บทที่ 18 ยอมรับโดยง่ายแทนที่จะบ่ายเบี่ยง
ยามดึกสงัด ณ ยอดเขาเมฆาอินทนิล…
ดวงจิตของเยี่ยฉวนลอยซวนเซไปมาผ่านยอดเขาเมฆาอินทนิล สายลมที่พัดแรงในยามนี้ทำให้ดวงจิตของเขาเย็นเยือกราวจะพัดพาให้จมดิ่งสู่ความมืดมนเวิ้งว้างไร้ขอบเขต
ดวงจิตของเยี่ยฉวนได้รับบาดเจ็บหนัก!
เมื่อครู่นี้เขาอาศัยเคล็ดวิชาลับทำให้รอดพ้นจากการโจมตีของจินจื่อคุนได้อย่างหวุดหวิด ทว่าปราณหยางที่อีกฝ่ายปล่อยออกมาอย่างฉับพลันได้ทำร้ายดวงจิตของเขาอย่างสาหัสจนปวดแสบปวดร้อนราวถูกเปลวเพลิงแผดเผา หากเขาหนีออกมาช้ากว่านั้นเพียงนิดเดียวสถานการณ์อาจเลวร้ายกว่านี้
สายลมหนาวกรีดร้องหวีดหวิวเมื่อพ้นผ่านไปค่อนคืนและยิ่งกระโชกแรงจนเย็นเยือกขึ้นเรื่อยๆ เสียงแผดคำรามของสัตว์ป่าดังมาจากระยะไกลอยู่บ่อยครั้งชวนให้ผู้คนรู้สึกหวาดผวา
ดวงจิตของเยี่ยฉวนลอยมาถึงครึ่งทางอย่างทุลักทุเลโดยเคลื่อนที่ช้าลง…ทุกย่างก้าวต้องใช้ความพยายามอย่างหนัก ทันใดนั้นขอบฟ้าอันไกลโพ้นพลันปรากฎรังสีจิตมารที่ชอบกลืนกินดวงวิญญาณมนุษย์ เมื่อพวกมันรับรู้ถึงดวงจิตอันอ่อนแอนี้จึงพุ่งเข้าหาจากรอบทิศ!
จังหวะเดียวกันกับแสงอบอุ่นนวลตาที่ส่องลงมาจากยอดเขาและกระทบเข้ากับดวงจิตของเยี่ยฉวนพอดี!
แสงนั้นริบหรี่และมีขนาดเล็กทว่ากลับทำให้ดวงจิตของเขารู้สึกอบอุ่นอย่างรวดเร็วและแข็งแกร่งขึ้น แล้วจึงรีบเร่งกลับไปหลังสังเกตเห็นลานกว้างบนยอดเขาเด่นชัดแม้อยู่ท่ามกลางความมืดมิด ครั้นกลับถึงห้องตำราดวงจิตและกายหยาบพลันหลอมรวมเข้าด้วยกัน เหล่าจิตมารมาถึงช้าเกินไป รีรออยู่สักพักเมื่อจับดวงจิตกินไม่ได้แน่แล้วพวกมันจึงสลายตัว
“โคมสว่าง ดวงจิตดำรงอยู่…โคมมืดมน ดวงจิตดับสูญ!”
เยี่ยฉวนได้รับโคมบงกชสีครามพร้อมกับเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์จากสุสานเทพเจ้า ยามนี้โคมนั้นได้สำแดงพลังเร้นลับเพื่อกดดันให้จิตมารที่อยู่ด้านนอกล่าถอย
หลังจากนั่งขัดสมาธิอยู่ครู่หนึ่งด้านหน้าโคมบงกชสีคราม เยี่ยฉวนพลันรู้สึกว่าแขนทั้งสองเย็นวาบในขณะที่ขารู้สึกอบอุ่นขึ้นและอาการบาดเจ็บของดวงจิตก็ทุเลาลง
“เจ้าแห่งหอแปรธาตุช่างเชี่ยวชาญการขัดเกลาร่างกายนัก! ปราณหยางที่ใช้โจมตีข้าจึงได้เคลื่อนไหวคมกริบราวมีดดาบ!”
เขายกยิ้มเย็นเยียบขณะที่จิตสังหารยิ่งทวีความร้ายกาจ!
