ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 131 แท่นสังเวย สงคราม
“ผู้พิทักษ์หยางสบายดีหรือ? เราพบกันอีกแล้ว โชคชะตาฟ้าลิขิตเสียจริง!” เยี่ยฉวนยกยิ้ม
การเดินทางไปเยือนสํานักอสูรเมฆาในครั้งนี้มีเค้าลางร้ายอีกทั้งภารกิจที่ต้องทํายังยากกว่าการขึ้นไปแตะแผ่นฟ้าเสียอีก ศิษย์สามัญทุกคนต่างเป็นกังวลและเคร่งเครียด ทว่าเยี่ยฉวนกลับมีท่าที่ผ่อนคลาย
ผู้พิทักษ์หยางเทียนกวงเผยสีหน้าอมทุกข์เมื่อมองดูใบหน้ายิ้มแย้มของเยี่ยฉวน เขาอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ําตาไหลออกมา ชีวิตของเขาในยามนี้ช่างโชคร้ายและอาภัพโดยแท้ ครั้งก่อนต้องนําเหล่าศิษย์เข้าร่วมการประลองครั้งยิ่งใหญ่ระหว่างสามสํานักซ้ําร้ายยังต้องนําเยี่ยฉวนไปสํานักอสูรเมฆาในครั้งนี้อีก จะมีผู้ใดในสํานักที่โชคร้ายไปกว่าเขาหรือ?
หยางเทียนกวงผืนเหยียดยิ้มออก การประลองครั้งยิ่งใหญ่ทําให้เขามองเยี่ยฉวนใหม่และเห็นคุณค่าของอีกฝ่ายมากขึ้น แต่สถานการณ์ในยามนี้ทําเขาหัวเราะไม่ออกจริงๆ
แม้มีนามว่าหยางเทียนกวงทว่าความจริงตัวตนของเขาไม่ได้ดุร้ายสมชื่อ…แต่กลับเป็นคนซื่อตรงและถ่อมตนยิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงได้รับภารกิจที่ผู้อื่นพยายามหลีกเลี่ยงอยู่หลายหน เขาไม่รู้ว่าเยี่ยฉวนจะก่อมหันตภัยในรอบพันปีหรือไม่ ที่รู้แน่คือชายหนุ่มได้ก่อภัยพิบัติในชีวิตเขามากมายเกินพอแล้ว! เยี่ยฉวนได้พลิกความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะและรอดพ้นจากการประลองอันยิ่งใหญ่โดยไร้รอยขีดข่วน แต่ครั้งนี้จะยังโชคดีเช่นเดิมอยู่หรือไม่?
หยางเทียนกวงเผยสีหน้าหม่นหมองด้วยความรู้สึกหนักอึ้งในจิตใจ เขาข่มใจอยู่ครู่ใหญ่ก่อนกล่าวออกอย่างแข็งกร้าว “ไม่สู้ดีนัก”
“ผู้พิทักษ์หยาง ท่านกังวลเรื่องสํานักเมฆาอสูรงั้นหรือ?”
เยี่ยฉวนตบบ่าอีกฝ่าย “วางใจเถิด ท่านเพียงต้องนําทางเท่านั้น ไม่มีผู้ใดก่อเรื่องยุ่งยากให้ท่านหรอก ต่อให้เราต้องตาย ข้าก็จะตายเป็นคนแรกเอง”
หยางเทียนกวงพลันชะงักฝีเท้าและมองดูเยี่ยฉวนผู้สงบนิ่งอย่างตื้นตันใจ
คนซื่อตรงเช่นเขามักแสดงความรู้สึกไม่เก่งนัก หนานเทียนกวงไม่รู้จะเอ่ยคําใด แต่คําพูดธรรมดาของเยี่ยฉวนทําให้ เขารู้สึกนับถือเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบรอบจากใจจริง
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่”
เสียงที่คุ้นเคยดังแว่วมาจากเบื้องหลัง เยี่ยฉวนหันไปมอง จึงพบว่าจ้าวต้าจ่อกําลังไล่ตามมาพร้อมกระเป๋าใบใหญ่บนหลัง เจ้าอ้วนละล่ําละลักพลางหายใจหอบ “ศิษย์พี่ใหญ่! แม่นางเจียเจียให้ข้ามากับท่านด้วย!”
“ครั้งนี้ไม่เหมือนกับการประลองครั้งยิ่งใหญ่นะเจ้าอ้วน เจ้าไม่กลัวว่าจะไม่ได้กลับมาอีกหรือ?”เยี่ยฉวนถาม
“กลัวสิขอรับ แม้แต่อาวุโสลําดับสามก็ยังกลัวตาย มีผู้ใดไม่เกรงกลัวความตายบ้าง?”
