บทที่ 122 เตรียมการเพาะปลูก
เยี่ยฉวนกลับมาถึงสํานักหมอกเมฆาก่อนรุ่งสางโดยราบรื่นหลังพบเจอเหตุการณ์อันน่าสะพรึงในค่ำคืนที่ผ่านมา
เขาเดินทางอ้อมรอบเทือกเขาหมอกเมฆาที่ทอดยาวเพื่อหลีกเลี่ยงยอดฝีมือลึกลับจากทะเลสาบอมตะที่ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ ในที่สุดจึงสามารถสลัดบุคคลปริศนาผู้นั้นได้สําเร็จ
ครั้นกลับถึงยอดเขาเมฆาอินทนิล เขาจึงสั่งการให้ปีศาจเพลิงสร้างค่ายกลเวทมนตร์ปกป้องยอดเขาไว้ให้แน่นหนา จากนั้นจึงเข้าไปห้องตําราและเข้าสู่สมาธิฝึกตน
“สตรีลึกลับในตลาดมืดนางนั้นคือภูตทะเลอย่างนั้นหรือ?”
ภาพหญิงสาวที่จ้องเขม็งมาทางเขาจากมุมมืดห่างไกลฝูงชน ผุดขึ้นในห้วงความคิด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบริเวณทะเลสาบอมตะช่างน่ากลัวและอันตรายยิ่ง! แต่นับว่าโชคชะตายังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง ที่สามารถแย่งชิงสมบัติล้ำค่าทั้งแหวนอัฐิโพธิสัตว์และเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์จากเหล่าจักรพรรดิไพรทมิฬมาได้สําเร็จ
กลุ่มไพรทมิฬทั้งเจ็ดตายตกไปแล้ว อีกทั้งพี่น้องของพวกเขายังมีถิ่นพํานักในต่างแดน ต่อให้รู้ข่าวและข้ามน้ำข้ามทะเลมาล้างแค้นก็จะถูกภูตทะเลคอยจับตามองคนเหล่านั้นดั่งเสือจ้องตะครุบเหยื่อเป็นด่านแรก ดังนั้นเขาไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปองร้ายเป็นครั้งที่สอง
หลังคิดทบทวนอยู่ครู่ใหญ่ชายหนุ่มจึงสลัดความคิดเหล่านั้นทิ้งก่อนหยิบสมบัติสองชิ้นออกมาจากอกเสื้อ ฝากล่องไม้บรรจุเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ถูกเปิดออก แหวนอัฐิโพธิสัตว์ถูกวางไว้บนฝ่ามือ เขาพินิจสิ่งของทั้งสองอย่างละเอียด จากนั้นจึงบีบโลหิตบริสุทธิ์ของตนหนึ่งหยดเพื่อทําการขัดเกลาสมบัติชั้นสูงแห่งพุทธศาสนา ทันที!
หากเขาต้องการก้าวขึ้นเป็นใหญ่ในยุทธภพและปกครองดินแดนรกร้างแห่งนี้อีกครั้ง แน่นอนว่าเขาต้องพบเจอกับศัตรูมากหน้าหลายตาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ภพชาติก่อนสมัยที่เขายังเป็นมหาปราชญ์ผู้ซ่อนเร้นสวรรค์ก็พบเจอกับศัตรูมากมายเช่นกัน แต่แม้ศัตรูผู้นั้นจะมีจํานวนมากหรือมีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใดเขาก็ไม่หวั่นเกรง เพราะเชื่อมั่นว่ากองทัพบริวารของตนแข็งแกร่งยิ่งกว่า ดังนั้นภูตทะเลและเหล่าไพรทมิฬที่เป็นเพียงขวากหนามเล็กๆ จึงไม่ทําให้เขาระคายเคืองเลยแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นเปลวไฟสีแดงเข้มลุกวาบขึ้นบนฝ่ามือของเยี่ยฉวน แหวนอัฐิโพธิสัตว์ หลอมละลายลงอย่างช้าๆ จนอักขระโบราณปรากฏขึ้น ภาพพระโพธิสัตว์ทั้งปางประทับนั่งและยืนกะพริบเป็นเงาเลือนราง บทสวดดังต่อเนื่องทั้งยังก้องกัมปนาทราวเสียงฟ้าร้อง เสียงนั้นเหมือนดังมาจากวงแหวนแต่กลับก้องอยู่ในโสตประสาทราวมาจากความเวิ้งว้างใดสักแห่ง
ปีศาจเพลิงซึ่งนั่งเฝ้าอยู่ตรงประตูทางเข้ายอดเขาเมฆาอินทนิลก็ได้ยินบทสวดมนต์แผ่วเบาดังมาจากระยะไกล ดวงจิตของเขาพลันเข้าสู่ความสงบและเข้าสู่สมาธิฝึกตนในทันที ร่องรอยบาดแผลจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาสุริยันแผดจ้าค่อยๆ จางหายไป เหลือเพียงแสงสีแดงซีดจางที่ไหลเวียนอยู่รอบกาย
ชิ้ง!