ณ แดนอรัญญิก หากศิษย์ผู้ใดฝึกตนจนบรรลุขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดและมีการบรรลุอย่างต่อเนื่องเข้าสู่ขั้นซิวฉือ…ผู้นั้นจะจัดว่ามีความสามารถเหนือมนุษย์! ทั้งผู้บรรลุขั้นซิวฉือยังแยกย่อยออกไปอีกด้วยพลังที่แตกต่างกัน
ผู้บรรลุขั้นซิวฉือบางรายถูกขนานนามว่า ‘จิตวิญญาณจอมยุทธ์’ เพราะฝึกฝนเคล็ดวิชาน่าทึ่งหลายประเภทจนมีพลังทรงอานุภาพ และเมื่อบรรลุสู่ขั้นอมตะจะถูกเปลี่ยนนามเสียใหม่เป็น ‘จิตวิญญาณอมตะ’ ส่วนบางรายถูกขนานนามว่า ‘จอมยุทธ์สงคราม’ เพราะพวกเขาเพียรขัดเกลาร่างกาย กล้ามเนื้อ กระดูกและเลือดอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้บรรลุสู่ขั้นสูงสุด ทั้งร่างกายยังมีปราณหยางเข้มข้นไหลเวียนภายในทำให้ดวงจิตชั่วร้ายและผีสางไม่กล้าเข้าใกล้! ครั้นบรรลุสู่ขั้นอมตะจะถูกเปลี่ยนนามเป็น ‘จอมยุทธ์อมตะ’ เพื่อบ่งบอกความแตกต่าง
จินจื่อคุนเชี่ยวชาญการขัดเกลาร่างกายถึงเพียงนี้หมายความว่าเขาต้องอยู่ในระดับจอมยุทธ์สงครามเป็นแน่! สังเกตจากปราณหยางที่พลุ่งพล่านในร่างกายแล้วคงมีความสามารถในการปราบจิตมารและดวงจิตหยินเช่นกัน….เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเกือบจะคว้าดวงจิตของเยี่ยฉวนได้!
ขณะนั้นพลันมีเสียงหึ่ง! ดังก้องในความมืด เสียงนั้นบินหวือพุ่งหาเขาอย่างรวดเร็ว!
‘ส่งไพร่พลไล่ตามข้าเร็วถึงเพียงนี้เชียวหรือ?’ เขาลืมตาขึ้นทันทีด้วยความพิศวง
แสงสีทองสว่างวาบพุ่งจากหน้าต่างเข้าไปในห้องด้วยความเร็วสูงจนสายตาไม่อาจมองตามทัน เขารีบโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์โดยใช้แรงกายไม่มากนัก ครั้นเตรียมใช้เคล็ดวิชาลับตอบโต้แสงนั้นกลับหยุดเคลื่อนไหว
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยบินมาหยุดอยู่ตรงหน้าและเกาะบนแขนของเขาพลางกระพือปีกอย่างคุ้นเคย สายสัมพันธ์ที่เชื่อมต่อกันพลันแล่นขึ้นมาในความคิด
“เอ๊ะ! เจ้าคือแมลงวันอสูรตัวเดียวกันกับที่ข้าฝึกให้เชื่องหรือ? ไม่…ไม่ถูกต้อง! เจ้าคือจักจั่นป่าปีกทองคำ!?”
เขาอุทานอย่างรู้สึกอัศจรรย์ขณะที่สมองคิดประมวลผลอย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาแมลงตัวน้อยที่อยู่บนฝ่ามือของเขาอย่างละเอียดแล้วก็ยิ่งตกตะลึง!
ไม่ผิดแน่! มันคือตัวเดียวกันกับแมลงวันอสูรที่เขาฝึกให้เชื่องด้วยการสร้างสัมพันธ์เลือดและก่อนหน้านี้มันหายไปในหุบเขามังกรปีศาจ! ยามนี้มันลอกคราบออกเป็นจักจั่นป่าปีกทองคำที่มีรูปร่างผิดแปลกจากเดิมโดยสิ้นเชิง…ปีกสีทองคู่นั้นเด่นชัดยิ่ง!
