Special District 9 เขตพิเศษที่ 9 – ตอนที่ 4

ตอนที่ 4 ลุยเลย! หัวหน้าการสาม

ฉินอวี่ไม่ได้สนใจคนพวกนั้นเลย…ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดของแมวเฒ่าจึงเหลือบมอง เขาสังเกตเห็นชายทั้งสี่สวมเสื้อขนแกะ กางเกงสแล็คและรองเท้าบูทหนัง ผิวหนังที่แดงเสมือนถูกอากาศแย่ด้านนอกเขตปกครองพิเศษทำร้าย

“คนพวกนั้นไม่ใช่คนในเขตปกครองพิเศษ” ฉินอวี่กล่าวพร้อมก้มหัวลง

“นายรู้ได้ไง?” แมวเฒ่าถามอย่างสงสัย

“เพราะพวกนั้นสวมเสื้อผ้าหนาและยังมีแผลเป็นจากการถูกน้ำแข็งกัด” ฉินอวี่อธิบาย “น่าจะเป็นพวกอนารยธรรมจากเขตพัฒนา”

“พวกอนารยธรรมคืออะไร?”

“คนพวกนั้นเป็นตัวแทนของความป่าเถื่อน…พวกมันหาเลี้ยงชีพด้วยการทำร้ายผู้อื่นโดยใช้มีดและปืน!” ฉินอวี่ตอบ

คำพูดเหล่านี้ทำให้แมวเฒ่ารู้สึกกลัว… “ถ้าเราสองคนเข้าโจมตีพวกมัน นายคิดว่าเราจะชนะไหม?”

“นายเอาปืนมาไหม?” ฉินอวี่ถาม

“ทำไมฉันต้องพกปืนมากินข้าวด้วยล่ะ?” แมวเฒ่าส่ายหัว

“อืม…นิ่งไว้ก่อน” ฉินอวี่ครุ่นคิดสักครู่ก่อนจะพูดเสริมว่า “โทรหาหน่วยที่หนึ่ง!”

ขณะที่ฉินอวี่และแมวเฒ่ากำลังพูดคุยอย่างออกรส ชายทั้งสี่คนได้บังคับให้สาวสวยลุกขึ้นยืน พร้อมเดินไปยังเคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน

“เชี่ย! พวกมันกำลังจะออกจากร้านแล้ว” แมวเฒ่ามือสั่นเพราะความประหม่าขณะหยิบแก้วไวน์ “เราตามพวกมันไปดีไหม?”

“นายมีกงจักรแบบนาจา ไหมล่ะ?” ฉินอวี่ถาม “พวกมันขับรถมานะ นายจะวิ่งตามเอาหรือไง? พูดมาได้!”

“ให้ตาย! ลืมเรื่องนั้นไปเลย…”

ฉินอวี่เหลือบมองชายกลุ่มนั้นอย่างสุขุม “ถ้าอนารยธรรมพวกนั้นวางแผนมาอย่างดีแล้ว เราคงไม่สามารถหยุดพวกมันได้…ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม”

แมวเฒ่ารู้สึกประหม่าอยู่ในใจ แม้เขาจะเป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยแนวหน้า ทว่ากลับไม่เคยเข้าร่วมปฏิบัติการใดๆ มาก่อนเลย…

ถึงกระนั้นเขาได้พูดกับฉินอวี่ว่า “หากเราเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาก็คงปล่อยเรื่องนี้ไปได้ ทว่าในฐานะตำรวจเราไม่ควรเพิกเฉย ทำอะไรสักอย่างเถอะ…”

“พวกเราไม่มีอาวุธนั่นก็เท่ากับเสียเปรียบเต็มๆ…ไม่มีทางจับพวกมันได้ ต่อให้โทรหาหน่วยงานตอนนี้ก็คงไม่ทัน…แล้วเราจะทำอะไรได้บ้างวะ?!” ฉินอวี่รู้สึกหงุดหงิด “คงต้องรอให้มีปาฏิหาริย์…”

ทันใดนั้น! ประตูร้านอาหารได้เปิดออกพลันปรากฏชายร่างกำยำหกคน พวกเขาสาดส่องสายตารอบร้าน ก่อนที่หัวหน้าการสามจะตะโกน “ฉินอวี่!”

