บทที่ 139 ต้องตัดหัวจริงดังว่า
เจ้าอ้วนฟื้นคืนสติหลังเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบ
สายลมเย็นเฉียบพาความหนาวเหน็บมาในอากาศและพัดผ่านผิวน้ำจนเกิดเสียงแผ่วเบา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ…”
เจ้าอ้วนตะเกียกตะกายลุกขึ้นนั่งพลางมองหาเยี่ยฉวนไปรอบๆ เขายกศีรษะขึ้นดูก่อนทั้งกายจะสั่นเทิ้มจนแทบสิ้นสติอีกครั้ง
ไกลออกไปกลางทะเลสาบที่มีม่านหมอกปกคลุม เยี่ยฉวนกําลังควบขี่อยู่บนร่างของงูเผือกตัวนั้น! มนุษย์และงูกําลังหยอกล้อกันอย่างมีความสุขท่ามกลางผืนน้ำ!
ผิวของงูเผือกที่อาศัยอยู่ในทะเลสาบมังกรนิทรามานานหลายปีช่างขาวสะอาดไร้ที่ติตั้งแต่หัวจรดหางราวกับหยกลําตัวของมันหนาเท่าถังเก็บน้ำและความยาวที่ปรากฏให้เห็นเลือนรางใต้น้ำนั้นราวๆ หนึ่งกิโลเมตร บางครั้งมันก็เหยียดตัวพาเยี่ยฉวนเข้าไปในเกลียวคลื่น บางครั้งก็เอนหัวไปทางเยี่ยฉวนราวกับกําลังตั้งใจฟังคําพูดของเขาประหนึ่งเด็กสาวข้างบ้านผู้รักสงบ บางครั้งก็ซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำราวกับหญิงสาวที่กําลังปั้นยิ่ง
จ้าวต้าจื่อจ้องมองเยี่ยฉวนผู้กล้าหาญและงูเผือกตัวนั้นด้วยความประหลาดใจ
เขาไม่เคยพบเจอหรือได้ยินว่ามีงูยักษ์ที่แสนเชื่องและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาถึงเพียงนี้มาก่อน
เกิดเหตุอันใดขึ้นที่นี่กันแน่? ศิษย์พี่ใหญ่เลี้ยงงูเผือกตัวนี้ไว้อย่างนั้นหรือ?
ศิษย์พี่ใหญ่รู้ได้อย่างไรว่ามีทะเลสาบอยู่บนยอดเขาแห่งนี้? ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้ได้อย่างไรว่ามีงูเผือกยักษ์อาศัยอยู่ที่นี่? สุดท้ายแล้วศิษย์พี่ใหญ่เป็นใครกันแน่?!
คําถามมากมายผุดขึ้นในใจของจ้าวต้าจื่อเมื่อศิษย์พี่ใหญ่ผู้ขี้ขลาดและไม่มั่นใจที่เขาคุ้นเคยกลับดูห่างไกลออกไปทุกที่อีกทั้งยังแปรเปลี่ยนเป็นอีกคนที่เขาอ่านใจไม่ออก
“ว่าอย่างไรเจ้าอ้วน! ในที่สุดก็ฟื้นแล้วหรือ?”
จ้าวต้าจื่อเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่ตรงหน้าตั้งแต่เมื่อใดไม่อาจทราบ ทว่างูเผือกยักษ์ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยมีตัวตนมาก่อนและทุกสิ่งเป็นเพียงภาพลวงตา ทะเลสาบกลับคืนสู่ความสงบดุจนางฟ้าที่หลับใหลภายใต้แสงจันทร์
“ศะศิษย์พี่ใหญ่ งูเผือกยักษ์ตัวนั้นหายไปไหนหรือขอรับ?” เจ้าอ้วนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสั่นเทาพร้อมขยี้ตาอย่างไม่เชื่อถือ เขากวาดสายตาไปรอบๆ ทว่ากลับไม่เห็นแม้แต่เงาของมัน
“งูเผือกยักษ์อะไรกัน?”