เจ้าอ้วนเห็นสีหน้าเศร้าหมองของหยางเทียนกวงจึงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบผู้ที่มีความกลัวเช่นเดียวกับเขา “แต่ถ้าหากท่านไม่เห็นด้วยและให้ข้ากลับไปตอนนี้คงถูกแม่นางเจียเจียบีบคอตายแน่ ข้าจึงต้องตามท่านมาเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าขอฝากชีวิตน้อยๆที่เหลืออยู่ของข้าไว้กับท่าน ช่วยรับผิดชอบชีวิตข้าด้วยเถิด!”
เจ้าอ้วนทําสีหน้าราวกับหญิงสาวที่กําลังกล่าวคําสาบานในพิธีแต่งงาน
“เฮ้! ข้าไม่สนใจผู้ชายนะเจ้าบ้า ไปไกลๆเลย!”
เยี่ยฉวนถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว… แม้จะโวยวายแต่กลับรู้สึกอบอุ่นในใจ เจ้าอ้วนอุตส่าห์ติดตามเขามาแม้จะรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้อันตรายเพียงใด สายสัมพันธ์ช่างแน่นแฟ้นประหนึ่งน้องชายแท้ๆ!
“ศิษย์พี่ใหญ่ แม่นางเจียเจี้ยบอกว่าท่านต้องรับผิดชอบความรู้สึกของนาง ต่อไปนี้อย่าทําให้นางผิดหวัง” เจ้าอ้วนเสริมขึ้นอย่างจริงจัง
แม้แต่คนโง่ก็ต้องสัมผัสได้ถึงความรักที่จซื้อเจียมต่อเยี่ยฉวน เจ้าอ้วนไม่ใช่คนโง่ซ้ํายังฉลาดแกมโกงยิ่ง จึงมองอาการผิดปกติของจูซือเจียออกทะลุปรุโปร่ง เขาไม่คาดฝันเลยว่าจูซือเจียผู้ปากร้ายและดื้อรั้นจะกลายเป็นคนเอาใจใส่เช่นนี้เมื่อตกหลุมรักใครสักคน น่าเสียดายที่คนผู้นั้นไม่ใช่เขา จ้าวต้าจื่อได้แต่มองเยี่ยฉวนด้วยความอิจฉาและคร่ําครวญว่าเหตุใดจึงไม่มีชีวิตเช่นนั้นบ้าง
“เจ้าอ้วน เจ้าพูดอะไร? อย่าทําเหมือนข้าเป็นเจ้าไปหน่อยเลย ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูดแม้แต่น้อย
”
เยี่ยฉวนส่ายศีรษะพลางแสร้งทําเป็นไม่เข้าใจขณะเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น
ทั้งสามเร่งฝีเท้าอย่างต่อเนื่องจนมาถึงหุบเขาเล็กหลัง หอหมอกเมฆาภายในเวลาไม่นาน แท่นโบราณสูงใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แท่นสูงนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางไม่น้อยกว่าแปดกิโลเมตร ทั้งแท่นสร้างขึ้นจากก้อนหินใหญ่ที่มีอักษรจารึกอันลึกซึ้งของมหาปราชญ์ยุคโบราณสลักไว้ ออร่าความเก่าแก่และยิ่งใหญ่ปกคลุมพื้นที่กว้างหลายพันกิโลเมตรอย่างหนาแน่น จิตวิญญาณการต่อสู้พุ่งขึ้นในจิตใจเมื่อมองจากระยะไกลราวกับอยู่ในสมรภูมิโบราณห้อมล้อมด้วยพลทหารม้านับพัน จิตสังหารรุนแรงลอยมาปะทะใบหน้า
“นี่คือแท่นสังเวยสงครามที่ยิ่งใหญ่และเก่าแก่ที่สุดในจักรวรรดิต้าฉินและในทวีปอัคคีสวรรค์ ตํานานเล่าขานว่าผู้ก่อตั้งสํานักหมอกเมฆาใช้เคล็ดวิชาของมหาปราชญ์เพื่อย้ายมันกลับมาจากจุดสิ้นสุดห้วงเวลาและพื้นที่ ปรมาจารย์นับไม่ถ้วนได้สู้รบและเสียเลือดเสียเนื้อในสงครามอันโหดเหี้ยมบนแท่นหินนี้!”