ฉินอวี่และแมวเฒ่าหันมองหัวหน้าการสามและลูกน้องความงุนงง ดวงตาของชายทั้งสองเปล่งประกายขณะพึมพำด้วยความประหลาดใจ “เชี่ย…ปาฏิหาริย์มีจริง”

หัวหน้าการสามสวมเครื่องแบบตำรวจสีเขียวอ่อน นำลูกน้องในทีมมายังร้านอาหารที่ฉินอวี่อยู่ เขาเอียงคอขณะดูดบุหรี่ไฟฟ้าพลันกล่าวว่า “เพิ่งมาถึงที่นี่ได้ไม่นาน มีปัญญาจ่ายค่าอาหารแพงๆ ด้วยเหรอ? ออกมา…ก่อนที่ฉันจะ…”

“หัวหน้าการสามมาทำคดีใช่ไหมครับ?!” ฉินอวี่ถามขณะที่แมวเฒ่าเดินไปจับแขนของหัวหน้าการสามด้วยความกระวนกระวายใจ

หัวหน้าการสามถามด้วยน้ำเสียงมึนงง “คดีอะไร?”

“พวกนายตามเรามาที่นี่ไม่ใช่เหรอ?” แมวเฒ่าถามด้วยความสงสัย

“ใช่ ฉันถามคนแถวนี้ และรู้มาว่าฉินอวี่อยู่ที่นี่”

“เยี่ยมเลย! นายมากันกี่คน? จะมีใครมาอีกไหม?”

“…!” หัวหน้าการสามเริ่มสับสน “เดี๋ยวก่อน…นี่นายกำลังพูดเรื่องอะไร?”

“ไอ้งั่งเอ๊ย! นายไม่รู้จริงๆ เหรอว่าเกิดอะไรขึ้น! ยืนไขสืออยู่ทำไม?” แมวเฒ่าตบแขนของหัวหน้าการสามและถามอย่างใจจดใจจ่อ “นายจะรวบพวกมันเลยตรงนี้ หรือจะรอจนกว่าพวกมันออกไป?”

“เดี๋ยวนะ…เรากำลังคุยเรื่องเดียวกันอยู่หรือเปล่า?” หัวหน้าการสามชี้ไปที่ฉินอวี่และพูดว่า “ฉันมาที่นี่เพราะเขา”

แมวเฒ่าตะลึงพร้อมชี้นิ้วไปยังชายทั้งสี่ที่ยืนข้างเคาน์เตอร์ “นายไม่ได้มาเพื่อจับคนกลุ่มนั้นเหรอ?”

“จับพวกเขา? จับทำไม?”

“ว้าว! บังเอิญจริงๆ” แมวเฒ่าเหงื่อตกพลันกระซิบว่า “ชายสี่คนนั้นลักพาตัวหญิงสาวคนหนึ่งและเราบังเอิญเห็น…ฉันกับฉินอวี่กำลังคุยกันว่าจะทำอย่างไรและนายก็มาพอดี…เอาล่ะ! เรื่องอื่นไว้ค่อยว่ากัน ตอนนี้เรามีคนมากพอที่จะจัดการพวกมันได้แล้ว”

“?” หัวหน้าการสามยังคงสับสนและยืนนิ่งอยู่นานก่อนจะพูดติดอ่างว่า “ฉัน…ฉัน…ฉันมาที่นี่เพราะฉินอวี่!”

“ย่านพี่รองอยู่ในการดูแลของสังกัดหนึ่งไม่ใช่เหรอ? ยังจะมัวสนใจเรื่องฉินอวี่อยู่อีก!” แมวเฒ่าดุ “เร็วเข้า…คิดสิว่าจะจับพวกนั้นยังไง?!”

“หะ…หุบปากสักที! ฉันขอคิดก่อน!” หัวหน้าการสามพูดด้วยความโมโหพลันเหลือบมองชายทั้งสี่อีกครั้ง “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาทำอะไรผิด!”

