บทที่ 135 นักรบแห่งพฤกษา
เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางสีหน้าหม่นหมองด้วยความกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมาก ในขณะที่เยี่ยฉวนนั้นแลดูไร้กังวล เขาตรงเข้าไปในลานเล็กและลงมือทําสิ่งที่ต้องทํา
ปราณแห่งจิตวิญญาณโลกอันบริสุทธิ์พุ่งเข้าหาเยี่ยฉวนที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นจากทุกทิศทางราวกับสายน้ําโดยไม่ต้องใช้เคล็ดวิชาใด ปราณเหล่านั้นหล่อเลี้ยงผิวหนังและซึมซาบไปตามอวัยวะภายใน แขนขา และกระดูก ชายหนุ่มรับส่งพลังปราณผ่านโพรงจมูกด้วยการหายใจ บัดนี้ทั้งร่างของเขาราวกับแหวกว่ายอยู่ในทะเลแห่งปราณจิตวิญญาณโลก
เยี่ยฉวนตัดความคิดที่ทําให้วอกแวกทิ้งไปจนหมดสิ้นและเข้าสู่สมาธิทันที
ชื่อเสียงเลื่องลือของสํานักอสูรเมฆาว่าเป็นสํานักอันไร้เทียมทานใช่ว่าจะได้มาโดยเปล่า ปราณจิตวิญญาณโลกในสํานักหนาแน่นเสียจนคนธรรมดาสัมผัสได้ มันหนาแน่นกว่าในสํานักหมอกเมฆาหลายเท่า การฝึกตนที่นี่จึงให้ผลลัพธ์ถึงสองเท่าด้วยความพยายามเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดสํานักอสูรเมฆาจึงมีสมาชิกที่แข็งแกร่งเป็นจํานวนมากและเจริญรุ่งเรืองขึ้นทุกวัน
ร่างกายของเยี่ยฉวนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นหลังฝึกตนได้ครู่หนึ่ง
ระดับการฝึกตนของเขายังคงเป็นขั้นชิวฉือระดับสองดังเดิม หากแต่ยันต์กลืนกินสวรรค์นั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ยันต์ขยายใหญ่ขึ้นและมีแสงสลัวเรืองรองอยู่โดยรอบก่อนจะกลืนกินปราณแห่งจิตวิญญาณโลกอันบริสุทธิ์ในอากาศราวกับวาฬยักษ์บนท้องฟ้าเหนือลานเล็ก ปรากฏกระแสพลังงานที่หมุนวนและดูดปราณจิตวิญญาณโลกทั้งหมดเข้าไป!
“เอ่อ นี่มัน…”
ผู้พิทักษ์หยางผู้กําลังจัดสัมภาระพลันประหลาดใจขึ้นมา และมองไปทางห้องของเยี่ยฉวน ส่วนจ้าวต้าจื่อไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดแต่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงของปราณจิตวิญญาณโลกในที่แห่งนี้จึงเงยหน้าขึ้นมองกระแสพลังงาน หมุนวนเหนือลานเล็กชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ปราณจิตวิญญาณโลกพุ่งเข้าใส่จากทุกทิศและหายวับไปทุกวินาที
ยิ่งระดับการฝึกตนสูงมากเท่าใดก็ควรดูดซับพลังปราณแห่งจิตวิญญาณโลกมากเท่านั้น แต่การสร้างกระแสพลังงานหมุนวนเช่นนี้ต้องมีระดับการฝึกตนอย่างน้อยถึงขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า แล้วระดับการฝึกตนของเยี่ยฉวนเล่า? เขาอยู่เพียงขั้นชิวฉือระดับสองจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างปรากฏการณ์เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานําสมบัติบางอย่างติดตัวมาด้วยซึ่งน่าจะเป็นสมบัติที่อาวุโสสูงสุดมอบให้ก่อนจากสํานักมา!
หยางเทียนกวงครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งจึงได้คําตอบ
แม้ความหวังในการทําภารกิจนี้ให้สําเร็จจะริบหรี่แต่พวกเขาก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่อาวุโสสูงสุดจะส่งมอบสมบัติแก่เยี่ยฉวน ทว่าเยี่ยฉวนกลับยั่วยุให้เกิดความพินาศตั้งแต่วินาทีที่เขามาถึงสํานักอสูรเมฆาโดยการคุยโวโอ้อวดและทําให้ผู้คนมากมายขุ่นเคือง ต่อให้มีสมบัติวิเศษติดตัวมาด้วยจะมีประโยชน์อันใด? มีสมบัติดีเลิศเพียงใดคอยคุ้มกันก็ไร้ประโยชน์ ตราบใดที่อีกฝ่ายหมายจะสังหารเขา ลืมเรื่องการยืมเตาหลอมระดับสวรรค์ไปได้เลย!
หยางเทียนกวงสั่นศีรษะด้วยจิตใจหนักอึ้ง
ในขณะเดียวกัน ณ ตําหนักโบราณอันมืดสนิทภายในพระราชวังที่สลับทับซ้อนลึกเข้าไปในสํานักอสูรเมฆา สตรีผมขาวโพลนลืมตาขึ้นมองไปทางลานเล็กที่เยี่ยฉวนและพรรคพวกอยู่ รูม่านตาของนางราวกับหุบเหวลึกล้ําไร้ก้นและมีโลกแห่งความเป็นตายอีกใบซุกซ่อนอยู่ภายใน แม้ผมทุกเส้นของนางจะเป็นสีขาวทว่าไม่ใช่สีหงอกอย่างผมของคนชรา หากแต่เป็นสีขาวสะอาดไร้มลทินราวกับหยก เส้นผมของนางเปล่งประกายแวววาวอีกทั้งยังยาวสลวยจุดพื้นโดยไม่รู้ว่าใช้เวลาถึงกี่ปี
สตรีผมขาวปรบมือหลังมองทะลุผ่านชั้นพระราชวังไป
ฉับพลันเกิดเสียงโลหะกระทบกันขึ้นในความมืด ทหารอารักขาในชุดเกราะหนักอึ้งก้าวยาวๆมาหยุดเบื้องหน้าสตรีผู้นี้ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ก่อนคุกเข่าทําความเคารพ
“ไปดูว่าแขกผู้มาเยือนลานเล็กแห่งภูเขามังกรนิทราเป็นใคร!” หญิงผมขาวสั่ง
“ขอรับ!”
ทหารอารักขารับคําก่อนหันหลังเดินจากไป ภายในหอ เขาคือข้ารับใช้ผู้ภักดี แต่เมื่อออกจากหอพลังงานมหาศาลก็ปะทุออกจากร่างจนเทียบเท่าหรืออาจเหนือกว่าปีศาจฝนผู้บรรลุขั้นปรมาจารย์แห่งเฝ้าระดับหก! พลังนั้นพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์สูงราวหกถึงเจ็ดเมตร! ชุดเกราะที่สวมใส่อยู่ถูกแทนที่ด้วยเปลือกไม้หยาบและแข็งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ อีกทั้งกล้ามเนื้อยังพองตัวราวกับเนื้อไม้หนัก
ยักษ์ตนนี้คือนักรบแห่งพฤกษาที่มีชีวิตอยู่มาอย่างน้อยเก้าพันปี
ทหารอารักขานอกตําหนักคุกเข่าทําความเคารพทันที่ที่เห็นนักรบแห่งพฤกษา
“โฮก!”
