161 – ประตูย้อนเวลา
หลังจากส่งมอบธุรกิจน้ําส้มสายชูจากดินให้แก่กู่เจ๋อซวนและจ้าวฮุ่ยเผิงแล้วเอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกต่อไป
นอกเหนือจากการทํางานตามเวลาที่กําหนดแล้ว เอี้ยนลี่เฉียงส่วนใหญ่ใช้เวลาที่เหลืออยู่ทุกวันเพื่อทําสิ่งหนึ่ง นั่นคือสํารวจความลับของหินประหลาดในทะเลแห่งจิตสํานึกของเขา
ในช่วงเวลานี้การฝึกฝนคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นได้กลายเป็นหนทางสําหรับเอี้ยนลี่เฉียงในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งและจิตใจของเขา
ดังคํากล่าวที่ว่า ‘บางสิ่งที่อยู่ในใจของคุณ สักวันหนึ่งจะผุดขึ้นมาในชีวิตของเจ้า!’
เอี้ยนลี่เฉียงยังคงสํารวจทุกวันโดยไม่พักผ่อน และค่อยๆรู้สึกว่าเขาดูเหมือนจะค้นพบวิธีที่จะโต้ตอบกับหินลึกลับนั้น ในเวลาเดียวกัน เขายังได้เปิดเผยความลับมากมายที่ก้อนหินลึกลับครอบครองอยู่
‘โต้ตอบกับหิน’ คงไม่มีใครเชื่อถ้าคําพูดนั้นหลุดออกมา พวกเขาคงคิดว่าเอี้ยนลี่เฉียงบ้าไปแล้ว ทว่าทุกอย่างก็เป็นจริง
กุญแจสําคัญในการโต้ตอบกับหินก้อนนั้นไม่ได้ผ่านภาษาวาจาหรือข้อความ แต่เป็นหัวใจ พูดให้ตรงกว่าคือจิตสํานึกบริสุทธิ์และพลังวิญญาณ
ทุกครั้งที่เอี้ยนลี่เฉียงหลับตาและเพ่งความสนใจไปที่หินก้อนนั้นในทะเลแห่งจิตสำนึกของเขา เป็นเวลาเกือบสามชั่วยามจิตสํานึกทั้งหมดของเขาจะถูกดูดเข้าไปในความว่างเปล่าลึกลับและไร้ขอบเขตโดยหินก้อนนั้น
มันเป็นความว่างเปล่าที่ลึกลับและไร้ขอบเขตแบบเดียวกับที่เอี้ยนลี่เฉียงเคยเห็นในครั้งแรกของเขา
ครั้งแรกที่เขาเข้าไป เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ด้วยซ้ําว่าจะออกมาอย่างไร ในเวลาต่อมาเขาพบว่าเขาเพียงแต่หลับตาเมื่อเขาอยู่ในความว่างเปล่านั้นและคิดถึงร่างกายของตัวเอง
เขาจะออกจากที่นั่นในพริบตาและเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง ถ้าเขาไม่พยายามออกไปด้วยความตั้งใจของเขาเอง ในที่สุดเขาก็จะถูก “ไล่ออก” จากก้อนหินเมื่อเขาหมดแรง
มันเป็นเช่นเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งแรก
ทุกครั้งที่เขาถูกก้อนหินไล่ออก เอี้ยนลี่เฉียงจะรู้สึกราวกับว่าเขาทํางานมาทั้งคืน ร่างกายของเขารู้สึกเหนื่อยล้าอย่างมาก นอกจากการนอนแล้ว เขาไม่อยากทําอะไรอีก
หลังจากพยายามหลายครั้ง เอี้ยนลี่เฉียงก็ตระหนักว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาเดินผ่านหินก้อนนั้น ดูเหมือนว่าพลังวิญญาณที่ไร้รูปแบบบางอย่างในใจของเขาจะหมดลง
และพลังงานวิญญาณนั้นเป็นสะพานที่อํานวยความสะดวกในการสื่อสารของเขากับหิน
ภายในช่องว่างลึกลับ เอี้ยนลี่เฉียงพยายามหลายครั้งและแม้กระทั่งใช้วิธีการต่างๆ เพื่อคํานวณเวลาจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าไม่ว่าเขาจะอยู่ในความว่างเปล่าลึกลับนานแค่ไหน เวลาในโลกภายนอกดูเหมือนจะหยุดนิ่งสนิททันทีที่เขาเข้าไป
บางครั้ง เมื่อเขารู้สึกว่าเขาอยู่ในนั้นสองสามชั่วยาม เมื่อถึงเวลาที่เขาจากไป เขาก็ตระหนักว่า เวลาภายนอกดูเหมือนจะหยุดลงทันทีที่เขาเข้าสู่ความว่างเปล่าลึกลับ
เอี้ยนลี่เฉียงก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องนี้ได้อย่างไร ด้วยความรู้ทางวิชาการที่ไม่ลึกซึ้งและการฝึกฝนตนเอง สถานการณ์นี้ทําให้เขารู้สึกปวดหัวอยู่เช่นกัน
