เด็กหนุ่มผู้มีเบื้องหลังลึกลับ
“ เด็กน้อยนี่ไม่ใช่เรื่องตลกชีวิตของคนๆหนึ่งกำลังตกอยู่ในอันตราย…”พ่อบ้านตระกูลลู่ร้องออกมาขณะที่เขาจ้องมองไปข้างหลังเอี้ยนลี่เฉียงและรอบๆตัวเขาเหมือนพยายามมองหาอะไรอยู่
“เจ้าเป็นศิษย์ของใคร มีผู้อาวุโสมากับเจ้าด้วยหรือไม่?”
ในช่วงเวลาอันเลวร้ายทุกคนดูเหมือนจะทำอะไรไม่ถูกเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤต มีเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบสี่ที่แต่งตัวบ้านๆไม่ทราบว่ากระโดดออกมาจากที่ใด
เขาบอกว่าเขาสามารถช่วยเหลือคุณชายตระกูลลู่ได้ สิ่งนี้ทำให้ความคิดสองอย่างตีกันอยู่ในสมองของพ่อบ้านตระกูลลู่
เด็กหนุ่มคนนี้ล้อเล่นหรือบางทีเขาอาจจะเป็นศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญ แต่หลังจากพ่อบ้านลู่สำรวจบริเวณใกล้เคียงเขายืนยันว่าเอี้ยนลี่เฉียงดูเหมือนจะอยู่คนเดียว
“อายุมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยชีวิตคนหรือไม่” เอี้ยนลี่เฉียงถามอย่างยิ้มแย้ม
“ นี่…” พ่อบ้านตระกูลลู่ลังเลขณะที่เขามองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงที่ดูอ่อนเยาว์ เอี้ยนลี่เฉียงอายุสิบสี่ปีมีดวงตาที่สดใสและชัดเจนมีไรหนวดบางๆเพิ่งเกิดขึ้นอยู่เหนือริมฝีปากของเขา
เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นเป็นของสามัญชนและไม่ได้ดูหรูหราแม้แต่น้อย เขาไม่ได้ดูเหมือนศิษย์ของผู้เชี่ยวชาญแต่อย่างใด
และเหนือสิ่งอื่นใดสำเนียงของเอี้ยนลี่เฉียงดูเหมือนว่าจะมาจากพื้นที่ใกล้เคียงนี้เท่านั้น
พ่อบ้านลู่ไม่เคยได้ยินเรื่องเด็กชายอายุสิบสี่หรือสิบห้าที่อยู่ในเมืองใกล้เคียงมีความสามารถในการชุบชีวิตผู้คนเลยในชีวิตของเขา
หากเด็กหนุ่มคนนี้สามารถทำเช่นนั้นได้ชื่อเสียงของเขาคงโด่งดังไปนานแล้วเพราะไม่ทราบว่าในฤดูร้อนแต่ละปีมีเด็กที่จมน้ำตายไปกี่คน?
เมื่อพิจารณาจากการแสดงออกบนใบหน้าของพ่อบ้านลู่ เอี้ยนลี่เฉียงรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของเขา
ในตอนแรกเขาสมัครใจด้วยเจตนาที่ดีช่วยชีวิตเด็กคนนั้นแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงน้อยนิดก็ตาม แม้ว่าเขาจะล้มเหลวแต่ท้ายที่สุดเขาก็เป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งจึงไม่ต้องกลัวว่าจะเสียชื่อเสียงไป
อย่างไรก็ตามหากตระกูลลู่ไม่เชื่อเขาก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องฝืนตัวเองต่อไป จะอย่างไรซะเขากับตระกูลลู่ก็ไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
“ ไม่เป็นไรถ้าพ่อบ้านลู่ไม่เชื่อใจข้างั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามเจตจำนงของสวรรค์เถิด…” เอี้ยนลี่เฉียงส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
เขารีบเรียกรถม้าเพื่อที่จะกลับไปที่ย่านโรงตีเหล็กให้ทันอาหารเย็น
บางทีอาจเป็นเพราะท่าทางที่สงบและดูไม่เหมือนเด็กอายุ 14 ของเอี้ยนลี่เฉียงนั้นทำให้พ่อบ้านลู่ตระหนักว่าเขามีบางอย่างที่แตกต่างจากคนทั่วไป
หรือบางทีเขาอาจจะมีความสามารถก็ได้จะอย่างไรซะตอนนี้ความหวังของพวกเขาก็เลือนลางเต็มทีแล้ว
พ่อบ้านลู่ไล่ตามมาทันที เขาเรียกให้เอี้ยนลี่เฉียงหยุด
“น้องชายโปรดรอก่อน!”
