ขุนศึกสยบสวรรค์ บทที่ 182 อสูรหินเศียรสุนัข
บทที่ 182 อสูรหินเศียรสุนัข
“ผู้แซ่เยี่ย! เจ้า…”
โท่วปาเซียงเนียวหันขวับไปมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาแข็งกร้าวอย่างโกรธจัด
ครั้นเห็นหลิวหงหัวเราะต่อกระซิกเห็นดีเห็นงามไปด้วยนางยิ่งหงุดหงิด แม้แต่สตรีนางอื่นที่อยู่ใกล้ชิดกว่ายังไม่ถูกเขาเรียกว่า ภรรยา ยิ่งคิดยิ่งอับอายจนใบหน้าแดงก่ําไปถึงใบหู!
มือข้างขวาเอื้อมไปจับด้ามกระบี่ที่ห้อยอยู่ข้างบั้นเอวก่อนชักออกเกือบครึ่ง แต่แล้วกลับข่มโทสะลงและเก็บอาวุธสังหารเข้าที่จากนั้นจึงสะบัดศีรษะกลับอย่างโกรธายิ่ง!
ความขุ่นเคืองชั่ววูบทําให้นางลืมตัวไปว่าในเขตอาณาจักรสวรรค์ที่เต็มไปด้วยอันตรายรอบด้านเช่นนี้ การเดินเตร่เพื่อสํารวจบริเวณโดยรอบเพียงคนเดียวไม่ปลอดภัยเท่าการอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม
“โธ…น้องเซียงเนียว คุณชายเยี่ยเพียงหยอกล้อเจ้าเล่นเท่านั้น อย่าลดตัวลงไปถือโทษโกรธเคืองเขาเลย”
หลิวหงเอ่ยปรามโท่วปาเซียงเนียวก่อนกวาดสายตามองทุกคนก่อนกล่าวออกด้วยเสียงเนิบช้าน่าฟัง “หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยภยันตรายเกินหยั่งรู้ ตอนนี้พวกเราทุกคนนับว่าลงเรือลําเดียวกัน ไม่ว่าความรุ่งโรจน์หรือความสูญเสียก็ต้องช่วยแบ่งเบา หากรวมกันเป็นหมู่คณะการหลบหนีออกไปจากป่าหินแห่งนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก ข้าเสนอว่าพวกเราควรเลือกใครสักคนมาเป็นผู้นําในการเดินทางครั้งนี้ ว่าอย่างไร?”
“ข้าเห็นควรด้วย!”
“พวกเราไม่มีความเห็นเป็นอื่น ศิษย์พี่หญิงใหญ่ท่านสามารถตั้งตนเป็นผู้นําได้ หากท่านสั่งให้เราสองคนไปทางทิศตะวันออก เราไม่มีทางไปทางทิศตะวันตกอย่างแน่นอน!”
ศิษย์ชายสองคนผู้มาจากสํานักเบญจลักษณ์โค้งคํานับการตัดสินใจของหญิงสาว ทําให้สถานะของเขาเป็นที่ประจักษ์อย่างรวดเร็ว ส่วนอีกสามคนยังนิ่งเงียบ
“พี่ใหญ่ ท่านมีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร? แล้วคิดเห็นอย่างไรกับข้อเสนอของข้า?” หลิวหงไล่ถามเป็นรายบุคคล
“หากเจอศัตรูที่แข็งแกร่งเราจะแบ่งหน้าที่โจมตีอย่างไร? และหากพบสมบัติเราจะใช้วิธีใดในการแจกจ่าย?” ชายร่างสูงไม่ตอบคําถามในทันทีแต่กลับตั้งคําถามถึงเรื่องความสามัคคีและผลประโยชน์ที่อาจไม่ลงตัว แต่ละคนต่างเข้ามาในอาณาจักรสวรรค์เพื่อค้นหาสมบัติ ใครเล่าจะอยากหยิบยื่นผลประโยชน์ให้ผู้อื่น?