ชายกลุ่มดังกล่าวสังเกตเห็นหัวหน้าการสามและลูกน้องสวมชุดตำรวจเดินเข้ามาในร้าน อีกทั้งแมวเฒ่าและฉินอวี่ยังเข้าไปคุยกับตำรวจอย่างสนิทสนมอีก เหตุการณ์นี้ทำให้ชายทั้งสี่รู้สึกไม่สบายใจ

ชายสี่คนสบตากันอย่างรวดเร็วก่อนจะบีบแขนหญิงสาวผู้นั้นและกำลังจะเดินออกจากร้านไป

“หยุดพูดเรื่องไร้สาระและช่วยกันคิด! อย่างน้อยก็วางแผนทำอะไรสักอย่าง!” แมวเฒ่าบอกหัวหน้าการสามอย่างกระวนกระวาย

หัวหน้าการสามก้าวถอยหลังออกจากแมวเฒ่าด้วยความรำคาญ “นายเป็นคนเจอ แล้วทำไมฉันต้องเป็นคนคิดแผนวะ?”

“เพราะเราสองคนไม่มีอาวุธ นายต้องเป็นคนจัดการ!”

“จัดการห่าอะไรล่ะ!” หัวหน้าการสามตอบอย่างกังวลพลันหันไปหาลูกน้องของตน “เราคงถอยไม่ได้แล้ว…หากเราเพิกเฉยแมวเฒ่าอาจรายงานต่อสำนักงานได้”

“แล้วเราต้องทำอะไร?”

“เสี่ยวหยู…เตรียมกระจายกำลัง” หัวหน้าการสามสั่ง “กั๋วเอ๋อ…เข้าไปตรวจสอบวีซ่าของพวกเขา หากไม่มีให้ขอหนังสือรับรองการเข้าเมือง…ถ้าตุกติกหรือมีพิรุธ…ยิงได้เลย!”

“พี่สามจะให้ผมไปขอตรวจวีซ่าพวกเขาเหรอครับ?” กลัวเอ๋อถามด้วยความตกใจ “ทำไมไม่ให้แมวเฒ่าไปแทนล่ะครับ?”

“พวกเขาไม่มีอาวุธ…นายไปแทน!”

“วันซวยอะไรวะเนี่ย…” กั๋วเอ๋อสบถพลันถอนหายใจ ก่อนจะรวบรวมความกล้าและเดินไปยังชายทั้งสี่ “ผมคือเจ้าหน้าที่ตำรวจจากเขตพื้นทมิฬ…ขอดูวีซ่าหน่อยครับ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายทั้งสี่หยุดชะงักพร้อมเหลือบมองไปยังหัวหน้าการสามและคนอื่นๆ

หญิงสาวผู้นั้นกำมือแน่น ใบหน้าของหล่อนเหงื่อตกอย่างน่าแปลกใจ

“ไม่ได้ยินที่พูดเหรอครับ? ขอดูวีซ่าหน่อย” กั๋วเอ๋อพูดซ้ำอีกครั้ง

“เราแค่มาส่งสินค้า…” ชายตัวเล็กวัยกลางคนพูดด้วยเสียงทุ้ม “จึงไม่มีวีซ่า”

“อืม…เช่นนั้นขอดูหนังสือรับรองการเข้าเมืองแทนครับ” กั๋วเอ๋อพูดพลันยื่นมือ

“ได้สิ” ชายผู้นั้นกล่าวขณะล้วงกระเป๋า

หัวหน้าการสามเคยเป็นทหารผ่านศึกและมีประสบการณ์อัตรายมากมาย เขามองไปยังชายสี่คนพลันเอื้อมมือหยิบปืนจากด้านหลัง

ทันทีที่ชายทั้งสี่คนสอดมือไปยังด้านหลังกางเกง…หญิงสาวกรีดร้องสุดเสียง “ช่วยด้วย พวกมันลักพาตัวฉันมา!”

“อย่าขยับ!”

ชายหนึ่งในสี่ถลกแขนเสื้อขึ้นเผยให้เห็นระเบิดมือที่มีความรุนแรงเท่ากับระเบิด T-34 “ฉันดึงหมุดออกแล้ว! ใครขยับเท่ากับตาย!”

“เฮ้ย!”