นักรบแห่งพฤกษาเงยหน้าขึ้นคํารามราวกับเป็นอิสระจาก การถูกกักขังอันยาวนานในพระราชวังอันมืดมิด ทหารอารักขาคุกเข่านิ่ง ร่างของพวกเขาลอยขึ้นขณะที่เสียงคําราม ดังกึกก้องข้างหูราวกับอยู่ใจกลางพายุหมุน ยอดเขาสูงต่ํา และต้นไม้น้อยใหญ่ต่างสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ดงไม้ทึบโยกไหวราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา
ณ ลานเล็กบนภูเขามังกรนิทราที่ใช้สําหรับรับแขกผู้มาเยือนสํานักอสูรเมฆาเป็นพิเศษ สัมผัสในจิตใจทําให้เยี่ยฉวนตื่นขึ้นจากการฝึกตน เขามองลึกเข้าไปในพระราชวังแห่งสํานักอสูรเมฆา
“ราชินีอสูรเนตรสีครามยังมีชีวิตอยู่หรือ? ไม่ ไม่จริง นี่มัน…”
เยี่ยฉวนตื่นเต้นทันใดก่อนจะค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงและแทนที่ด้วยความผิดหวัง เขาถอนหายใจแผ่วเบา
ออร่าที่แผ่มาจากภายในพระราชวังและออร่าของราชินี อสูรเนตรสีครามผู้ก่อตั้งสํานักอสูรเมฆามีความคล้ายคลึงกัน แต่เมื่อสัมผัสดูถี่ถ้วนกลับพบความแตกต่างว่าไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน ผู้ติดตามในอดีตของเขาทั้งหมดได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังเขาออกจากสุสานเทพเจ้าและกลับมายังดินแดนรกร้าง
กระต่ายเฒ่า เหยาจี และผู้อื่นไปอยู่แห่งหนใด? พวกเขาจากโลกนี้ไปแล้ว หายวับไปในความว่างเปล่า ออกเดินทางสู่โลกที่อยู่นอกแดนสวรรค์หรือ
เยี่ยฉวนครุ่นคิดและเกิดความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะข้ามผ่านสภาวะตีบตันและกลับไปยังจุดสูงสุดของการฝึกตน เพื่อหาคําตอบว่าเกิดอะไรขึ้นในดินแดนรกร้างระหว่างที่เขาถูกคุมขังอยู่ในสุสานเทพเจ้า
“ก็อกๆๆ” เสียงเคาะประตูดังแว่วมาจากประตูลานเล็ก
“ศิษย์น้องผู้นั้นมาที่นี่อีกแล้วหรือ?”
เยี่ยฉวนลุกขึ้นยืนพร้อมผุดยิ้มชั่วร้ายเมื่อนึกถึงผู้พิทักษ์ฮั่วชาน ดูท่าชายผู้นี้จะขุ่นเคืองใจอย่างมากจนต้องตามมาล้างแค้นถึงที่
เจ้าอ้วนและผู้พิทักษ์หยางเป็นกังวลอย่างมาก พวกเขาทั้งหวั่นกลัวและยําเกรงฮั่วชาน แต่เยี่ยฉวนกลับไม่ใส่ใจชายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
ข้าเป็นใคร?
หากราชินีอสูรเนตรสีครามยังอยู่ที่นี่ อย่าว่าแต่ผู้พิทักษ์ตัวเล็กตัวน้อยเลย ต่อให้เป็นถึงผู้อาวุโสหรืออาวุโสสูงสุด แต่บังอาจมาปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ ย่อมมีจุดจบเดียวคือความตาย
ในยามนี้สํานักอสูรเมฆากําลังเฟื่องฟูและใฝ่ฝันจะเป็นสํานักที่มิอาจมีผู้ใดเทียบเทียม ทว่าเยี่ยฉวนคือผู้ที่ช่วยราชินีอสูรเนตรสีครามวางรากฐานของสํานักที่แท้จริง แม้ราชินีอสูรเนตรสีครามจะไม่อยู่แล้ว แต่เยี่ยฉวนยังคงมีข้อได้เปรียบที่ผู้อื่นไม่รู้แม้แต่อาวุโสสูงสุด อาวุโสลําดับสอง หรือผู้อื่นในสํานักหมอกเมฆา จึงเป็นเหตุผลที่ทําให้เขารับภารกิจนี้โดยไม่ลังเล
อาวุโสลําดับสามไปเยี่ยนหูมีกลอุบายชั่วร้ายนับไม่ถ้วน เขาไม่ลังเลที่จะทําลายเตาหลอมทั้งหมดของสํานักหมอกเมฆาเพื่อให้เยี่ยฉวนจําเป็นต้องเดินทางมายังสํานักอสูรเมฆา และถูกสังหาร วิธีที่ดีที่สุดในการต่อกรกับความเลวทรามเช่นนี้คือการฉวยโอกาสจากสถานการณ์เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง และเมื่ออีกฝ่ายกําลังชื่นชมกับความสําเร็จก็ทําลายแผนการ เปิดโปง และฆ่าทิ้งเสีย!
เยี่ยฉวนเดินไปทางประตู เสียงเคาะนั้นฟังดูเร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ จนแทบสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเข้มข้นจากอีกฝั่งประตู ทว่าเยี่ยฉวนยังคงสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้มหยันบนใบหน้า