขาเดาว่าน่าจะเป็นดาวตกที่พุ่งชนเขาในชีวิตก่อนหน้านี้
เอี้ยนลี่เฉียงตระหนักดีว่าหินก้อนใหญ่ก้อนนี้เป็นสิ่งที่พิเศษและแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่เขาไม่กล้าจินตนาการ อย่างไรก็ตามเขาไม่รู้ว่าจะโต้ตอบกับหินก้อนใหญ่นี้อย่างไร
หินก้อนใหญ่นั้นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ก็ไม่เคยตอบสนองกับการกระทำของเขา ต่อให้เขาตะโกนจนคอแห้งแล้วก็ตาม
1 เดือนหลังจากนั้นลูกหลานของตระกูลลู่ก็ไม่ได้ถูกกักบริเวณอีกต่อไป พวกเขากลับมาเรียนที่สถาบันศิลปะการต่อสู้อีกครั้ง
สือต้าเฟิงได้ออกจากแคว้นผิงซีแล้วแล้ว พ่อของเขาได้ฝากให้เขาเป็นศิษย์ของปรมาจารย์นักสู้ของแคว้นคังกูเขตปกครองพิเศษกาน
…
ทุกคนดำเนินชีวิตต่อไปและกลับสู่เส้นทางเดิม เอี้ยนลี่เฉียงเป็นคนเดียวที่ไม่สามารถกลับมาได้
ครึ่งเดือนหลังจากนั้นเอี้ยนลี่เฉียงก็ล่องลอยออกจากแคว้นผิงซี
เปลวเพลิงในใจยังคงแผดเผาอย่างแรงกล้า เขาไม่พอใจกับการล่องลอยไปทั่วแคว้นผิงซีเหมือนผีไร้บ้านที่โดดเดี่ยว เขาต้องล้างแค้นให้ท่านพ่อเขาต้องการร่างกายมนุษย์
เขาเชื่อว่าสถานะปัจจุบันของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแน่นอนและนี่ไม่ใช่จุดจบของเขา ถ้าเขาไม่สามารถเปลี่ยนสถานะปัจจุบันที่เขาอยู่ได้ในตอนนี้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมีชีวิตอยู่ถึงสองชีวิต
ไม่อย่างนั้นเขาน่าจะลอยอยู่บนโลกตั้งแต่โดนอุกกาบาตพุ่งชนก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงเชื่อมั่นว่ามีทางที่เขาจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอนเพียงแต่เขายังไม่พบกุญแจเท่านั้น
สิ่งแรกที่โผล่เข้ามาในจิตใจของเอี้ยนลี่เฉียงคือการกลับชาติมาเกิด
เขาเดาว่าหินในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขาอาจปกป้องจิตสำนึกของเขาไว้ ทำให้เขาสามารถกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง เพียงแต่ว่ามันไม่ได้บอกวิธีกับเขาสิ่งที่เขาทำได้มีเพียงการลองผิดลองถูก
ถ้าเขากำลังจะกลับชาติมาเกิดในที่เดิมมันจะเกิดปัญหาเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเพราะว่าผู้ว่าการแคว้นมีอำนาจสูงสุดในแคว้นผิงซี
ถ้าเขาจะไปเกิดใหม่อีกครั้งเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ถ้าเขาจะเกิดใหม่ เขาควรไปเกิดให้ไกลจากที่นี่ ด้วยวิธีนี้อย่างน้อยเมื่อเขาเกิดใหม่อีกครั้ง เขาก็จะมีความแข็งแกร่งเหนือคนอื่น
เอี้ยนลี่เฉียงเริ่มใช้ความพยายามอย่างไม่รู้จบโดยยึดมั่นในกรอบความคิดนี้ อย่างไรก็ตามความพยายามที่ไม่มีที่สิ้นสุดในช่วงเวลาที่ยาวนานเหล่านี้ทำให้เอี้ยนลี่เฉียงกลายเป็น ‘พวกถ้ำมอง’ ไปในที่สุด
หลังจากออกจากแคว้นผิงซี ร่างของเขาก็วาววับราวกับสายฟ้า ขณะที่เขาท่องไปทั่วโลกหลายพันลี้และเยี่ยมชมเมืองใหญ่ๆ เหล่านั้น