ไม่นานนักแหวนอัฐิโพธิสัตว์ในมือเยี่ยฉวนสั่นสะเทือนช้าลงเนื่องจากได้รับการขัดเกลาอย่างละเอียดโดยสมบูรณ์
“เอาล่ะ..ได้เวลาตรวจสอบเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ในตํานานแล้ว!”
เยี่ยฉวนสวมแหวนอัฐิโพธิสัตว์ทําให้พลังปราณบริสุทธิ์ในร่างกายเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี ทั้งยังไหลเวียนอยู่ภายในและซึมลึกเข้าไปในจุดตันเถียนอย่างช้าๆ ก่อนควบแน่นและเปลี่ยนเป็นพายุขนาดยักษ์ที่แปรสภาพอย่างต่อเนื่อง เป็นสัญญาณบ่งบอกว่ายันต์กลืนกินสวรรค์ใบที่สามใกล้ปรากฏเต็มที่
ทันทีที่เขาเปิดฝากล่องไม้สี่เหลี่ยมออกกลิ่นหอมเจือจางของเมล็ดข้าวพลันลอยมาปะทะจมูก เมล็ดข้าวมังกรสวรรค์เม็ดใหญ่ปรากฏต่อสายตา
กลิ่นหอมกรุ่นนั้นตลบอบอวลไปทั่วบริเวณจนทําให้นิ้วชี้กระดกทั้งยังกระตุ้นดวงจิตของผู้คนให้เกิดความหิวโหยขึ้นอย่างยิ่ง ลักษณะของมันไม่ฉ่ำวาวเหมือนเมล็ดข้าวทั่วไปและไม่เหม็นเขียว เช่นผลไม้ปาบนภูเขา ขณะนั้นเองเสียงคํารามกรรโชกดังขึ้นอีกครั้ง ราวมังกรเซียนโบราณที่เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดินรกร้างกําลังจะกระโดดข้ามกาลเวลามาบังภพปัจจุบัน ความแปรปรวนของพลังปราณเก่าแก่แผ่กระจายไปรอบทิศ
*นิ้วชี้กระดก = อยากอาหาร
“คุณชาย…เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ?!”
ปีศาจเพลิงสะดุ้งตื่นจากห้วงสมาธิและวิ่งขึ้นไปบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว ครั้นพบเข้ากับเยี่ยฉวนจึงถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
“อี้เหยียนจื่อ….ตามข้ามา!”
เยี่ยฉวนพับฝากล่องไม้ลงอย่างฉับพลันก่อนเดินออกไปจากตัวเรือนพร้อมมุ่งตรงไปยังหุบเขาหลังสํานักโดยมีปีศาจเพลิงติดตามไปด้วย
เมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าทว่ามีคุณสมบัติและมูลค่าในตัวมหาศาลเหนือกว่าแหวนอัฐิโพธิสัตว์ด้วยซ้ำ หากเยี่ยฉวนสามารถเพาะปลูกมันสําเร็จ ผลิตผลที่ได้จะช่วยหล่อเลี้ยงเหล่าบริวารใต้บังคับบัญชาได้เป็นเป็นอย่างดี ความแข็งแกร่งและพละกําลังของพวกเขาจะทะยานขึ้นสูงกว่าที่เป็นอยู่ ทั้งยังดุร้ายและถึกทนเยี่ยงเหล่ามังกรเซียน นอกจากจะทํานุบํารุงให้สํานักหมอกเมฆากลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง เขายังสามารถเสริมสร้างร่างกายของบรรดาทหารทุกนายในอาณาจักรต้าฉันให้แข็งแกร่งขึ้นจนกลายเป็นอัศวินนักรบผู้เก่งกาจ!
