Storm in the Wilderness – ขุนศึกสยบสวรรค์ ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 175 ชั่วช้าเลวทรามเกินไปแล้ว!
บทที่ 175 ชั่วช้าเลวทรามเกินไปแล้ว!
เสียงฝีเท้าชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
ภูตทะเลสาวค่อยๆเยื้องกรายเข้ามาและทิ้งรอยเท้าเปียกชื้นไว้ตลอดทาง
เสียงร้องเพลงและสายลมหายไป ทั้งถ้ําตกอยู่ในความเงียบสงัด
หงจือเซียนอนหลับตานิ่งอยู่บนพื้นจนเยี่ยฉวน มองเห็นแพขนตายาวสวยของนางได้อย่างชัดเจน แม้จะเปี่ยมล้นด้วยความสามารถ และมีขั้นการฝึกตนอันสูงส่งแต่การถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวก็ทําให้นางหมดสติไปได้เช่นกัน นางคอยระแวดระวังเยี่ยฉวนมาโดยตลอด แต่ไม่คาดคิดว่าอันตรายจะมาจากนอกถ้ําอย่างฉับพลันและแปลกประหลาดเช่นนี้
เยี่ยฉวนล้มลงกับพื้นและนอนนิ่งไม่ไหวติงเช่นเดียวกัน ทว่านั่นเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น! การแสดงอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ! ดวงตาของเขาปิดสนิทแต่หูทั้งสองข้างกลับตั้งใจฟังและแผ่กระแสจิตบริสุทธิ์ออกไปสัมผัสรับรู้ทุกการกระทําของภูตทะเล
ภูตทะเลสาวนั้นรอบคอบยิ่ง นางหยุดสังเกตทุกๆ สิบก้าวก่อนรุดหน้าต่อไปเมื่อแน่ใจว่าเยี่ยฉวนและจ่อเซียยังไม่ได้สติ
“นายท่าน อยากให้ข้าฆ่านางในกระบวนท่าเดียวหรือไม่ขอรับ?”
เสียงดวงจิตของเฮยกุ๋ยดังขึ้นในหัวของเยี่ยฉวน มือเล็กค่อยๆเอี้อมไปยังกริชภายในอก
“จับเป็น อย่าให้นางบาดเจ็บ หาโอกาสลงมือซะ!” เยี่ยฉวนออกคําสั่งอย่างลับๆ
เยี่ยฉวนรู้สึกตัวว่าภูตทะเลตนนี้ตามเขามาตั้งแต่อยู่ที่สํานักอสูรเมฆาแล้ว โลกโพ้นทะเลเป็นดินแดนพิศวงสําหรับผู้ฝึกตนบนแผ่นดินใหญ่มาโดยตลอด ฉะนั้นการกําราบภูตทะเลอันทรงพลัง ห้อยู่ภายใต้อํานาจของเขาย่อมดีกว่าการฆ่าทิ้ง
“หาเพิ่มอีกแล้วหรือ?!?
วิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยเคยประสบกับไม้แข็งของเยี่ยฉวนมาก่อนแล้ว แต่เขาเพิ่งค้นพบว่าเยี่ยฉวนเองก็เป็นคนนุ่มนวลชวนฝันมิใช่น้อย มีสตรีพรหมจรรย์อยู่แล้วยังต้องการครอบครองภูตทะเลสาวนิรนามอีกหรือ?! ชายผู้นี้ไม่ธรรมดาเสียจริง!
ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตามน้ําไป เฮยกุ๋ยเก็บกริชของตนและนับก้าวเดินของอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบเพื่อรอจังหวะเหมาะ หนึ่งก้าว สองก้าว… สามก้าว… เจ็ดก้าว ภูตทะเลย่อตัวลงดูเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์บนร่างของเยี่ยฉวน ทันใดนั้นร่างของนางก็ซวนเซและรู้สึกราวกับโลกกลับตาลปัตร
โอสถเหลวที่วิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยพรมลงบนพื้นค่อยๆสําแดงฤทธิ์
ตั๊กแตนตําข้าวไล่ล่าจักจั่นโดยไม่รู้ว่ามีนกขมิ้นอยู่เบื้องหลังฉันใด ภูตทะเลที่ระมัดระวังมาตลอดทางก็พลาดท่าตกหลุมพรางของเยี่ยฉวนฉันนั้น พลังของภูตทะเลอันยากจะต้านทานยังไม่อาจเทียบเท่าแผนการอันแยบยลของเยี่ยฉวน สตรีพรหมจรรย์หมดสติเพราะบทเพลงของภูตทะเลเพียงส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนเป็นเพราะฤทธิ์ของโอสถเหลว!