แมลงวันแม้กลายพันธุ์อย่างไรก็ยังเป็นแมลงวัน ทักษะของมันมีขีดจำกัดจึงไม่ควรค่าต่อการฝึกฝน ต่างจากจักจั่นป่าปีกทองคำ…หนึ่งในสัตว์อสูรที่ทรงพลังที่สุดชนิดหนึ่งในสมัยโบราณ ปีกของมันแข็งแรงกว่าผู้ฝึกตนที่บรรลุขั้นอูเจ๋อระดับเจ็ดเสียอีก! หากมันลอกคราบจนมีสี่ปีกเมื่อใดแม้เป็นผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือก็ยังต้องหลบเลี่ยง ยิ่งลอกคราบจนมีหกปีก แปดปีก หรือสิบสองปีกตามตำนาน พวกมันสามารถยึดครองดินแดนและกลายเป็นมหาปราชญ์แห่งเผ่าอสูรได้ในที่สุด!
เยี่ยฉวนปิติยินดียิ่งที่ครั้งนั้นไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาด แม้ยังไม่รู้แน่ชัดว่าฝูงแมลงวันอสูรในหุบเขาทั้งหมดยังไม่ได้ลอกคราบออกเป็นจักจั่นป่าหลากสายพันธุ์ หรือจักจั่นป่าปีกทองคำอาศัยร่างของแมลงวันในการจำศีล หรือมันบังเอิญกลายพันธุ์อีกครั้งหลังหายเข้าไปในหุบเขามังกรปีศาจกันแน่?
แม้เขายังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ ทว่าการมีจักจั่นป่าปีกทองคำที่ทรงพลังยิ่งเป็นบริวารเช่นนี้นับเป็นผลประโยชน์ที่คาดไม่ถึง!
ครั้นเขาพิจารณาอย่างละเอียดจนเป็นที่พอใจแล้วจึงเก็บจักจั่นป่าปีกทองคำไว้ในโคมบงกชสีคราม และต้องประหลาดใจอีกครั้งเมื่อมันไม่ซ่อนตัวอยู่ในฐานโคมแต่กลับแปลงกายเป็นแสงสีทองก่อนลอยเข้าไปภายใน จากนั้นบนตัวโคมก็ปรากฏเป็นภาพจารึกของจักจั่นตัวน้อย
“โคมบงกชสีครามมีความลับใดซ่อนอยู่กันแน่? หรือภายในนั้นจะมีอีกหนึ่งจักรวาล?!”
ดวงตาคู่นั้นพลันเปล่งประกายเพียงครู่ น่าเสียดายที่ยามนี้เขายังไม่สามารถตรวจสอบความลับที่ซ่อนอยู่ภายในโคมได้เพราะดวงจิตยังไม่แข็งแกร่งพอ หลังพึมพำจบเขาจึงโคจรเคล็ดวิชาลับเพื่อดึงพลังจากผลึกเส้นโลหิตมังกรใส่ไว้ในโคมบงกชสีคราม…
เขามีลางสังหรณ์ว่าหากรวบรวมพลังจนเพียงพอ โคมดวงน้อยอาจเผยบางสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านี้!
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าภายนอกหน้าต่าง จากนั้นจึงนั่งลงกับพื้นอย่างสงบและเข้าสู่สมาธิ
คาดไม่ถึงว่าหลังเผชิญเหตุการณ์อันตรายจากการใช้เคล็ดวิชาดวงจิตหยินท่องราตรีเมื่อช่วงพลบค่ำที่ผ่านมาเขาจะได้รับประโยชน์หลายสิ่ง! เขาได้รับรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของศัตรูตัวฉกาจภายในสำนักและได้ตระหนักถึงสถานการณ์อันตรายจากภายนอก ทั้งยังได้รับบริวารทรงพลังเช่นจักจั่นป่าปีกทองคำโดยบังเอิญอีกด้วย!
หนานเทียนตูยังคงรักษาการณ์อยู่ด้านนอกตามคำสั่งของอาวุโสลำดับสองอย่างเคร่งครัด ทว่าหากผ่านวิกฤตการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้วเขาพึงต้องระวังเสียใหม่ จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง…เหล่าบริวารที่ดูเลื่อมใสอาจไม่มีความจริงใจก็เป็นได้ จักจั่นทองคำป่าที่ผ่านการขัดเกลาโดยเขาถือเป็นบริวารที่ดีที่สุดในยามนี้ เพราะสัตว์อสูรที่ถูกผูกสัมพันธ์เลือดไม่มีวันทรยศ!