เอี้ยนลี่เฉียงไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพื้นที่ลึกลับภายในหินนั้นเป็นสถานที่ประเภทใด แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไม่สนใจเช่นกัน
สิ่งเดียวที่รบกวนจิตใจเขามากที่สุดคือเมื่อใดก็ตามที่เขาเข้าไปในสถานที่ลึกลับนั้น เขาจะสามารถดูฉากจากอดีตของเขาบนหน้าจอแสงเวทย์มนตร์สองจอที่ปรากฏขึ้นภายในได้เสมอ
หนึ่งในหน้าจอแสงจะเล่นทุกอย่างที่เขาเคยสัมผัสเมื่ออยู่ในแคว้นผิงซีและหยุดนิ่งหลังจากฉากที่เขาถูกสังหาร
หน้าจอแสงอื่นจะเล่นทุกอย่างที่เขามีประสบการณ์ในร่างกายปัจจุบันของเขาจนถึงจุดนี้ เนี้อหาของหน้าจอแสงจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เขามา เนื้อหาเพิ่มเติมคือสิ่งที่เขาประสบระหว่างใช้ชีวิตประจําวันอยู่ที่นี่
ทุกอย่างที่ฉายบนจอแสงทั้งสองนั้นเปรียบเสมือนภาพยนตร์สารคดีที่แยกจากกัน หนึ่งในนั้น ได้บันทึกเสร็จแล้วในขณะที่อีกเรื่องยังอยู่ระหว่างดําเนินการ
เป็นไปได้ไหมว่านอกเหนือจากความสามารถในกากลับชาติมาเกิดแล้ว ก้อนหินในทะเลแห่งจิตสํานึกของเขายังเป็นแกลเลอรี่วิดีโอที่บันทึกตัวเองเรื่องราวของชีวิตของเขา?
ความคิดนี้แวบเข้ามาในจิตใจของเอี้ยนลี่เฉียง แต่หลังจากคิดอย่างจริงจังแล้ว เขาก็ ตระหนักว่าแนวความคิดของเขาตลกขบขันเพียงใด
ความคิดสร้างสรรค์และการประดิษฐ์ดังกล่าวอาจมีอยู่เฉพาะในภาพยนตร์ไร้สาระอย่าง “From Beijing with Love” (พยัคฆ์ไม่ร้ายคังคังฉิก) ที่นําแสดงโดยโจวซิงฉือมันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ในความจริง
ดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าจอแสงทั้งสองนี้ไม่ใช่แค่หนังที่น่าเบื่อแน่นอน พวกมันต้องมีเหตุผลอื่นที่ดูเหมือนว่าเขายังไม่รู้
เมื่อคํานึงถึงคําถามนี้แล้ว เอี้ยนลี่เฉียงจึงใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนในการเข้าและออกจากพื้นที่ลึกลับนั้นซ้ําแล้วซ้ําเล่า โดยศึกษา ‘ภาพยนตร์สารคดี’ ที่ฉายในจอแสงทั้งสองนั้นซ้ําแล้วซ้ําเล่าด้วยเช่นกัน
ยิ่งเขาดูหนังสารคดีสองเรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งตระหนักว่าจอแสงเหล่านั้น ซึ่งกําลังเล่นสารคดีที่แตกต่างกันในนั้น เป็นเหมือนประตูสองบาน
ดูเหมือนว่าเขาจะเพียงแค่ผลักมันเบาๆและทั้งตัวของเขาจะสามารถบินเข้าไปได้
ทุกครั้งที่เขาเข้าไปในพื้นที่ลึกลับ ดูเหมือนว่ามันจะรอให้เขาบินไปที่หน้าจอแสงอันใดอันหนึ่งนี่ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่สําคัญอย่างยิ่งที่เขาต้องทํา
เอี้ยนลี่เฉียงไม่รู้ว่าอะไรอยู่เบื้องหลังม่านแสงเหล่านั้น และไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเขาเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่งจากพวกมัน
นั่นเป็นเพราะยิ่งเขาสังเกตมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าหมอกที่ว่างเปล่าหลังม่านแสงเหล่านั้น เต็มไปด้วยความไม่รู้และความไม่แน่นอน
เขาเฝ้าสังเกต วนเวียนไปมา ลังเลและครุ่นคิดอยู่เกือบสองเดือน
ตลอดสองเดือนที่ผ่านมา เอี้ยนลี่เฉียงมักจะจมอยู่กับความเศร้าโศกและความเจ็บปวดทุกครั้งที่เห็นฉากในหน้าจอแสงแรกที่เอี้ยนเต่อชางเสียชีวิต
หากใครอยากรู้รสชาติของลูกแพร์ เขาก็ต้องลองชิมเอง
ในที่สุดหนึ่งคืนหลังจากสองเดือน เอี้ยนลี่เฉียงขบกรามของเขา ก่อนจะพุ่งผ่านหน้าจอแสงแรก …
“น้องชายเปลี่ยนที่นั่งกับข้าได้หรือไม่..?”