ของเหลวเต็มขวดนี้ไม่ใช่โอสถธรรมดาหากแต่เป็นน้ํามนต์ที่เยี่ยฉวนกลั่นขึ้น! น้ํามนต์นี้ไร้สี ไร้กลิ่น และไร้รสชาติ หากสูดดมในที่ปิดนานเพียงพอก็อาจล้มช้างได้ทั้งตัว!
“ฮิๆๆ เสร็จข้าล่ะ!”
วิญญาณชั่วร้ายเฮยกุ๋ยหัวเราะพร้อมกระโดดเตะเข้าที่เอวของภูตทะเลสาว นางกรีดร้องและล้มลงบนพื้นภูตทะเลลี่ลี่ผู้หลักแหลมถึงกับตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อเห็นตุ๊กตาหุ่นกระบอกยืนจ้องมองมาด้วยแววตามุ่งร้าย
“ว่าอย่างไรแม่สาวน้อย… ในที่สุดเราก็ได้พบกัน นี่คือน้ํามนต์ศักดิ์สิทธิ์ที่ขากลั่นขึ้นด้วยตนเอง คนธรรมดาไม่อาจสูดดมได้ เห็นว่าถ้าสูดเข้าไปเต็มปอดจะช่วยบํารุงผิวกาย”
เยี่ยฉวนก้าวมาอยู่ตรงหน้าภูตทะเลพลางกล่าวหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เมื่อเยี่ยฉวนพินิจดูภูตทะเลที่นอนอยู่บนพื้นก็ต้องยอมรับว่ารูปร่างและใบหน้าของนางงดงามไม่แพ้สตรีบนแผ่นดินใหญ่ ผิวของนางไม่ขาวนักค่อนไปทางสีเกาลัด แต่อาจเป็นเพราะอาศัยอยู่ในน้ําตลอดทั้งปีจึงทําให้ผิวพรรณนวลเนียนละเอียดยิ่ง แม้แต่จูซือ เจียและหงจื่อเซียยังต้องพ่ายแพ้ในเรื่องนี้
“จะ…เจ้ารู้มาก่อนหรือว่าข้าจะมาที่นี่?” ภูตทะเลฟื้นคืนสติและพยายามตะเกียกตะกายลุกขึ้น แต่แขนขาของนางกลับอ่อนปวกเปียกไร้กําลัง อีกทั้งสายตาของเยี่ยฉวนยังทําให้นางหวั่นกลัว
ณ แดนโพ้นทะเล จอมยุทธ์ผู้แข็งแกร่งมากมายนับไม่ถ้วน รวมถึงจักรพรรดิไพรทมิฬที่ตายตกไปแล้วต่างต้องการครอบครองความงามของนาง ไม่ว่าชายใดที่ได้เห็นหน้านางล้วนแต่มีความปรารถนาเดียวกันทั้งสิ้น เมื่อนางตกอยู่ในมือของเยี่ยฉวนและขึ้นอยู่กับความ เมตตาของเขาเช่นนี้แล้ว เขาจะไม่
ภูตทะเลที่ใจกล้าตามเยี่ยฉวนมาโดยตลอดหน้าถอดสี นางได้แต่นอนอยู่กับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรงขยับตัวและเผยเรือนร่างสง่างามตรงหน้าเยี่ยฉวนราวกับลูกแกะที่ไร้ทางสู้
“แน่นอนว่าข้าต้องรู้ หากโง่เขลาแล้วจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้อย่างไร? เจ้าคิดว่าไม่มีผู้ใดพบเบาะแสหรือร่องรอยของเจ้าจริงๆน่ะหรือ?” เยี่ยฉวนมองดูความงดงามเบื้องหน้าด้วยสายตาจาบจ้วง พร้อมกล่าวออกเฉยเมย “เจ้ามาที่นี่เพื่อตามหาเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์สินะ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
ภูตทะเลลี่สี่ตัวสั่นเทา ใบหน้าสะสวยซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม “เจ้ารู้เรื่องเมล็ดข้าวมังกรสวรรค์ด้วยหรือ?”
แม้แต่จักรพรรดิไพรทมิฬผู้มากประสบการณ์และรอบรู้ยังไม่อาจแยกแยะได้ว่าสิ่งที่ชิงไปคืออะไร จึงต้องออกเดินทางมายัง แผ่นดินใหญ่เพื่อตามหายอดปรมาจารย์ที่สามารถระบุตัวตนของสมบัตินี้ได้ แล้วเยี่ยฉวนที่ดูเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดารู้จักสมบัติเก่าแก่ที่ล้ําค่าที่สุดของเผ่าภูตทะเลได้อย่างไร?