ทุกบริเวณภายในสํานักหมอกเมฆามีพลังปราณวิญญาณฟ้าดินลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศอย่างหนาแน่น เอื้อต่อการเจริญเติบโตของพืชสมุนไพรหลากหลายชนิดเป็นอย่างดี แต่หากสํารวจอย่างจริงจังจะพบว่าบริเวณที่อุดมสมบูรณ์และเหมาะสมที่สุดต่อการปลูกข้าวมังกรสวรรค์มีเพียงแห่งเดียวคือหุบเขามังกรปีศาจซึ่งตั้งอยู่หลังเทือกเขาของสํานัก
มังกรเซียนโบราณมีธาตุหลักเป็นหยาง ดังนั้นอาหารของพวกมันเช่นข้าวมังกรสวรรค์ก็ต้องเจริญเติบโตในพื้นที่ที่มีปราณหยางควบแน่น หุบเหวมังกรปีศาจอันอุดมไปด้วยพลังปราณต่างๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการเพาะปลูก
ยามดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ บรรดาสัตว์ร้ายต่างส่งเสียงร้องคํารามอย่างต่อเนื่อง ยิ่งเข้าใกล้หุบเขามังกรปีศาจที่มีพลังปราณร้ายกาจแผ่ไปทั่วบริเวณก็ยิ่งได้ยินเสียงสัตว์อสุรกายร้องโหยหวนอย่างดุร้ายราวพร้อมกระโจนออกไปโจมตีผู้บุกรุกในยามวิกาล บรรยากาศโดยรอบทั้งอันตรายและน่ากลัว แม้แต่ปีศาจเพลิงผู้บรรลุขั้นการฝึกตน สูงส่งยังเผยสีหน้าซีดเผือดเพราะหายใจลําบาก ทว่าเยี่ยฉวนยังคงก้าวเดินต่อไปด้านหน้าด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขากวาดสายตามองโดยรอบเพื่อมองหาพื้นที่ที่เหมาะสม จากนั้นจึงทําการขุดดินเป็นหลุมลึกก่อนเปิดฝากล่องไม้และหยิบเมล็ดข้าวออกมาฝังกลบในดินอย่างระมัดระวัง
เมื่อเมล็ดข้าวถูกหย่อนลงในดินทุกสรรพเสียงโดยรอบพลันเงียบลงทันที ประหนึ่งสัตว์อสูรนานาพันธุ์ในปาทึบแห่งนี้หายวับไปอย่างกะทันหัน! โลหิตและพลังปราณที่เดือดพล่านเมื่อครู่สงบลงราวไม่เคยปรากฏขึ้น เยี่ยฉวนและปีศาจเพลิงชะงักนิ่งไปจนได้ยินเสียงหัวใจของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนไป ทันใดนั้นสายลมเย็นเยือกพลันพัดกระโชกมาจากข้างหุบเขามังกรปีศาจอย่างรุนแรง!
ไม่ถูก…นั่นไม่ใช่สายลมแต่เป็นปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินจํานวนมากที่ถาโถมเข้ามาและพร้อมกลืนกินทุกสิ่งราวระลอกคลื่นยักษ์!
วังวนของพลังปราณอันทรงพลังปรากฏขึ้นเหนือชั้นบรรยากาศอย่างฉับพลัน! ปราณวิญญาณฟ้าดินจากทั่วสารทิศในรัศมีเกือบสิบลี้ถูกแรงที่มองไม่เห็นกระชากดึงเข้ามาใกล้และถ่ายเทลงสู่เมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ที่ฝังอยู่ใต้ดินในปริมาณมากมายมหาศาล! พลังปราณที่ถูกฉุดดึงจากรัศมีสิบลี้จึงขยายเป็นสามสิบแปดสิบลี้ จนถึงหนึ่งร้อยยี่สิบลี้! พลังปราณที่ลอยอยู่เหนือยอดเขาทุกลูกในสํานักหมอกเมฆาลดฮวบลงอย่างต่อเนื่อง บรรดาศิษย์ในสํานักรวมถึงคนรับใช้ที่เพิ่งเข้ามาในสํานัก รวมถึงเหล่าผู้อาวุโส ผู้พิทักษ์และทหารอารักขาทุกนายต่างรู้สึกเหนื่อยล้าเนื่องจากไม่สามารถดูดซับปราณวิญญาณแห่งฟ้าดินได้อีกต่อไป ทําให้พวกเขาตื่นขึ้นจากการหลับใหลทันที!