เยี่ยฉวนมองไปรอบๆ ก่อนเอ่ยคําพร้อมรอยยิ้มมีเลศนัย “เจ้าอ้วน เจ้าปวยงั้นหรือ? หากอ่อนเพลียก็นอนหลับพักผ่อนเสียเถิด”
“ข้าไม่ได้ป่วยนะขอรับศิษย์พี่ใหญ่ ข้าเห็นมันจริงๆ” เจ้าอ้วนแย้ง แต่เปลือกตาของเขากลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผล็อยหลับไปในที่สุด
“ซ่า!” ฉับพลันหัวขนาดมหึมาก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ผิวน้ำ งูเผือกยักษ์ปรากฏกายอีกครั้งพร้อมสมุนไพรสีขาวในปาก
“ขอบใจมากสาวน้อยตัวขาว”
เยี่ยฉวนยื่นมือออกไปลูบหัวของงูเผือกยักษ์เบาๆ ก่อนทุบสมุนไพรสีขาวให้เป็นชิ้นๆ และป้อนให้เจ้าอ้วนที่กําลังหลับใหล จากนั้นจึงฟาดเจ้าอ้วนด้วยเคล็ดวิชาที่ช่วยผลักโลหิตให้ชําระเส้นเอ็นและไขกระดูก
เยี่ยฉวนมักแกล้งเย้าแหย่เจ้าอ้วนยามที่อีกฝ่ายตื่นตระหนก ทว่ากลับไม่ลังเลที่จะใช้พลังชีวิตชําระเส้นเอ็นและไขกระดูกให้อีกฝ่ายในยามหลับใหลด้วยเคล็ดวิชาลับของเขา งูเผือกยักษ์หรือสุภาพสตรีผิวขาวเป็นเพื่อนเก่าคนแรกที่เขาพบตั้งแต่กลับมายังดินแดนรกร้างหลังผ่านไปหลายล้านปี
ในยามที่ราชินีอสูรตาสีฟ้าก่อตั้งสํานักอสูรเมฆาเป็นครั้งแรก เขาได้มอบงูเผือกเป็นของกํานัลให้แก่นางและเลี้ยงดูมันจนเติบโตขึ้นในทะเลสาบมังกรนิทราอันบริสุทธิ์นี้
เดิมที่งูเผือกตัวนี้เป็นสัตว์อสุรกายที่ฝึกตนจนถึงระดับสูงและสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์นามสุภาพสตรีผิวขาวได้ นางเคยเป็นหนึ่งในผู้ปกครองดินแดนรกร้างก่อนจะอยู่ภายใต้การดูแลของเยี่ยฉวนในเวลาต่อมา นางได้ติดตามเยี่ยฉวนไปยังดินแดนเก่าแก่ที่อันตรายในกาลก่อน ทว่าเคราะห์ร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายตกไป เยี่ยฉวนจึงใช้เคล็ดวิชาชั้นยอดอัญเชิญดวงจิตและฟื้นคืนชีพให้แก่นาง โชคร้ายที่ถึงแม้ชีวิตจะฟื้นคืนกลับมาแต่เคล็ดวิชาและขั้นการฝึกตนทั้งหมดรวมถึงดวงจิตแห่งปัญญาได้หายไปจนหมดสิ้น เยี่ยฉวนจึงปล่อยนางไว้ในทะเลสาบมังกรนิทราด้วยความเศร้าโศกและหวังว่าสักวันความตื่นรู้และดวงจิตแห่งปัญญาของนางจะกลับมาอีกครั้ง
บัดนี้เมื่อเวลาหลายล้านปีล่วงไป ภูมิทัศน์ในดินแดนรกร้างยังคงเดิมแต่ผู้คนกลับแปรเปลี่ยน แม้แต่ราชินีอสูรตาสีฟ้าก็หายไป อีกทั้งขั้นการฝึกตนของสุภาพสตรีผิวขาวก็กลับคืนสู่จุดสูงสุดและกลายเป็นสัตว์อสูรผู้พิทักษ์สํานักอสูรเมฆา เคราะห์ร้ายที่ดวงจิตแห่งปัญญาของนางยังไม่หวนคืนจึงไม่อาจจดจําเรื่องราวหลายปีที่ผ่านมาได้และยังคงฝึกตนอย่างสงบปีแล้วปีเล่าในทะเลสาบมังกรนิทราแห่งนี้ ทว่าร่องรอยที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจของนางกลับทําให้รู้สึกคุ้นเคยเมื่อเห็นเยี่ยฉวนจึงโผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ
คนสองคนและงูหนึ่งตัวยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่ข้างทะเลสาบเป็นเวลานาน
เจ้าอ้วนหลับสนิทโดยมีแสงสลัวหมุนวนอยู่โดยรอบเมื่อเขาได้ข้ามผ่านสภาวะตีบตันโดยไม่รู้ตัว เยี่ยฉวนนิ่งเงียบพลางหวนนึกถึงคืนวันเก่าๆ ของสํานักอสูรเมฆาโดยมีงูเผือกยักษ์เอนกายอยู่เคียงข้าง แววตาของนางพร่ามัวราวกับกําลังครุ่นคิดบางสิ่งแลดูสับสน
ณ หออสูรเมฆา
ขณะที่เยี่ยฉวนนั่งเหม่อลอยอยู่ริมทะเลสาบมังกรนิทรา ผู้พิทักษ์ฮั่วชานยืนนิ่งด้วยความเคารพเบื้องหน้าชายชราเคราขาวในชุดคลุมสีฟ้าสะอาดสะอ้านผู้นั่งตัวตรงอยู่ชั้นบนสุดของหออสูรเมฆา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์น้องเห็นว่าในยามนี้สํานักหมอกเมฆามาขอความช่วยเหลืออันใหญ่หลวงยิ่ง แม้แต่อาวุโสสูงสุดซู่โกวหงยังละอายเกินกว่าจะมาด้วยตนเอง นั่นหมายความว่าพวกเขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้มากเกินจะร้องขอ
ฮั่วชานรอคอยนอกหออสูรเมฆาเป็นเวลานานกว่าจะมีโอกาสได้เข้าพบผู้อาวุโสเถียนชิง เขายังไม่รู้เรื่องการตายของฮั่วหยวนชางจึงมีท่าที่ปกติ “หึๆ พวกมันมองหาสํานักอสูรเมฆาทุกครั้งที่มีปัญหาแล้วจะเป็นเรื่องดีได้อย่างไร? ผู้ใดที่ปฏิบัติต่อพวกมันไม่ดีก็ต้องโดนตัดหัว น่าขันสิ้นดี! พวกมันพูดจาไม่สมควรถึงกฎสํานักอสูรเมฆา อีกทั้งยังอ้างว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่แล้วยังอยากผูกมิตรกับเรา น่าขันนัก! ศิษย์พี่ใหญ่ไล่พวกมันไปให้พ้นเสีย ไม่จําเป็นต้องพบหรือพูดคุยอันใดหรอก!”
ฮั่วชานพ่นลม เพียงแค่นึกถึงเยี่ยฉวนก็ทําให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจ เขาคงกําจัดอีกฝ่ายไปนานแล้วหากไม่ใช่เพราะสนธิสัญญาพันธมิตรระหว่างสองสํานักและชื่อเสียงของสํานักอสูรเมฆาในช่วงนี้
“ไม่ ไม่มีเหตุผลที่จะไล่พวกเขาออกไป ถึงอย่างไรมิตรภาพระหว่างบรรพบุรุษสํานักหมอกเมฆาและสํานักอสูรเมฆาของเราก็แน่นแฟ้นยิ่ง เวลาล่วงมาหลายปีแล้วแต่เจ้ายังคงหุนหันพลันแล่นเกินไป จงเตรียมการพาพวกเขามาพบข้าในอีกสองวัน” ผู้อาวุโสเถียนชิงหยุดชะงักไปก่อนกล่าวออกเสียงต่ำ “ยิ่งไปกว่านั้นเจ้ายังคิดผิด ตามกฏของสํานักอสูรเมฆาเมื่อนานมาแล้ว ผู้ไม่เคารพจะต้องถูกลงโทษด้วยการตัดคอและบดขยี้ดวงจิตจริงดังเยี่ยฉวนว่า”
“ว่าอย่างไรนะ?!”
ฮั่วชานร้องด้วยความตื่นตระหนก แม้แต่เขาผู้เป็นผู้พิทักษ์สํานักอสูรเมฆายังไม่รู้กฏโบราณนี้เลย แล้วเยี่ยฉวนรู้ได้อย่างไร?
ด้วยการคาดเดาหรือบังเอิญอ่านเจอจากตํารากันแน่?!
ฮั่วชานประหลาดใจและเกรี้ยวโกรธยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินดังนั้น “ดี! เยี่ยฉวน คิดจะสั่งสอนกฏโบราณให้ข้า เห็นที่เจ้าคงไม่อยากมีชีวิตอยู่เสียแล้ว!