“ข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น แต่ตอนนี้เจ้าช่วยยืนยันให้ข้ามั่นใจแล้วล่ะ”
เยี่ยฉวนยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนสัมผัสได้ถึงจิตสังหารเบื้องหลัง เขาหันไปพบสตรีพรหมจรรย์ที่ฟื้นขึ้นมาเมื่อใดไม่อาจทราบ เคราะห์ร้ายที่นางยังคงอยู่ภายใต้ฤทธิ์ของน้ํามนต์ แขนขาของหญิงสาวจึงไร้เรี่ยวแรงขยับเขยื้อน
“ไอ้เด็กบ้า! ยังไม่ส่งยาถอนพิษมาให้ข้าอีก!” หงจือเซียจ้องเยี่ยฉวนด้วยแววตาดุดันพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางว่าเกลียดเยี่ยฉวนแล้วแต่เกลียดตัวเองเสียยิ่งกว่า แม้จะระวังตนมากเพียงใด ก็ยังตกหลุมพรางของเขาโดยไม่คาดคิด “เด็กนี่เจ้าเล่ห์เกินคาดเดาเสียจริง!”
“ข้าไม่มียาถอนพิษ หรือถึงมีก็ไม่ให้ นอนลงเถิด” เยี่ยฉวนตอบ
“เจ้า… ไอ้เด็กเหลือขอ! น่ารังเกียจยิ่ง!” หงจือเซียโกรธจัด นางไม่เคยชิงชังผู้ใดเท่าคนตรงหน้ามาก่อนเลย
“แม่นางจือเซีย….ข้าอารมณ์ไม่ดีอยู่ตอนนี้ อย่าใจร้อนให้มาก ไม่เช่นนั้นขาไม่รับประกันว่าจะไม่ทําตัวน่ารังเกียจไปกว่านี้ อย่าลืมว่าสํานักหมอกเมฆาและสํานักอสูรเมฆามีประเพณีสานสัมพันธไมตรีด้วยการแต่งงานมาตั้งแต่โบราณกาล หากข้าส่งคนไปสู่ขอเจ้ากับองค์ราชินีพร้อมกราบทูลพระองค์ว่าเจ้าตกหลุมรักข้าที่นี่และกําลัง จะมีบุตรข้าอยากรู้นักว่าองค์ราชินีจะเห็นควรหรือไม่?” เยี่ยฉวนแสร้งประเมินสถานการณ์
สตรีพรหมจรรย์ที่โกรธจนอยากสังหารเยี่ยฉวนเสียตอนนี้เงียบเสียงในทันที แม้แต่ภูตทะเลก็กลัวจนอกสั่นขวัญแขวน บัดนี้หญิงงามทั้งสองนอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่บนพื้นและแทบไม่กล้าหายใจ ได้แต่ปล่อยให้เยี่ยฉวนมองดูเรือนร่างของพวกนางด้วยสายตาโลมเลีย
“จุ๊ๆ หากข้าได้นอนลงตรงกลางขนาบข้างด้วยหญิงงามทั้งสองจะเป็นภาพที่วิเศษเพียงใดกันนะ…”
แววตาของวิญญาณร้ายเฮยกุ๋ยเต็มไปด้วยความริษยาและปรารถนา แทบลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าตนเป็นเพียงตุ๊กตาหุ่นกระบอก สายตากวาดมองร่างนุ่มนิ่มและสง่างามทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มเช่นเดิม น่าเสียดายที่เขาไม่อาจดูได้นานกว่านี้เมื่อจําต้องกลายเป็นแสงสีครามและลอยกลับเข้าไปในโคมบงกชที่แม้แต่กระแสจิตบริสุทธิ์ยังไม่อาจแผ่ออกมาได้ นับประสาอะไรกับการมองเห็น!
“คืนนี้มีหญิงงามสองนางมาอยู่เป็นเพื่อนข้า ข้าอยากอยู่สงบๆเสียหน่อย”
น้ําเสียงของเยี่ยฉวนราบเรียบทว่ารอยยิ้มมีเลศนัยกลับผุดขึ้นบนใบหน้า หญิงสาวทั้งสองหวาดกลัวอย่างสุดซึ้งเมื่อรู้สึกว่าสิ่งเลวร้ายกําลังจะเกิดขึ้นกับพวกนาง ชายหนึ่งและหญิงสองในยามราตรี เช่นนี้ เยี่ยฉวนคิดจะทําอะไร?!
เลวทราม!
ชั่วช้าเลวทรามเกินไปแล้ว!
บัดนี้สตรีพรหมจรรย์ผู้วางตนสันโดษและสูงส่งเหนือผู้ใด ทั้งปวงร้อนรนและตื่นกลัวอย่างหาที่เปรียบมิได้