โฮก!
เสียงคํารามอย่างเกรี้ยวกราดของมังกรดังกึกก้องไปทั่วบริเวณท่ามกลางความมืดมิดในยามราตรี ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกหวาดผวาและสั่นสะท้านไปทั้งร่างราวดวงจิตจะหลุดออกจากอก! ตามตํานานเก่าแก่ของทวีปอัคคีสวรรค์เล่าขานต่อกันมาว่ามนุษย์ทุกคนล้วนเป็นทายาทของมังกรเซียนโลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่างก็เป็นเลือดของมังกรเซียนเช่นกัน ทันทีที่ได้ยินเสียงมังกรคํารามสนั่นหวั่นไหวทุกคนจึงเกิดภาพลวงตาขึ้นในห้วงนิมิต ประหนึ่งตนเองหลอมรวมร่างเป็นมังกรและทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ทั้งยังฉวัดเฉวียนราวลอยตัวอยู่เหนือเมฆหมอกอันสูงลิบ
ผ่านไปพักใหญ่เสียงคํารามของมังกรจึงเงียบลง ทว่าเสียงสิงสาราสัตว์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่บนภูเขากลับส่งเสียงโหยหวนด้วยความหวาดกลัว รวมถึงเสียงสัตว์อสุรกายที่ดังมาจากก้นเหวนรกของหุบเขามังกรปีศาจ!
ดู hentai ได้ที่ hanimeza.com
เยี่ยฉวนตื่นขึ้นจากภวังค์พร้อมดวงจิตที่อ่อนล้า ทันทีที่ลืมตาเขาก็พบว่าเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ที่ตนเพิ่งฝังลงในดินเมื่อครูแตกหน่อออกเป็นต้นกล้าอย่างน่าอัศจรรย์! ความหนาแน่นของปราณวิญญาณฟ้าดินที่เคยไหลเวียนอยู่เหนือยอดเขาเบาบางลงไปครึ่งหนึ่งจากปริมาณทั้งหมด ส่วนโลหิตและปราณอันชั่วร้ายยังคงเดือดพล่านเช่นเดิม ทว่าความเร็วการหมุนวนกลับช้าลงเนื่องจากพลังส่วนใหญ่ถูกดึงไปใช้จนเกือบหมด
“อี้เหยียนจื่อ…เอาถังไปรองน้ำพุบนยอดเขาแล้วนํามาให้ข้าที่”
เยี่ยฉวนออกคําสั่ง ทว่ากล่าวไม่ทันขาดคําเขากลับชะงักนิ่งราวเท้าถูกตอกตรึงไว้กับพื้นเมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่คืบเข้าใกล้
ท่ามกลางความมืดสลัวในยามค่ำคืน ชายชราสวมชุดสีฟ้าอ่อนเดินออกมาจากหลังก้อนหินยักษ์โดยไร้สุ่มเสียง รูปร่างของเขาซูบผอม เสื้อคลุมที่เขาสวมใส่สะอาดสะอ้านบ่งบอกความใส่ใจของเจ้าตัว ลักษณะท่าทางของเขาน่าเกรงขามราวไม่ใช่มนุษย์โลก แม้เยี่ยฉวนและปีศาจเพลิงซึ่งมีระดับขั้นการฝึกตนสูงส่งยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงการมาเยือนของชายผู้นี้!
“เจ้าเป็นใคร?!”
ปีศาจเพลิงที่เผชิญกับสภาพแวดล้อมที่อันตรายมาตลอดทางพลันตื่นตัวและก้าวออกไปยืนบังหน้าเยี่ยฉวนโดยสัญชาตญาณ ฝ่ามือทั้งสองปรากฏเปลวไฟสว่างจ้าพร้อมแผดเผาอีกฝ่ายให้มอดเป็นจุณหากชายปริศนาผู้นี้มาเยือนเยี่ยงศัตรู!