เขาค้นหาตระกูลที่ดูเหมือนจะร่ำรวยและมีอิทธิพล ในเวลากลางคืนเขาจะบุกเข้าไปในห้องนอนของคฤหาสน์ที่หรูหราเหล่านั้น จากนั้นเขาก็เฝ้าดูคู่รักทำพิธีกรรมสร้างทารกด้วยความหวัง
จำนวนกิจกรรมทางเพศที่เอี้ยนลี่เฉียงพบเห็นในเวลาเพียงสองเดือนนี้มากเกินกว่าจำนวนภาพอนาจารที่เขาเคยดูบนโลกในชีวิตก่อนหน้านี้เสียอีก
ในท้ายที่สุดเอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักว่าไม่ว่าเขาจะดูหรือศึกษาทุกอย่างอย่างไรก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เนื่องจากวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผลเอี้ยนลี่เฉียงจึงพยายามอยู่ใกล้ชิดกับหญิงตั้งครรภ์แต่ก็พบว่ามันไม่ได้ผลเช่นเดียวกัน
ในท้ายที่สุดเอี้ยนลี่เฉียงได้พยายามตามหมอตำแยไปรอบๆ และพยายามเสี่ยงโชคทุกวันในบริเวณที่เกิดทารก
เขาใช้เวลาสองสามเดือนข้างหน้าในการทำสิ่งนี้จนกระทั่งเขารู้สึกว่าเขาสามารถเป็นผดุงครรภ์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมได้ แต่ความพยายามของเขาก็ไม่ได้ผล
เป็นไปได้ไหมว่าเขาสามารถกลับชาติมาเกิดได้ถ้าเขาตาย?
ด้วยความคิดนั้น เอี้ยนลี่เฉียงเริ่มพยายามฆ่าตัวตายด้วยวิธีการต่างๆ ถูกฟ้าผ่ากระโดดเข้ากองไฟ กระโดดจากหน้าผาจมน้ำในแม่น้ำ… เขาลองทุกอย่างที่คิดได้ แต่ก็ทำไม่สำเร็จ
นั่นเป็นเพราะว่าทุกสิ่งในโลกนี้แทบไม่มีผลกระทบอะไรกับเขาเลย เมื่อเขาไล่ล่าสายฟ้าในช่วงฝนตกหนักฟ้าผ่าก็ผ่านร่างกายของเขาเหมือนอากาศ
ในความพยายามที่จะเผาตัวเองและเข้าไปนอนในเตาไฟของโรงตีเหล็กมากกว่า 1 วันก็ไม่เป็นผล เมื่อเขาพยายามจะกระโดดลงจากหน้าผาร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
เขาดิ้นรนเป็นเวลาเจ็ดหรือแปดเดือนจนไม่รู้ว่าตัวเองไปตกอยู่ที่ไหนแล้ว เขาพยายามนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เป็นผล เมื่อถึงจุดนี้เอี้ยนลี่เฉียงรู้สึกว่าเขากำลังจะกลายเป็นบ้า
ควันจากปล่องไฟ ต้นไม้เก่าแก่อีกาในยามพลบค่ำ…
หมู่บ้านบนภูเขา วัดเล็กๆ ที่ห่างไกล…
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงออกมาจากวัด เขารู้สึกราวกับว่าเขามีความว่างเปล่าในใจ แม้จะมีอุปสรรคและความพยายามนับไม่ถ้วนที่เขาทำในช่วงเจ็ดถึงแปดเดือนนี้ แต่เขาก็ยังเดินไปได้ทุกที่เหมือนผีไร้บ้านที่โดดเดี่ยว
เขาไม่รู้สึกหนาวหรือหิวและเขาไม่จำเป็นต้องกินหรือนอน เขายังไม่ตาย แต่เขาไม่มีชีวิตอยู่ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่คนที่มีจิตใจแข็งแกร่งที่สุดย่อมต้องรู้สึกถึงความสิ้นหวังของสถานการณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน ไม่ว่าในกรณีใดสถานที่แห่งนี้ก็อยู่ไกลจากเขตปกครองพิเศษกานของอาณาจักรฮั่นอันยิ่งใหญ่