แววตาหลิวหงวูบไหวขณะกล่าวตอบ “หากเราเผชิญหน้าศัตรูดังที่เจ้าว่า…เราทุกคนจะร่วมกันต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ หากเราพบขุมทรัพย์มหาศาล…เราจะแบ่งสันปันส่วนกันอย่างยุติธรรม จริงสิพี่ใหญ่ ท่านบรรลุการฝึกตนขั้นใดหรือ?”
คําตอบของหลิวหงคลุมเครือ ท้ายที่สุดจึงเปลี่ยนเรื่องสนทนาอย่างกะทันหัน
ชายร่างสูงผู้นี้กล้าพูดกล้าถามทั้งยังมีท่าทางเปิดเผยทว่ายังขาดไหวพริบ เขาพยักหน้ารับก่อนกล่าวออก “ประเสริฐ! เช่นนั้นพวกเราก็ถือเป็นคณะเดียวกัน ข้าแซ่ลู่…ชื่อหยิงกุย เป็นจอมยุทธ์ไร้สังกัด บรรลุการฝึกตนขึ้นซิวฉือระดับที่ห้า หลายคนเรียกขานข้าว่าพี่ลู่ พวกเจ้าสามารถเรียกข้าเช่นนั้นได้!”
“เซียงเนียว…เจ้าบรรลุการฝึกตนขั้นใด? แล้วเห็นด้วยหรือไม่กับข้อเสนอของข้า?”หลิวหงหันไปมองหญิงสาวอีกคนก่อนเขย่ามือนางด้วยท่าที่กระตือรือร้น
“ข้าเห็นควรด้วย…ไม่นานมานี้ข้าเพิ่งบรรลุขั้นซิวฉือระดับที่สี่”
โท่วปาเชียงเนียวตอบเสียงสะบัดอย่างไม่สบอารมณ์ ถึงกระนั้นก็ปล่อยให้อีกฝ่ายจับมือต่อไปด้วยเกรงว่าหากปัดออกจะดูเป็นการเสียมารยาท
“คุณชายเยี่ย…ท่านว่าอย่างไร?”
หลิวหงสบตาเยี่ยฉวนพร้อมดัดเสียงหม่นเศร้าอย่างน่าสงสาร “อาณาจักรสวรรค์อันตรายถึงเพียงนี้ ข้าไม่อาจรู้ว่าท่านพ่อและพี่น้องร่วมสํานักคนอื่นๆ ยังปลอดภัยดีหรือไม่ แต่ข้าสัมผัสถึงรัศมีบางอย่างที่อยู่บนยอดเขาด้านหลังปาหินแห่งนี้ คุณชายเยี่ย…จะเป็นพระคุณนักหากท่านช่วยเหลือข้า ท่านสามารถตั้งตนเป็นหัวหน้ากลุ่มในครั้งนี้ส่วนตัวข้าจะทําหน้าที่เป็นผู้นําทาง”
“ข้าไม่มีปัญหาเรื่องการรวมกลุ่ม แต่หากให้ข้าเป็นหัวหน้าอาจไม่เหมาะสม พวกเจ้าต่างเป็นยอดฝีมือที่บรรลุขั้นซิวฉือ แต่ตัวข้าแม้ ดํารงตําแหน่งเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ทว่าเพิ่งบรรลุขั้นซิวฉือระดับสามมาได้ไม่นานนัก หนําซ้ําพลังยุทธ์ในกายยังไม่เสถียรดี ต่อให้เป็นผู้นําจริงคงไร้ความสามารถจนน่าละอาย แม่นางหลิวข้าคิดว่าหากเจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มอาจเป็นหนทางที่ดีกว่า ให้ข้าเป็นเพียงที่ปรึกษายามเผชิญหน้ากับอันตรายเถิด” เยี่ยฉวนเอ่ยตอบ
แท้จริงแล้วหลิวหงต้องการตั้งตนเป็นผู้นําเองต่างหาก ทว่ากลัวคําครหาจึงแสร้งถามความคิดเห็นจากทุกคน ชายหนุ่มมองแผนการของนางอย่างทะลุปรุโปร่งแต่ปล่อยผ่านเสีย ด้วยเกียจคร้านที่จะแย่งชิงตําแหน่งนั้น
ศิษย์ต่างสํานักกันย่อมมีความคิดเห็นที่แตกต่าง ทุกคนเป็นยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์สูงส่ง หากประสบอันตรายเข้าจริงก็ต้องพึ่งพาตนเองก่อนที่จะร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แต่เนื่องจากพวกเขาพลัดหลงเข้ามาในพื้นที่ที่ไม่คุ้นชินทั้งยังเจอกันโดยบังเอิญ การรวมกลุ่มจึงไม่ใช่ความคิดที่เลวร้ายแต่อย่างใด หากสถานการณ์เริ่มเลวร้ายค่อยหาทางออกจากที่นี่ก็ยังไม่สาย
“คุณชายเยี่ยยกยอข้าเกินไป ข้าเป็นเพียงสตรีตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไร้ความสามารถ วรยุทธ์อาจจะด้อยกว่าทุกคนด้วยซ้ํา เพียงคิดถึงท่านพ่อที่หายสาบสูญข้าก็โศกเศร้าปานใจจะขาด แต่หากทุกคนไม่มีข้อโต้แย้งข้าจะยอมรับภาระอันยิ่งใหญ่ไว้เอง หนาซาน…หนาสุ่ย เจ้าสองคนเดินนําหน้าพี่ใหญ่ลู่เดินตาม ส่วนพวกเราสามคนจะเดินรั้งท้าย!”