ทันใดนั้น…ภายในร้านก็ตกอยู่ในความโกลาหล! ลูกค้าที่รับประทานอาหารอยู่ต่างพากันยกมือขึ้นกลางอากาศด้วยความตื่นตระหนก อีกกลุ่มได้เริ่มวิ่งหนีเอาชีวิตรอด

ชายวัยกลางคนจับหญิงสาวและสั่งเพื่อนของเขาอย่างใจเย็น “คุ้มกันด้วย…ฉันจะหนีออกทางประตูหลัง”

ขณะเดียวกันหัวหน้าการสามชี้ไปยังชายหนุ่มที่ถือระเบิดพร้อมตะโกน “ใจเย็นนะ หายใจเข้าลึกๆ เราตกลงกันได้ เพราะถ้ามันระเบิดขึ้นมานายเองก็ไม่รอด!”

ควับ!

ทันใดนั้น! แมวเฒ่าก็ลุกขึ้นหยิบขวดไวน์และฟาดไปยังหัวชายคนนั้น

เพร๊ง!

ชายผู้นั้นผงะถอยหลังด้วยสีหน้าโกรธเกรี้ยวพลันขว้างระเบิดใส่ฝูงชน

ฉินอวี่รีบพุ่งไปคว้าคอเสื้อแมวเฒ่าพร้อมดึงเขาหลบระเบิด!

ตูม!

เสียงระเบิดดังพร้อมด้วยเศษอิฐฟุ้งกระจายกลางอากาศ โต๊ะอาหารลอยกระเจิง และตำรวจสามคนได้รับบาดเจ็บ

แมวเฒ่าหมอบลงกับพื้นพลันตะโกนว่า “หาที่กำบัง! ยิงไอ้บ้านั่นเดี๋ยวนี้!”

ปัง ปัง!

เสียงปืนสองนัดดังขึ้น

หัวหน้าการสามพยายามลุกขึ้น ทว่าเขาได้รับบาดเจ็บจึงทรุดลงกับพื้นอีกครั้ง

“เชี่ย!” หัวหน้าการสามจับบั้นท้ายของตนและพบว่าเลือดไหล เขาสบถด้วยความตกใจ “เชี่ย! แมวเฒ่า…มึงมันตัวซวย!…”

……………………………………………………….

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

Special District 9 เขตพิเศษที่ 9

บทนำ โลกกำลังเกิดหายนะ…ภัยพิบัติร้ายแรงทำลายล้างมนุษยชาติ…สัตว์กลายพันธุ์…ผู้คนขาดแคลนอาหาร…สภาพแวดล้อมเสื่อมโทรม…ยุคสมัยและอารยธรรมถูกทำลาย… ‘ฉินอวี่’ ชายหนุ่มผู้อาศัยอยู่ในเขตพัฒนาซึ่งถูกขนานนามว่าเป็นดินแดนไร้กฎ ด้วยสภาพแวดล้อมอันน่าสังเวช…ทั้งถนนผุผัง ระบบบำบัดน้ำเสียใช้การไม่ได้ รวมไปถึงบ้านเก่าทรุดโทรมและกลิ่นปฏิกูลคละคลุ้ง ฉินอวี่จึงลาออกจากงานและตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อซื้อสัญชาติเข้าไปอยู่ในเขตปกครองพิเศษที่เก้า…หวังให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม! ภายในเขตพิเศษที่เก้า…ฉินอวี่เข้าสมัครงานในสำนักงานตำรวจนครบาลเมืองพื้นทมิฬเพื่อดิ้นรนเพื่อหาเลี้ยงชีพ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ทว่าในความโชคร้ายยังมีความโชคดีซ่อนอยู่…เขาได้เจอเพื่อนร่วมงานผู้หวังดีที่เปรียบเสมือนเพื่อนแท้… ระหว่างทำงานในสำนักงานตำรวจ…ฉินอวี่ได้เผชิญการกดขี่มากมายและก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยไหวพริบเฉียบแหลมและแผนการอันชาญฉลาด เขาจะสร้างตำนานบทใหม่ของตนเองได้อย่างไร…โปรดติดตามต่อใน…เขตพิเศษที่เก้า!

Comment

Options

not work with dark mode
Reset