ภพชาติก่อน เยี่ยฉวนเคยอบรมเลี้ยงดูราชันย์อสรพิษทมิฬ ราชินีอสูรเนตรสีครามและราชาโอสถหัตถ์วิญญาณ ที่ภายหลังกลายเป็นมหาปราชญ์แห่งเผ่าอสูรที่ใช้ฝ่ามือซ่อนเร้นสวรรค์
ภพชาตินี้เขาตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะบ่มเพาะเหล่าบริวารให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทั้งยังทุ่มแรงกายทั้งชีวิตเพื่อฝึกฝนเคล็ดวิชาขัดเกลาปีศาจกลืนกินสวรรค์และเข้าถึงความลับภายในโคมบงกชสีคราม หากสามารถทำได้ถึงขั้นนั้นจริง ความร้ายกาจทั้งหมดจะทำให้เขาสามารถกลืนกินสวรรค์และกวาดปฐพีให้ราบเป็นหน้ากลอง!
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะเขาดึงพลังจากผลึกเส้นโลหิตมังกรและปราณวิญญาณฟ้าดินมาหล่อเลี้ยงดวงจิต พร้อมขัดเกลาเส้นเลือดรวมถึงกล้ามเนื้อเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง
เวลาล่วงเลยถึงรุ่งเช้า เยี่ยฉวนลืมตาขึ้นก่อนออกไปด้านนอกเพื่อกวาดใบไม้บนลานกว้างเช่นเคย เก็บกวาดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยินเสียงฝีเท้าหลายคู่และเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นแว่วมา ครั้นเปิดประตูออกจึงเห็นจินหัวนอนอยู่บนเปล บนหลังมีมัดไม้หนามวางอยู่ ที่ตามหลังมาคือฝูงชนจำนวนหนึ่ง
“ขอขมาอย่างนอบน้อมหรือ?”
รอยยิ้มของเขาแปรเป็นเย็นชา ไม่คาดคิดว่าจินหัวจะยอมบากหน้ามาถึงที่นี่จริง!
เด็กคนนี้ช่างแสบสันนัก! เมื่อวานถูกเยี่ยฉวนดึงกางเกงแพรลงแล้วโบยตีอย่างรุนแรงต่อหน้าสาธารณะชนให้น่าอับอายเพียงนั้น วันนี้เขากลับยอมทนเจ็บปวดและมาถึงที่นี่เพื่อทำการขอขมาเพื่อเหตุใดกันหากไม่มีแผนการสกปรกอยู่ในใจ?! ดูเหมือนว่าบทเรียนวานนี้คงเบาไปเสียแล้ว!
“ศิษย์พี่ใหญ่…ข้ารับรู้ความผิดแล้ว! โปรดให้อภัยข้าด้วย!”
จินหัวกึ่งกลิ้งกึ่งคลานมาอยู่เบื้องหน้าเยี่ยฉวนพร้อมน้ำตาแห่งความเจ็บปวดที่ไหลริน เขากอดขาขวาของเยี่ยฉวนพลางคร่ำครวญ “ศิษย์พี่ใหญ่…ข้าผิดไปแล้ว! ข้าไม่ควรยุยงให้หนานเทียนตูมาท้าประลองท่าน! อีกทั้งไม่ควรเหิมเกริมเช่นนี้ ศิษย์พี่ใหญ่…ข้าสำนึกผิดแล้ว! โปรดอภัยให้ข้าด้วย! ใช้มัดหนามเหล่านี้ทุบตีข้าสักยกเถิดขอรับ!”
จินหัวสลัดท่าทีเย่อหยิ่งออกไปพลางเสแสร้งเล่นละครอย่างสมบูรณ์แบบจนฝูงชนที่เฝ้าดูอยู่ถึงกับตกตะลึงในภาพมายาที่เขาสร้าง! หากเมื่อคืนเยี่ยฉวนไม่ใช้เคล็ดวิชาดวงจิตหยินท่องราตรีจนได้ยินแผนการทั้งหมดนั่นก็คงจะถูกหลอกเช่นเดียวกับบรรดาคนพวกนั้น ฝีมือการแสดงของอีกฝ่ายยอดเยี่ยมเพียงนี้…หากเขาไม่เข้ารับบทร่วมคงน่าเสียดายยิ่ง!
“ศิษย์น้องจินหัวอย่าทำเช่นนี้เลย ข้าเองก็ผิดเช่นกัน…ไม่ควรลงมือรุนแรงถึงเพียงนั้น ลุกขึ้นเถิด! เห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ข้ายิ่งไม่สบายใจ!”
เขาพยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นอย่างอารีด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางช่วยเช็ดน้ำตาและน้ำมูกบนใบหน้าของจินหัว
ไอ้หนู! เสแสร้งต่อไปสิ! เสแสร้งไปด้วยกัน! แม้แต่พ่อของเจ้ายังลอบวางแผนทำร้ายข้า! เช่นนั้นมาดูกันเถิดว่าใครจะชนะ?!
เขาแสดงละครสมจริงยิ่งกว่าจินหัวเสียอีก! หากเจ้าคิดใช้ไม้แข็ง…ข้าสรรหาไม้ที่แข็งกว่า! หากเจ้าร้าย…เช่นนั้นข้าจะร้ายยิ่งกว่า!
เยี่ยฉวนตัดสินใจเสแสร้งไปพร้อมจินหัว! การฆ่าอย่างฉับพลันไม่น่าตื่นเต้นเท่าการค่อยๆ ทรมาน เช่นเดียวกันกับกระบวนการจิบน้ำชา เขาถูกกักขังอยู่ในสุสานเทพเจ้านานหลายแสนปี…นานมากแล้วที่ไม่ได้ลิ้มรสการปั่นหัวผู้อื่น และแล้วเจ้าหนูจินหัวก็โผล่มาพอดี! แม้จินหัวไร้ยางอายถึงเพียงนี้ทว่าเขากลับชื่นชอบยิ่ง!
“ศิษย์พี่ใหญ่โปรดลงโทษข้าเถิด! ตีข้าอีกครั้ง! ตีข้าอย่างไร้ความปรานี!” จินหัวกล่าวพลางเผยสีหน้าเด็ดเดี่ยว ยามนี้เพื่อให้เยี่ยฉวนเชื่อโดยสนิทใจเขาต้องกล้าท้าทายทุกทาง!
เยี่ยฉวนเงยหน้าขึ้นพลางแสดงท่าทีลังเล “ทำเช่นนั้นไม่ดีหรอกศิษย์น้องจินหัว…ข้าเองก็มีความผิดและได้ให้อภัยเจ้าแล้ว นับแต่นี้เราจงร่วมมือกันสร้างความก้าวหน้าแก่สำนักเถิด!”
“ไม่ได้เด็ดขาด! ศิษย์พี่ใหญ่โปรดลงโทษ! หากท่านอารมณ์เย็นลงจนให้อภัยข้าแล้วจริงๆ เพื่อเป็นการพิสูจน์…จงใช้มัดหนามนี้โบยตีข้าด้วยเถิด!” จินหัวยังไม่หยุดเสแสร้ง
“เป็นเช่นนั้น! นี่ข้าถูกบังคับให้ยอมรับข้อเสนอแทนการปฏิเสธสินะ!” เยี่ยฉวนหยิบมัดหนามขึ้นมาขณะใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ครั้นเยี่ยฉวนไม่บ่ายเบี่ยงใดๆ จินหัวพลันรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้! หรือไอ้สารเลวนั่นก็เสแสร้งเล่นตามบทเช่นกัน?! มันแกล้งโง่กระนั้นหรือ?!
เพี้ยะ!
เสียงคมชัดดังก้องยอดเขาเมฆาอินทนิล!
เยี่ยฉวนใช้มัดหนามฟาดลงมาอย่างรุนแรงโดยไม่ปล่อยให้จินหัวคิดเรื่องใดต่อ ผ้าพันแผลตรงบั้นท้ายหลุดออกเผยให้เห็นรอยแผลเก่าที่ยังไม่ทันหายสนิทก็มีรอยเลือดใหม่ปรากฏเพิ่ม!
“มะ…มันฟาดจริงหรือ?”
จินหัวตะลึงเพริด! ใจคิดต่อต้านทั้งต้องการสั่งให้บรรดาผู้ติดตามรุมสังหารอีกฝ่ายเสีย! การเสแสร้งของเขาคงสมจริงเกินไปจนเกิดเรื่องเช่นนี้! ทว่าเมื่อนึกถึงคำของบิดาที่กำชับให้อดทน…เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำยอมรับสภาพการถูกเฆี่ยนตีต่อไป หลังถูกฟาดไม่กี่ครั้งเขาถึงกับหลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บร้าวไปถึงกระดูกจนแทบคร่ำครวญหาพ่อแม่!