น้ําเสียงของผู้พิทักษ์หยางเปี่ยมไปด้วยความภาคภูมิใจ
สํานักหมอกเมฆาที่สืบทอดมาอย่างยาวนานมีหลายสิ่งให้เหล่าศิษย์ภาคภูมิใจ ทั้งยอดเขาหลายแห่ง ตําหนักอันโอ่อ่า คลังโบราณและหอศาสตราวุธ แต่สิ่งที่น่าทิ้งที่สุดคือแท่นสังเวยสงครามตรงหน้าซึ่งมีประวัติความเป็นมายาวนาน ตํานานว่าปรมาจารย์ชั้นเลิศแห่งดินแดนรกร้างได้สู้รบกันที่นี่เมื่อนานแสนนานมาแล้ว ทั้งยังเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้จัดการประลองระหว่างมหาปราชญ์อีกด้วย
ในยามนั้นสํานักหมอกเมฆากําลังอยู่ในยุครุ่งโรจน์ เคราะห์ร้ายที่วันเวลาเหล่านั้นจากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ บัดนี้สํานักหมอกเมฆาไม่สามารถแม้แต่จะใช้งานแท่นอันศักดิ์สิทธิ์นี้อีกครั้ง แท่นสังเวยสงครามที่ไร้การประลองจึงถูกทิ้งร้างจนฝุ่นจับ
จ้าวต้าจ๋อตะลึงจนพูดไม่ออก หัวใจสั่นระรัวด้วยความภาคภูมิแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นแท่นสังเวยสงครามนี้ “ใช่แล้วศิษย์พี่ใหญ่ นี่คือแท่นสังเวยสงคราม ท่านเห็น….”
เจ้าอ้วนต้องการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับแท่นสังเวยสงครามให้เยี่ยฉวนฟัง แต่เมื่อหันกลับมาก็พบว่าข้างกายนั้นว่างเปล่าเสียแล้ว
ในขณะที่เจ้าอ้วนตกตะลึงอยู่นั้นเยี่ยฉวนได้เดินไปถึงแท่น สังเวยสงครามเรียบร้อยแล้ว เขาเอื้อมมือออกไปแตะปลายนิ้วลงบนจารึกมหาปราชญ์บนก้อนหินใหญ่แผ่วเบา
หลายล้านปีล่วงไป ผู้คนรู้เพียงว่าราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ เป็นผู้นําแท่นสังเวยสงครามอันเก่าแก่กลับมาจากจุดสิ้นสุด ห้วงเวลาและพื้นที่ แต่ไม่มีผู้ใดนอกจากเยี่ยฉวนที่รู้เรื่องราว เบื้องหลังที่แท้จริง หากเขาไม่ได้ต่อสู้กับมหาปราชญ์ทั้งสิบสามแห่งแดนไร้อารยธรรมในยามนั้น ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณจะหาโอกาสชิงแท่นหินเก่าแก่นี้คืนมาได้หรือ?
“สงครามนักปราชญ์ แท่นสังเวยนองเลือด…”
เยี่ยฉวนพึมพํากับตนเองขณะใช้ปลายนิ้วไล้ผ่านจารึกมหาปราชญ์ ความรู้สึกชิงชังที่คุ้นเคยพุ่งขึ้นในจิตใจ ณ วินาที นั้นราวกับห้วงเวลาไหลย้อนกลับไปหลายล้านปีก่อนในยุคที่เขายังเป็นมหาปราชญ์ซ่อนเร้นสวรรค์ผู้ไร้เทียมทาน ทันใดนั้นเจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางผู้ยืนห่างออกไปหลายกิโลเมตรเห็นภาพลวงตาราวกับเยี่ยฉวนและแท่นหินโบราณ นี่กลายเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันพลางแผ่ออร่าอันน่าเกรงขามออกมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านว่าอย่างไรนะขอรับ?”
หัวใจของเจ้าอ้วนเต้นเร็วขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลขณะรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปหาเยียฉวน
“ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ”
เยี่ยฉวนหันหลังกลับก่อนจะเดินไปยังแท่นเคลื่อนย้าย บริเวณใกล้เคียงด้วยท่าทีเฉยเมย แสงสีฟ้าว่างวาบขึ้นก่อนที่ร่างทั้งสามจะหายวับไปยังสํานักอสูรเมฆา
คล้อยหลังทั้งสาม สตรีลึกลับผู้หนึ่งมาถึงหุบเขาแห่งนี้อย่างเงียบเชียบก่อนจะเดินเข้าไปมองแท่นสังเวยสงครามด้วยใจสั่นไหว แท่นหินฝุ่นจับหนาเผยให้เห็นรอยฝ่ามือที่ประทับไว้เมื่อนานแสนนานมาแล้วทว่ายังเห็นได้ชัดจนน่าแปลก
“สํานักอสูรเมฆา? เยี่ยฉวน?”
สตรีลึกลับหยุดมองแท่นเคลื่อนย้ายที่มีแสงเรืองรองหมุนวนอยู่โดยรอบ นางพึมพําก่อนจะจากไปอย่างเงียบเชียบโดยไม่มีทหารอารักขาล่วงรู้ถึงการมาเยือนของนางเลยแม้แต่ผู้เดียว ทิ้งไว้เพียงรอยเท้าเปียกขึ้นเท่านั้น….