หลิวหงออกคําสั่งอย่างรวดเร็ว แม้น้ําเสียงจะนุ่มนวลน่าฟังทั้งยังเปี่ยมไปด้วยไหวพริบ แต่ดวงตากลับเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างสมอารมณ์หมาย ตอนนี้นางได้เป็นผู้นําในการเดินทางสํารวจครั้งนี้ นอกจากจะมีอํานาจในการสั่งการยังมีสิทธิ์เลือกสม บัติล้ําค่าก่อนผู้อื่นอีกด้วย!
หลิวหงผู้มีรอยยิ้มสดใสเป็นนิจ ลักษณะภายนอกทั้งอ่อนหวาน และไร้เดียงสา ผู้ใดจะรู้ว่าแท้จริงแล้วนางเชี่ยวชาญด้านการวางอุบายอันแยบยลยิ่งสิ่งอื่น!
คณะสํารวจเฉพาะกิจเริ่มออกเดินทาง พวกเขาเดินเท้าเข้าไปใน ป่าหินที่มีหมอกสีเทาแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เดิมที่ผู้ที่เดินนําคือศิษย์พี่น้องสองคนจากสํานักเบญจลักษณ์ แต่เมื่อเดินทางไประยะหนึ่งพี่ใหญ่ลู่กลับเร่งฝีเท้าขึ้นหน้าพร้อมถือกระบองกวัดแกว่งไปทั่วจนกลายเป็นผู้นําทาง ทําให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกประหลาดใจ ชายร่างสูงผู้นี้ไม่เพียงขาดไหวพริบ ทว่ายังรุดหน้าโดยไม่สนใจสหายร่วมทางเลยแม้แต่น้อย! ขณะเดียวกันหลิวหงกลับลอบส่งสัญญาณให้หนาซานถอยมาด้านหลังเพื่อคุ้มกันตน
เยี่ยฉวนก้าวเดินอย่างมั่นคงโดยไม่รุดหน้าหรือล้าหลังเกินพอดี สายตาเฉียบแหลมสังเกตเห็นทุกอย่างแม้แต่การกระทําเล็กน้อยของหลิวหง ทว่าแสร้งลอยหน้าลอยตาทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดไปอย่างนั้น ในที่สุดจึงลดความเร็วลงและเดินตามหลังสตรีทั้งสองเพื่อชื่นชมเรือนร่างให้เต็มตา
โท่วปาเซียงเนียวและหลิวหงเป็นสตรีที่มีอุปนิสัยแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งร้อนแรง ทรงเสน่ห์อันตราตรึงทั้งยังห้าวหาญ เครื่องแต่งกายนั้นรัดรูปจนเห็นสัดส่วนโค้งเว้าเย้ายวนอย่างชัดเจน ส่วนอีกคนสวมชุดซึ่งเป็นเครื่องแบบจําเพาะของสํานักเครื่องนิลโดยมีความยาวจรดข้อเท้าและข้อมือ เมื่อพินิจจากด้านหลังขณะเยื้องย่าง บั้นท้ายกลมกลึงของหลิวหงสะเทือนขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะจนผิวขาวเนียนวับแวมออกมาให้เห็น ทว่าการเดินของโท่วปาเซียงเนียวสง่างามดุจนกน้อยในกรงทอง ความงดงามที่แตกต่างดึงดูดเยี่ยฉวนจนไม่อาจละสายตา
“ไอ้สารเลว! มองอะไรนะ!” โท่วปาเซียงเพียวจ้องเขม็งไปที่เยี่ยฉวนด้วยความขุ่นเคืองที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง
ตลอดระยะทางนางรู้สึกถึงสายตาโลมเลียของอีกฝ่ายที่มองเรือนร่างของตนอย่างไม่วางตา ครั้นเขาไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจึงไม่สามารถอดกลั้นโทสะไว้ได้อีกต่อไป หากนางมีนิสัยโผงผางเช่นจูซื้อเจียคงจัดการเขาไปนานแล้ว!