เมื่อเอี้ยนลี่เฉียงลืมตาขึ้น เขาพบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเรือ ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มทารกที่ห่อตัวอยู่ในอ้อมแขนของนางหันกลับมาที่ที่นั่งข้างหน้าและมองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงด้วยสายตาอ้อนวอน
เรือโดยสารกําลังแล่นไปตามแม่น้ําที่ปกคลุมไปด้วยหมอกเพราะฝนกําลังตก หยาดฝนกระทบกระโจมของเรือ และเสียงฝนที่เทกระหน่ําเสียงเหมือนถั่วที่กําลังถูกผิด
ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่หน้าเอี้ยนลี่เฉียงข้างหน้าต่าง อย่างไรก็ตาม กลอนของหน้าต่างได้รับความเสียหาย ดังนั้นหน้าต่างจึงสามารถปิดได้เพียงครึ่งเดียว
เนื่องจากกระแสน้ําไหลออกด้านนอก ลมและละอองฝนบนพื้นผิวแม่น้ําจึงพันกันด้วย คลื่นลมเย็นที่พัดเข้ามาทางช่องหน้าต่างเล็กๆที่กระทบใบหน้าของทารกที่ห่อตัว
เรือลํานี้ ฉากนี้ ผู้หญิงคนนี้… เขากําลังฝันอยู่เหรอ?
เอี้ยนลี่เฉียงตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
“ว้าก ว้าก.. ว้าว!” ทารกที่ห่อตัวอยู่ในอ้อมแขนของผู้หญิงคนนั้นเริ่มร้องไห้เสียงดัง
ผู้หญิงคนนั้นรีบเขย่าทารกเพื่อกล่อมเขา และจากนั้นก็มองเอี้ยนลี่เฉียงอย่างยากลําบาก “ฟังนะ น้องชายข้าขอร้องล่ะช่วยเปลี่ยนที่นั่งกับข้าได้หรือไม่…”
“ขอโทษด้วยจริงๆพี่สาวเมื่อสักครู่นี้ข้ากําลังเหม่อลอย ท่านมาเปลี่ยนที่นั่งกับข้าเถอะ” เอี้ยนลี่เฉียงเห็นด้วย
เมื่อเขายืนขึ้น เขาก็แอบบีบต้นขาตัวเองอย่างแรง ความเจ็บปวดนั้นทะลุทะลวงและเป็นจริงมาก
” ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก!” ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้ายืนขึ้นพร้อมกับลูกของนางในอ้อมแขนและแลกเปลี่ยนที่นั่งกับเอี้ยนลี่เฉียงที่กําลังหอบหิ้วกระเป๋าเดินทางของเขา
ลมหนาวและละอองฝนโปรยปรายบนใบหน้าของเอี้ยนลี่เฉียงผ่านหน้าต่าง
ความรู้สึกนี้ไม่อาจลืมได้ตลอดชีวิตของหยาน ลี่เฉียง ใบหน้าของเขาแดงก่ําในทันใดขณะที่กําหมัดแน่นแล้วหันกลับมา
“พี่สาวเมื่อสักครู่นี้ข้านอนหลับไปจึงรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย วันนี้วันที่เท่าไหร่นะ”
“วันนี้เป็นวันที่ 27 เดือน 8 ของปี 12 แห่งรัชกาลหยวนผิง!”