เอี้ยนลี่เฉียงหันไปจ้องหน้าพ่อบ้านลู่
“ น้องชายนั่นคือความจริงเจ้ามีทางช่วยเขาจริงๆหรือ?”
“ข้ามีวิธีที่จะช่วยเขาได้ แต่ข้าเองก็ไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะประสบความสำเร็จเพราะว่าเวลามันผ่านมานานเกินไปแล้ว”
พ่อบ้านลู่กัดฟันแล้วกล่าวว่า “ได้เลยตามข้ามา! เราจะมุ่งหน้าไปที่คฤหาสน์ตระกูลลู่ทันที!”
หลังจากที่เขาพูดจบพ่อบ้านลู่ก็สั่งให้ผู้คุ้มกันสองในสามคนที่เขาพามาด้วยให้อยู่ต่อไปและดูว่ามีใครที่ยังเต็มใจจะมาและ ‘สมัคร’ หรือไม่
จากนั้นเขาก็สั่งให้ผู้คุ้มกันอีกคนขี่ม้าแรดที่มีอานคู่ให้เอี้ยนลี่เฉียงนั่งไปด้วยและมุ่งหน้ากลับไปพร้อมกับเขา
เมื่อเขามาที่นี่เขาได้เตรียมอานคู่เอาไว้แล้วตั้งแต่แรก
“พ่อบ้านลู่ข้าไม่ต้องการขี่มาร่วมกับใครข้าสามารถขี่มาแรดได้!”
“ เจ้ารู้วิธีการขี่ม้าแรดจริงๆหรือ?” พ่อบ้านลู่มองไปที่เอี้ยนลี่เฉียงอย่างประหลาดใจ ควรทราบว่าการขี่ม้าแรดกับม้าธรรมดามีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
โดยปกติผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ในการขี่ม้าแรดจะมีปัญหาในการควบคุม ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากม้าแรดไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่ายๆจากคนทั่วไป ชายหนุ่มในวัยนี้จากตระกูลธรรมดาอาจรู้วิธีขี่ม้า
แต่ก็หายากมากที่จะพบคนที่รู้วิธีขี่ม้าแรดเนื่องจากตระกูลธรรมดาย่อมไม่สามารถเลี้ยงดูม้าแรดที่มีขนาดใหญ่ได้
เอี้ยนลี่เฉียงพยักหน้า
พ่อบ้านลู่ชี้ไปที่หนึ่งในม้าพันธุ์แรดแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ขี่ไปพร้อมกับข้าเลย จากนั้นเขาก็สั่งผู้คุ้มกันทั้งสามให้อยู่ที่นี่
ผู้คุมกันทั้งสามพยักหน้าตอบรับ
พ่อบ้านลู่ดึงสายบังเหียนของม้าตัวเองแล้วกล่าวว่า “ ไปกันเถอะ!”
เอี้ยนลี่เฉียงยิ้ม เขายืนอยู่ตรงหน้าม้าแรดแล้วคว้าบังเหียนของมัน เขาพยุงตัวเองโดยจับอานขณะที่เหยียบโกลนด้วยเท้าข้างเดียว เขากระโดดขึ้นนั่งบนหลังม้าด้วยการกระทำที่ชำนาญ
เมื่อเห็นว่าเอี้ยนลี่เฉียงดูเหมือนจะเชี่ยวชาญในการขึ้นม้าแรดแรดพ่อบ้านลู่ก็เขย่าบังเหียนของม้าของเขาเพื่อกระตุ้นให้มันวิ่งไปข้างหน้าโดยมีเอี้ยนลี่เฉียงตามหลังอยู่ไม่ไกล
ม้าแรดพันธุ์นี้ค่อนข้างมีนิสัยอ่อนโยนและไม่ก่อให้เกิดปัญหาในการขี่ มันให้ความรู้สึกที่ดีกว่าม้าตัวเดิมของเอี้ยนลี่เฉียงมาก
ในตอนแรกม้าแรดสองตัวกำลังวิ่งด้วยความเร็วที่เชื่องช้า อย่างไรก็ตามหลังจากออกจากพื้นเมืองและถนนที่แออัดแล้วพวกเขาก็ข้ามสะพานหินเหนือเมืองสือเฉียว
ตอนนั้นเองที่พ่อบ้านลู่ตะโกนและเขย่าบังเหียน สิ่งนี้ทำให้ม้าแรดที่เขาขี่ก็เพิ่มความเร็วในทันที เมื่อมันพุ่งไปข้างหน้าเสียงกีบของมันก็คล้ายกับฟ้าร้อง เอี้ยนลี่เฉียงยิ้มและกระตุ้นม้าของตัวเองไปด้วย