“ข้าจะมองสิ่งใดเล่าหากไม่ใช่ทางเดิน? เวลาเจ้าเดินเจ้าไม่มองทางรี?!”
เยี่ยฉวนหรี่ตาพร้อมยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนโคจรยันต์กลืนกินสวรรค์ทั้งสี่ใบไว้ป้องกันเพื่อเกิดการโจมตีฉุกเฉิน
“นี่เจ้า” โท่วปาเซียงเนียวขบกรามแน่นอย่างโกรธจัด ก่อนหน้านี้นางเคยเห็นบุรุษเพศที่ไร้ยางอายมามากมาย ทว่าไม่เคยพบพานผู้ใดในเทือกเขาหมอกเมฆาที่หน้าทนและเลวทรามมากไปกว่าเยี่ยฉวน!
จริงอยู่ที่เวลาก้าวเดินต้องมองทางแต่ทุกคนในที่นี้ล้วนเงยหน้าขึ้นและยืดหลังตรง มีเพียงเขาที่สายตาก้มมองต่ําตลอดทาง นั่นจะเรียกว่ามองทางได้อย่างไร? มองลอดช่องว่างระหว่างต้นขางั้นรึ?!
หญิงสาวเริ่มหายใจติดขัดเพราะไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป มือขวาเอื้อมไปคว้าด้ามอาวุธที่ห้อยไว้ตรงบั้นเอวอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันชักออกจากฝักเพื่อโจมตีนางกลับสัมผัสถึงบางสิ่งที่ผิดปกติ ฝีเท้าของทุกคนในกลุ่มหยุดชะงักอย่างกะทันหัน เสียงพูดคุย เงียบลงทันใด ส่วนพี่ใหญ่ลู่ที่เดินนําอยู่หน้าสุดกลับเกร็งกล้ามเนื้อจนร่างกายแข็งทื่อ…
โท่วปาเซียงเนียวค่อยๆ หันกลับมาและพบกับบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวจนดวงตาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนกยิ่ง!
เบื้องหน้าปรากฏก้อนหินยักษ์ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณห้าสิบเมตรที่ค่อยๆ ปริแตกจนเกิดรอยร้าวขนาดใหญ่ ทันใดนั้นอสูรหินที่มีความสูงเกือบสามเมตรพลันกระโจนออกจากรอยแตกนั้น! ร่างกายท่อนล่างเป็นมนุษย์เพศชายทว่ามีส่วนหัวเป็นสุนัข ท่าทางการเดินของมันแข็งที่อไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดขนาดใหญ่ ถึงกระนั้น พลังภายในของมันกลับมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์! ทันทีที่เท้าเพียงหนึ่งข้างเหยียบลงบนพื้นผืนผสุธาพลันสั่นสะเทือนรุนแรงราวแผ่นดินไหว
อสูรหินเศียรสุนัขทรงพลังปรากฏตัวขึ้นต่อหน้ามนุษย์ทั้งหก ก่อนพุ่งตัวเข้าหาเหล่าผู้บุกรุกด้วยจิตสังหารรุนแรงที่พุ่งทะยานขึ้นเป็นเท่าทวี!